จนมาถึงวันนึงที่ผมเปิดใจให้รับรู้ความรู้สึกต่างๆ พอตอนที่ความเจ็บปวดมาถึงมันทรมาณจัง
ในเวลาโพล้เพล้ของวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ หลังจากที่คุณแม่ขับรถไปส่งแฟนผมที่บ้าน
"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก" คุณแม่ถามขึ้น
"......." ผมไม่ได้ตอบอะไรยังคงมองผ่านกระจกรถไปด้านนอกจากที่นั่งเบาะหลัง
เธอคงเห็นว่าผมเงียบไปจากปกตินิสัยที่เคยร่าเริง ทะเล้น และขี้เล่นไปกับทุกคนรอบตัว ในหัวเต็มไปด้วยบทสนทนาอันน่าอึดอัดกับคุณแม่ที่พูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับแฟนก่อนหน้าที่จะขับรถมาส่ง
"มันช่างดูเหมือนว่าไม่มีใครจะเห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ยกเว้นเพียงคนสองคนคือผมและแฟนเลย" ผมไม่ได้พูดออกมาได้แต่คิดอยู่ในใจ
เท่าที่จำความได้วันนั้นเองที่ผมได้รู้จักกับความอึดอัดของการพยายามจัดการกับความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเสียใจ และความรู้สึกสิ้นหวัง มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คน Introvert อย่างผมหมดพลังแบบสิ้นเชิงชนิดที่ว่าอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ช่วยชาร์จพลังให้กลับมาได้ และในที่สุดผมก็บอกตัวเองว่าต่อไปนี้เรื่องไหนที่มารบกวนใจเราเกินไปก็ปิดการรับรู้เรื่องนั้นไปซะด้วยการบอกตัวเองว่า
"มันก็แค่เรื่องธรรมดานึงที่เกิดขึ้นมาถ้าไม่แคร์ซะอย่างเดี๋ยวมันก็จะผ่านมันไปได้"
ทีนี้พอเราเริ่มไม่แคร์กับเรื่องร้ายๆ มันก็ดูเหมือนจะง่ายดีเหมือนกันนะ อะไรที่ชอบก็เปิดใจรับส่วนอะไรที่ไม่ชอบก็ปิดกั้นการรับรู้ไปเลย เสมือนว่าปิดสวิทช์ไปซะดื้อๆ โดยผมก็หารู้ไม่ว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็เหมือนการวิ่งหนีปัญหาและไม่ฝึกให้ใจเข็มแข็งขึ้น
"เพราะการกลบฝังความรู้สึกไว้ไม่ได้ทำให้เราโตขึ้นเลยซักนิดเดียว"
ผ่านมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ผมคือนักหลบหลีกชั้นยอด พอมองเห็นว่าอะไรดูเหมือนจะมาทำร้ายจิตใจก็จะหลบหลีกออกไปเสียจนหมดซึ่งบางทีมันก็ต้องแลกด้วยการทำให้คนที่ "รักผม" พบกับความเจ็บปวดจากความเย็นชาที่แสดงออกมาเวลาที่ผมพยายามไม่สนใจ และหนึ่งในนั้นคือลูกๆ ของผมเอง
ความสัมพันธ์ของผมกับอดีตภรรยาไม่ได้สวยหรูและนับวันยิ่งบั่นทอนใจผม ทุกวันที่กลับจากที่ทำงานผมจะหลบไปอยู่ในที่ของผมคนเดียวในสภาพที่พลังที่มีแห้งเหือดไปจนหมดจากการได้ไปพบปะผู้คนในที่ทำงาน แม้แต่กับลูกๆ ผมก็ไม่มีแรงจะคุยหรือเล่นด้วย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่าผมเสพติดโลกส่วนตัวของผมมากจนในขณะที่ไม่รู้ตัว ผมกันทุกคนรอบตัวออกจากผมไปจนหมดรวมถึงลูกๆ ของผมด้วย
"แดดดี้วันนี้นอนก้วยได้ป่าว" เสียงจากลูกชายคนเล็กถามผมทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน
"ไม่ครับ" นั่นคือคำตอบของผมมาตลอดกี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว
ถ้าจะนับย้อนจากวันที่ผมเขียนกระทู้นี้ไป 365 วันแบบพอดีเป๊ะ ก็เป็นวันที่ผมกับภรรยาตัดสินใจว่าเราจะแยกทางกันจากความสัมพันธ์ที่ Toxic ต่อกันอย่างที่สุด ก็แปลกดีอยู่เหมือนกันนะ ในวันนั้นผมรู้สึกโล่งขึ้นเหมือนคนที่กลั้นใจไว้จวนจะขาดใจแล้วก็สูดหายใจเอาออกซิเจนเข้าเต็มปอด และผมก็เดาว่าสำหรับอดีตภรรยาผมก็คงรู้สึกเหมือนกันแต่เราก็ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้หรอกครับ
ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถึงวันเกิดลูกสาวสุดที่รักของผม ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มหนึ่งให้ลูกและคิดว่าวันหนึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับชีวิตของลูก ผมกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่มเศษ ลูกสาวเดินมาขอบคุณด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับของขวัญจากผมแล้ว ผมก็กอดลูกด้วยความชื่นใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่านั้นคือรอยยิ้มครั้งสุดท้านที่ผมจะได้เห็นจากลูก คืนนี้นเองลูกสาวคนโตก็ได้รับรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกันและเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยสดใสก็เงียบซึมลูกชายคนเล็กอาจจะยังเด็กเลนไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่
ตอนเช้าๆ จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผมเพราะลูกๆ จะวิ่งมาเล่นด้วยก่อนออกไปโรงเรียน มันคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ใจผมฟูมาก อาจจะเพราะผมพักจนหายเหนื่อยแล้วก็เลยพร้อมจะเล่นด้วยในระยะเวลาสั้นๆ แต่หลังจากคืนวันเกิดของลูกสาวก็ไม่เห็นภาพลูกๆ เข้ามาเล่นด้วยอีกเลย ผมคงจะใจเสาะเกินไปที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปหาลูกๆ ก่อนเพราะกลัวว่าถ้าลูกๆ ไม่ยอมรับพ่อแล้วผมจะทนความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธไม่ไหว ผมคิดว่ารอเวลาซักพักลูกๆ คงปรับตัวได้และเป็นฝ่ายเข้ามาหาผมเอง แต่ก็ไม่มีวันนั้นอยู่จริง
ประมาณ 2-3 เดือนให้หลังผมก็แยกออกมาอยู่ข้างนอกให้พื้นที่ในบ้านเป็นของลูกๆ กับแม่ของเขา แม้ก่อนจะย้ายออกมาจะได้คุยกับลูกๆ ว่าการแยกทางกันของพ่อกับแม่เป็นเรื่องของพ่อกับแม่และไม่ใช่เพราะลูกๆ เป็นต้นเหตุพ่อและแม่ยังรักลูกๆ เหมือนเดิมนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้กอดลูก แต่มันก็ใช่ว่าคำพูดเพียงเท่านี้จะทำให้เด็กๆ เข้าใจความต้องการของผู้ใหญ่สองคนได้
พอผมได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นผมก็เริ่มไม่ใช่สวิทช์ความรู้สึกของผมอีก จนทำให้วันนี้ผมรู้สึกคิดถึงเสียงเล็กๆ ที่มักถามว่า
"แดดดี้นอนด้วยได้ป่าว"
"แดดดี้ทำอะไรอยู่"
ความคิดถึงที่มีต่อลูกมันทรงพลังจังเลย วันนี้ผมกล้าที่สุดก็คือพยายามโทรไปคุยกับลูก บอกตามตรงว่าก็ยังไม่กล้าไปเจอหน้าลูกเพราะรู้สึกว่าผมเป็นความเจ็บปวดในชีวิตลูกมากกว่าความทรงจำที่ดีของลูก วันนี้มีแรงทำได้เท่านี้ก็จะพยายามต่อไปจนกว่าใจจะเข้มแข็งขึ้น กล้าหาญมากขึ้น
ผมไม่ได้เขียนเพราะผมเป็นพ่อที่ดี แต่ผมคือพ่อที่ย่ำยีโอกาสที่ดีของพ่อที่จะได้เฝ้าดูลูกเติบโต ถ้าคุณเป็นพ่อที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อย่ารอให้สายไปเหมือนผมนะครับ
แต่ถ้าคุณอยู่ที่จุดเดียวกับผมแล้ว...สู้ไปด้วยกันนะครับแล้วปีหน้าจะมาเล่าใหม่ว่ากล้าหาญขึ้นขนาดไหนแล้ว
เมื่อใจรู้จักความเจ็บปวด
ในเวลาโพล้เพล้ของวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ หลังจากที่คุณแม่ขับรถไปส่งแฟนผมที่บ้าน
"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก" คุณแม่ถามขึ้น
"......." ผมไม่ได้ตอบอะไรยังคงมองผ่านกระจกรถไปด้านนอกจากที่นั่งเบาะหลัง
เธอคงเห็นว่าผมเงียบไปจากปกตินิสัยที่เคยร่าเริง ทะเล้น และขี้เล่นไปกับทุกคนรอบตัว ในหัวเต็มไปด้วยบทสนทนาอันน่าอึดอัดกับคุณแม่ที่พูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับแฟนก่อนหน้าที่จะขับรถมาส่ง
"มันช่างดูเหมือนว่าไม่มีใครจะเห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ยกเว้นเพียงคนสองคนคือผมและแฟนเลย" ผมไม่ได้พูดออกมาได้แต่คิดอยู่ในใจ
เท่าที่จำความได้วันนั้นเองที่ผมได้รู้จักกับความอึดอัดของการพยายามจัดการกับความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเสียใจ และความรู้สึกสิ้นหวัง มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คน Introvert อย่างผมหมดพลังแบบสิ้นเชิงชนิดที่ว่าอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ช่วยชาร์จพลังให้กลับมาได้ และในที่สุดผมก็บอกตัวเองว่าต่อไปนี้เรื่องไหนที่มารบกวนใจเราเกินไปก็ปิดการรับรู้เรื่องนั้นไปซะด้วยการบอกตัวเองว่า
