ความรู้สึกของแกะดำในสังคม

ผมมีปัญหาทางสังคมอย่างหนึ่งที่อยากจะเขียนให้ผู้อ่านได้ตรึกตรองและช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ

                                          ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนะครับผมชื่อ Jack หรือ Jacky ก็ได้แล้วแต่จะสะดวก ปีนี้ก็จะเข้าอายุ 24 แล้วยังเรียนอยู่เลยครับ (ฮ่า ๆ) อันที่จริงแล้วผมควรจะเป็นเด็ก 61 แต่เพราะตอนนั้นผมเป็นโรคซึมเศร้า Major depressive disorder (MDD) ตอนอายุ 17 คือม.6 เทอม 1 (2017)           
ที่มีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน แต่จริง ๆ แล้วผมมีอาการมามากกว่า 6 เดือนแต่ก็คิดว่าเป็นเพราะเรื่องชมรมและก็เรื่องที่บ้าน + ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะเรียนอะไรต่อดี
เลยคิดว่าคงจะหายได้เอง 
ถ้าใครนอนไม่หลับ เบื่อหน่าย รู้สึกว่างเปล่า เกิน 2 อาทิตย์ขึ้นไป พบจิตแพทย์ทำ 8Q และ 9Q เถอะครับ ขนาดผมมีความรู้ด้านนี้บ้างยังปลอยตัวเองให้ย้ำแย่อยู่ถึง 6 เดือน

ตอนนี้ก็ผ่านมากำลังเข้าปีที่ 7 แล้วจาก MDD ก็กลายเป็น Dysthymia หรือโรคซึมเศร้าเรื้อรังที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่า แต่เป็นมานานกว่า 2 ปี เวลาผมบอกใครว่าผมเป็นซึมเศร้า คำที่มักจะได้ยินคือ "อย่าไปเศร้าสิ ร่าเริ่งสิ ทำตัวให้สนุก อย่าทำหน้าบึ้งสิ ไปซึมเศร้าทำไม" คำพวกนี้แรก ๆ ผมก็รับมือไม่ทัน แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกแบบผม ไม่ได้เข้าใจกลไกของโรคซึมเศร้า ทุกวันนี้ผมชินแล้วกับคำพวกนี้ เพราะความจริงเราไม่สามารถควบคุมความเศร้าที่เกิดขึ้นได้เพราะการทำงานของสมองมีสภาวะผิดปกติ สำหรับตัวผมแล้ว ร่างกายผมหลั่งสารความสุขที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ไม่เพียงพอ ยาที่ใช้ก็มีกลุ่ม (SSRIs) ชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Selective Serotonin Reuptake Inhibitors หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายาต้านเศร้า ผมอาจจะใช้ศัพท์เยอะควบคู่ไปด้วยเพราะสามารถนำคำพวกนี้ไปศึกษาต่อได้สำหรับคนที่อยากเรียนรู้ และก็มียาต้านอาการทางจิตอยู่บ้าง เพราะผมมีอาการ Panic, PTSD เวลาอยู่ในกลุ่มคนเยอะ ๆ เช่นเวลาเรียนในคลาส 

