== The Holdovers (2023) โรงเรียน.. ของคนถูกทิ้ง ==



พอล ฮันแฮม (พอล จิอาแมตติ) ครูสอนประวัติศาสตร์แห่งบาร์ตันอคาเดมี่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในนิวอิงแลนด์ ..
ไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนชอบเขาเลย เนื่องจากความเข้มงวดเจ้าระเบียบของเขา 
ดังนั้นทุกคนเลยตั้งฉายาว่า เจ้าตาเข (จากการที่เขาตาพิการข้างนึง)



ในช่วงปลายปี 1970 พอล ได้รับคำสั่งให้อยู่ที่โรงเรียนในช่วงวันหยุดคริสต์มาส 14 วัน 
เพื่อดูแลนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีที่ไหนให้ไป แน่นอนว่าไม่มีใครยินดีแน่ๆ ช่วงวันหยุดแท้ๆ แทนที่จะได้อยู่กับครอบครัวของตน 
แต่นี่กลับต้องอยู่ในโรงเรียนแถมยังอยู่ภายใต้การดูแลของครูคนนี้อีก



แต่แล้วในสถานการณ์ที่ดูไม่น่าเชื่อ ความผูกพันกลับค่อยๆก่อขึ้นในช่วงเวลาแห่งความน่าเบื่อหน่าย.. 
ทั้ง แองกัส ทัลลี่ (โดมินิก เซสซา) นักเรียนบ้านรวยที่มักชอบก่อปัญหาปวดหัวให้อยู่เสมอๆ 
รวมถึง แมรี่ แลมบ์ (ดาไวน์ จอย แรนดอล์ฟ) หัวหน้าแม่ครัวของโรงเรียนที่เพิ่งสูญเสียลูกชายคนเดียวของเธอไปในสงครามเวียดนาม



The Holdovers เป็นภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้คริสต์มาส กำกับโดย Alexander Payne 
(เจ้าของผลงานระดับมาสเตอร์พีซอย่าง Sideways และ Nebraska ) 
เขียนบทโดย David Hemingson (มือเขียนบทละครโทรทัศน์ซึ่งหนังเรื่องนี้คือการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา).. 
นำแสดงโดย Paul Giamatti, Da'Vine Joy Randolph และ Dominic Sessa 
เรื่องราวถูกเซตให้เกิดขึ้นในปี 1970 เรื่องราวเกี่ยวกับครูสอนประวัติศาสตร์จอมยิ้มบในโรงเรียนประจำ
ที่ถูกบังคับให้ดูแลนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีที่ไปในช่วงหยุดคริสต์มาส



แค่ชื่อของ Alexander Payne ก็น่าสนใจอย่างมากแล้วครับสำหรับคอหนัง แต่ละเรื่องของแกคือโดดเด่นทั้งนั้น 
ไล่มาตั้งแต่ About Schmidt.. Sideways.. The Descendants.. Nebraska 
แม้ว่าจะมาแผ่วลงไปกับเรื่อง Downsizing ก็ตาม แต่หายไป 6 ปี ถือว่า เพย์น กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ



งานภาพนั้น เพย์น ตั้งใจให้ออกมาเหมือนภาพในทีวียุค 70 โดยแท้ เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดกันเลยทีเดียว 
ยิ่งช่วยเสริมให้ผู้ชมอินไปกับเสน่ห์ของยุคนั้นได้ไม่ยาก รวมทั้งเพลงประกอบก็ได้ Mark Orton 
ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากับเรื่อง Nebraska มาช่วยกันอีก



Paul Giamatti ในบทของครูที่ต้องคอยดูแลนักเรียนที่ถูกทิ้งช่วงวันหยุดยาว แน่นอนว่าตัวเขาก็ถูกทิ้งไม่ต่างกัน 
เนื้อหาอาจจะดูแล้วไม่มีอะไร เดาเรื่องต่อได้ไม่ยาก แต่ความน่าสนใจมันอยู่ที่การแสดงจริงๆครับ.. 
จิอาแมตติ ถ่ายทอดอารมณ์ของคนเป็นครูได้ดีเยี่ยมมากในพาร์ตแรก และในช่วงหลังตัวตนที่เคยเสมือนเสาหลักผู้ที่คอยดูแลคนอื่น 
กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเมื่อถึงช่วงครึ่งหลังของภาพยนตร์



เช่นเดียวกับ Da'Vine Joy Randolph ที่มาน้อยๆ แต่ซีนอารมณ์แต่ละทีมันอิมแพคมาก กับบทแม่ที่ต้องเสียลูกชายในสงครามเวียดนาม 
ซึ่งทั้ง จิอาแมตติ และ ดาไวน์ จอย แรนดอล์ฟ ต่างได้รับรางวัลในเวทีลูกโลกทองคำล่าสุดที่เพิ่งประกาศไปช่วงต้นปีด้วยครับ
ในส่วนของนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ตลก-เพลง) ถือเป็นครั้งที่ 2 ของจิอาแมตติครับ 
โดยก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยได้มาก่อนในเรื่อง Barney's Version ในปี 2010  
และนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมครั้งแรกในชีวิตของจอย แรนดอล์ฟ
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่เข้าชิงในเวทีออสการ์ซึ่งจะตัดสินต้นเดือนมีนาคมนี้เช่นกัน



หนังทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้เป็นอย่างดี ทุกคนโดนทิ้งกันทั้งนั้น จะด้วยเหตุผลสวยหรูแค่ไหนก็ตามที 
แต่สุดท้ายเราก็เป็นแค่คนที่ถ้าหากเค้าเลือกได้...เค้าก็ไม่อยากมีเราในชีวิตอยู่ดี 
ดูเศร้านะครับ...แต่ความจริงของโลกก็แบบนี้ล่ะ โดยเฉพาะกับตัวของทัลลี่ (เซสซา) ชีวิตที่เขาเป็นมันก็ยากอยู่แล้ว
ครอบครัวแทนที่จะเข้าใจกลับพยายามผลักเค้าไปอีก งานนี้จึงต้องถึงมือครูพอล (ที่ตัวเองกำลังก็แย่พอกัน)เข้ามาช่วย
ซึ่งครูตาเขคนนี้จะทำได้ดีแค่ไหนนั้น ต้องตามเอาใจช่วยกันล่ะครับ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่