ตัวซึมเศร้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังเรียนไม่จบอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเรียนรู้มันละนะ
เอาละมันทำให้ผมกลายเป็นแกะดำในสังคมได้ยังไง และทำไมมันถึงไม่หายซักทีและจะหายได้ไหม
ตอนที่ผมเริ่มเป็นผมไม่ได้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิดและความรู้สึกผมมากนักเพราะคิดว่า คงเรียนหนัก + โหมกิจกรรมมากไปเลยนอนไม่พอ ผมรู้สึกง่วงทั้งวัน รู้สึกโดดเดี่ยวแม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ ก็ตาม เริ่มรู้สึกว่าผมจะทำอะไรต่อจากนี้ดี 3 เดือนแรกผ่านไป ความรู้สึกและความคิดพวกนั้นก็ยังคงอยู่ ผมเริ่มนอนไม่หลับ จะไปหลับจริง ๆ คือ 6 โมงเช้าแม้ว่ากลางคืนผมจะง่วงมากขนาดไหนก็ตาม แต่สมองมันยังทำงานอยู่และหลับจนถึง 10 โมงเช้ามันก็จะตื่นเอง ฝืนนอนต่อก็ไม่หลับ ผมเริ่มแยกตัวจากเพื่อน ๆ อยู่คนเดียวมากขึ้น กับกลุ่มเพื่อนที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันผมก็เริ่มรู้สึกว่า มันไม่ใช่ที่ของผมเลย ผมรู้สึกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องด้วยซ้ำ รู้สึกว่าทุกคนไม่ชอบผม ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนผมไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดยังไง เป็นคนเสียงดัง ที่ชอบเฮฮาแกล้งเพื่อนในห้อง เป็นตัวกวนของอาจารย์ (แต่ผมตั้งใจเรียนทุกวิชาและเป็นนักเรียน top teir ของห้องยกเว้นวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์แม้จะนั่งหลังห้องสุดก็ตาม) ผมมักจะตอบคำถามอาจารย์เสมอ จนมีอะไรที่เพื่อนทำไม่ได้ก็จะมาถามผม แต่พักหลังผมแยกตัว ไม่คุยเล่นกับใคร ทำอะไรก็รู้สึกไม่สนุก ปกติตอนเย็นผมมักจะเล่นเกมถึงเที่ยงคืนทุกวันกับเพื่อน แต่พอเริ่มมีอาการผมก็ไม่ได้เล่น จ้องหน้าคอมที่เปิดทิ้งไว้เป็นชั่วโมงเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี 
นี่เป็นจุดแรกที่ผมรู้สึกเป็นแกะดำ หรือถ้าพูดอีกแบบ ผมทำตัวเองให้เป็นแกะดำเพราะความคิดของผมเอง

หลังจบ ม.6 ในสภาพที่ไม่ดีนักจากเกรดเฉลี่ย 3.03 เหลือเพียง 1.92 เกรดรวม 6 เทอมเหลือ 2.8x ซึ่งก็กลาง ๆ แต่ถ้าผมไม่ป่วยก็คง 3 up สบาย ๆ ผมหยุดพักไป 2 ปี โดยปี 62 พึ่งหันไปเรียนเปียโนตามความฝันแต่ก็มีอาการเครียดจนอาการทรุดลงต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อปรับยาอีก 2 อาทิตย์ ซึ่งโรงพยาบาลจิตเวช ห้องพิเศษนั้นราคาไม่ได้ถูก ๆ เลย (แต่อาการอร่อยมากและน้ำหนักผมลงเพราะมีนักโภชนาการดูแล) ((ก็อยากเข้าอีกรอบอยู่นะตอนนี้น้ำหนักเกิน)) ความฝันที่จะเข้าเรียนดนตรีเอกเปียโนเลยต้องพับเก็บไป เริ่มหา class ใหม่ที่จะเป็นอาชีพในอนาคต ตอนที่ที่บ้านสั่งว่าให้เรียนอย่างอื่นตอนอยู่โรงพยาบาลผมถึงกับร้องไห้โดยมีพยาบาลนั่งปลอบอยู่ข้าง ๆ (ทุกคนตกใจมากเพราะผมไม่เคยร้องไห้หรือมีท่าทีเศร้าเลยตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล)

พอเข้าปี 63 ผมก็นั่งคิด นอนคิด ยืนคิด อยู่นานว่าเรามีอะไรดี เราเก่งด้านอะไร ก็ได้คำตอบมาว่า ผมเก่งอังกฤษ สื่อสารคล่อง เขียนคล่อง (แต่แกรมม่าไม่แม่นนะครับ) อ่านก็ชิล ๆ ผมทำอะไรผมมักใส่ใจรายละเอียดและชอบให้งานที่ทำออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ผมใส่ใจคนรอบตัว เข้าถึงอารมณ์ของคนอื่นได้เร็วและก็อ่อนไหวกับอารมณ์เหล่านั้น ผมเลยมักจะเอาปัญหาคนอื่นมาเป็นคนตัวเองเสมอ ๆ ผมจะรับคำวิจารณ์ไม่ค่อยได้หรือไม่ได้เลย เพราะผมทุ่มเทกับงานเป็นอย่างมากและผมก็รู้อยู่แล้วว่างานชิ้นนั้นมีข้อบกพร่องตรงไหนเมื่องานออกมา ก็เป็น Perfectionist ดี ๆ นี่แหละ แถม Enneagram ผมก็เป็น 1W2 แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากหรอกเพราะจะเป็นอะไรก็ขึ้นกับตัวเรา ตอนแรกผมจะเรียน HR เพราะผมอยากพัฒนาคนและองค์กร อยากเห็นคนที่มีการพัฒนา และก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร อยากเรียนรู้คน แต่ถ้าจะให้เรียนผมก็ต้องไปอยู่แถว Iconsiam ซึ่งทางบ้านก็บอกมาว่าเรียนแถวเกษตรสิคุณป้าเขาซื้อคอนโดไว้พอดี ก็เลยเลือกเรียนเอกชนแถวเกษตรเอง โดยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่จากทักษะที่มีอยู่ ผมอยากเรียนด้าน skill เพิ่มเลยเลือกเรียนการจัดการโรงแรมและไมซ์ ซึ่งตอนนั้นผมมองว่าเพื่อที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศผมจำเป็นต้องมีทักษะด้านอื่นที่ไม่ใช่วิชาการติดตัวไปด้วยเผื่อเหลือเผื่อขาด อย่างน้อยงานบรืการก็ไม่มีวันอดตาย และปีต่อมาก็โควิดพอดี เป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลย ก็เลยเรียนออนไลน์แบบแห้ง ๆ  ไปซึ่งก็เหมือนตอนมัธยมผมมักจะหยอกล้อกับอาจารย์แต่ก็ตั้งใจเรียนและตอบคำถามของอาจารย์ตลอด จนผมเพิ่งรู้ตัวว่า ผมสนุกกับการเรียน ผมสนุกที่ได้ตอบคำถาม แต่มันก็มีคนที่ไม่ชอบผมเพราะแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เขามักจะมองว่า ผมทำเป็นรู้ทุกเรื่องหรือชอบเรียกร้องความสนใจ (ในมุมมองผมนะ) ผมก็จะว่าเฉยก็เฉย จะว่าใส่ใจก็อาจจะมีบ้าง พอได้เข้าไปเรียน onsite อาการ panic ก็ถามหา วันรับน้องผมฝีนนั่ง observed หลังห้องก็มีคนมาทักขอเป็นเพื่อนกับผม ตลกดีนะ สภาพตอนนั้นคือแย่มาก อึดอัดท่ามกลางผู้คน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสังคม 

พอเข้าปี 64 การเรียนก็ไปได้ด้วยดี แต่กลุ่มที่ผมอยู่ก็เหมือนมีไว้เฉย ๆ เพื่อทำงานตอนเรียนไม่ได้สนิทอะไรกันเท่าไหร่ พอถึงวิชาหนึ่งที่ต้องแบ่งกลุ่ม กลุ่มใหญ่ต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มและผมก็กลายเป็นคนนำกลุ่มเเบบงง ๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่กลับมาเรียน online เพราะการระบาดมันกลับมา ผมไม่อยากนำกลุ่มเท่าไหร่เลยตอบ ๆ ส่ง ๆ ให้เพื่อนคิดกันเองในงาน ผมแค่อยากนั่ง screen งานเฉย ๆ เพราะที่ผ่านมาผมเป็นทั้งหัวหน้าห้องควบหัวหน้ากลุ่มมันทุกวิชาเพราะอาจารย์เลือก ผมก็ได้แต่ตอบรับโดยที่ไม่คิดอะไร มันทำให้ผมเหนื่อยที่ต้องมานั่งจดรายชื่อคนเข้าเรียน นั่งตามงาน มันทำให้ผมรู้ว่าผมทะนงตนเกินไป ไม่ยอมรับความคิดคนอื่น เอาแต่ใจตัวเอง และก็เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก จากงานนั้นผมไม่แตะอะไรเลยนอกจากตั้งคำถามให้เพื่อนไปนึกเอาเองจนกลายเป็นการทะเลาะกัน ด้วยความที่ผมก็มีอารมณ์จะทะเลาะด้วยอยู่แล้วสุดท้ายผมก็โดนแบนออกกลุ่ม (ฮ่า ๆ ) 

พอเข้าปี 65 - 66 ผมก็ดรอปไปเยียวยาจิตใจซึ่งเอาจริง ๆ เหมือนคนที่เกษียณแล้วมากกว่า วัน ๆ ผมเอาแต่นอน ดูทีวี กินข้าว เล่นคอม วนลูปไปทั้งปี ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ไม่อยากทำอะไรเลย สังคมก็กลัวที่จะเข้าแล้วซ้ำรอย ผมก็ทำตัวเองให้เป็นแกะดำที่แท้จริง ปี 66 ผมเข้าเรียนเทอมแรกด้วยการนั่งหน้าห้อง ไม่สนใจคนใน section พออาจารย์ให้จับกลุ่มทำงาน มันก็มี trauma ในใจ ผมรู้สึกกลัวจนสุดท้ายผมเลิกเข้าเรียนกลางเทอม ไม่ไปสอบ ไม่เข้าเรียน และก็หันไปรักษาตัวแบบจริงจัง เพราะตั้งแต่เข้าเรียนปี 63 - 66 ผมก็แทบไม่ได้เจอจิตแพทย์เลยเพราะใช่ว่าอยากจะไปวันไหนก็ไป แพทย์ประจำตัวมีวันออกเวรของตัวเองและผมก็รักษาไปมาระหว่างบ้านเกิดกับที่กรุงเทพ ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง และที่สำคัญต้องไปก่อน 11 โมงเช้าซึ่งเป็นงานหินที่สุดของผมเลยเพราะ 1.ผมต้องตื่นเช้าแต่ผมกินยานอนหลับซึ่งกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็ประมาณเที่ยงกว่า ๆ ระหว่างนั้นจะง่วง ๆ หน่อย 2.ค่าเดินทางไป-กลับ แพงมากกกกก ถ้าไม่อยากยืนบนรถไฟฟ้าเบียด ๆ กันตอนเช้าก็ต้องยอมจ่ายแพงเพื่อที่จะไปนั่งในรถที่ติดแบบ 10 กิโลใช้เวลาเป็นชั่วโมง ซึ่งผมไม่ชอบการอยู่เฉย ๆ โดยไม่มีอะไรให้ทำ เช่น ตัดผม ที่ต้องนั่งเฉย ๆ เป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ หรือการกินข้าวผมจะใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่น ด้วยบุคลิกที่ขัดแย้งแบบนี้เลยมักสร้างปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาให้ผมเสมอ ๆ 

ซึ่งก็ยังมีรายละเอียดที่ผมไม่ได้ลงอีกเยอะซึ่งก็ต้องยอมรับว่าผมมีข้อบกพร่องหลายอย่าง การเข้าสังคมเองก็ต้องพบนักจิตเพื่อบำบัด ที่ผมเขียนมายาวขนาดนี้เพียงแค่จะสื่อว่า ผมเหงาน่ะ (ฮ่า ๆ ) และก็อยากแชร์ประสบการณ์และมุมมองของคนเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ถ้าคุณรู้จักหรือเป็นเป็นเพื่อนที่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ต้องพยายามเข้าใจเขาหรอก เพียงแค่บอกเขาว่า ถ้ามีอะไรอยากจะเล่าให้ฟังรับฟังได้นะ หรือถ้าเขาไม่อยากจะพูดอะไร แค่อยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงเวลาที่เขาต้องการ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แค่อยู่ใกล้ ๆ เขาให้เขารับรู้ว่าตัวเขาไม่ได้ตัวคนเดียว เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ

ยามใดที่คุณอ่อนแรงขอให้คุณพบกับแสงนำทางเฉกเช่นที่คุณนำทางให้กับผมเหมือนในวันนี้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่