"มันก็แค่เรื่องธรรมดานึงที่เกิดขึ้นมาถ้าไม่แคร์ซะอย่างเดี๋ยวมันก็จะผ่านมันไปได้"
ทีนี้พอเราเริ่มไม่แคร์กับเรื่องร้ายๆ มันก็ดูเหมือนจะง่ายดีเหมือนกันนะ อะไรที่ชอบก็เปิดใจรับส่วนอะไรที่ไม่ชอบก็ปิดกั้นการรับรู้ไปเลย เสมือนว่าปิดสวิทช์ไปซะดื้อๆ โดยผมก็หารู้ไม่ว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็เหมือนการวิ่งหนีปัญหาและไม่ฝึกให้ใจเข็มแข็งขึ้น
"เพราะการกลบฝังความรู้สึกไว้ไม่ได้ทำให้เราโตขึ้นเลยซักนิดเดียว"
ผ่านมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ผมคือนักหลบหลีกชั้นยอด พอมองเห็นว่าอะไรดูเหมือนจะมาทำร้ายจิตใจก็จะหลบหลีกออกไปเสียจนหมดซึ่งบางทีมันก็ต้องแลกด้วยการทำให้คนที่ "รักผม" พบกับความเจ็บปวดจากความเย็นชาที่แสดงออกมาเวลาที่ผมพยายามไม่สนใจ และหนึ่งในนั้นคือลูกๆ ของผมเอง
ความสัมพันธ์ของผมกับอดีตภรรยาไม่ได้สวยหรูและนับวันยิ่งบั่นทอนใจผม ทุกวันที่กลับจากที่ทำงานผมจะหลบไปอยู่ในที่ของผมคนเดียวในสภาพที่พลังที่มีแห้งเหือดไปจนหมดจากการได้ไปพบปะผู้คนในที่ทำงาน แม้แต่กับลูกๆ ผมก็ไม่มีแรงจะคุยหรือเล่นด้วย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่าผมเสพติดโลกส่วนตัวของผมมากจนในขณะที่ไม่รู้ตัว ผมกันทุกคนรอบตัวออกจากผมไปจนหมดรวมถึงลูกๆ ของผมด้วย
"แดดดี้วันนี้นอนก้วยได้ป่าว" เสียงจากลูกชายคนเล็กถามผมทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน
"ไม่ครับ" นั่นคือคำตอบของผมมาตลอดกี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว
ถ้าจะนับย้อนจากวันที่ผมเขียนกระทู้นี้ไป 365 วันแบบพอดีเป๊ะ ก็เป็นวันที่ผมกับภรรยาตัดสินใจว่าเราจะแยกทางกันจากความสัมพันธ์ที่ Toxic ต่อกันอย่างที่สุด ก็แปลกดีอยู่เหมือนกันนะ ในวันนั้นผมรู้สึกโล่งขึ้นเหมือนคนที่กลั้นใจไว้จวนจะขาดใจแล้วก็สูดหายใจเอาออกซิเจนเข้าเต็มปอด และผมก็เดาว่าสำหรับอดีตภรรยาผมก็คงรู้สึกเหมือนกันแต่เราก็ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้หรอกครับ
ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถึงวันเกิดลูกสาวสุดที่รักของผม ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มหนึ่งให้ลูกและคิดว่าวันหนึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับชีวิตของลูก ผมกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่มเศษ ลูกสาวเดินมาขอบคุณด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับของขวัญจากผมแล้ว ผมก็กอดลูกด้วยความชื่นใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่านั้นคือรอยยิ้มครั้งสุดท้านที่ผมจะได้เห็นจากลูก คืนนี้นเองลูกสาวคนโตก็ได้รับรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกันและเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยสดใสก็เงียบซึมลูกชายคนเล็กอาจจะยังเด็กเลนไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่
ตอนเช้าๆ จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผมเพราะลูกๆ จะวิ่งมาเล่นด้วยก่อนออกไปโรงเรียน มันคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ใจผมฟูมาก อาจจะเพราะผมพักจนหายเหนื่อยแล้วก็เลยพร้อมจะเล่นด้วยในระยะเวลาสั้นๆ แต่หลังจากคืนวันเกิดของลูกสาวก็ไม่เห็นภาพลูกๆ เข้ามาเล่นด้วยอีกเลย ผมคงจะใจเสาะเกินไปที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปหาลูกๆ ก่อนเพราะกลัวว่าถ้าลูกๆ ไม่ยอมรับพ่อแล้วผมจะทนความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธไม่ไหว ผมคิดว่ารอเวลาซักพักลูกๆ คงปรับตัวได้และเป็นฝ่ายเข้ามาหาผมเอง แต่ก็ไม่มีวันนั้นอยู่จริง
ประมาณ 2-3 เดือนให้หลังผมก็แยกออกมาอยู่ข้างนอกให้พื้นที่ในบ้านเป็นของลูกๆ กับแม่ของเขา แม้ก่อนจะย้ายออกมาจะได้คุยกับลูกๆ ว่าการแยกทางกันของพ่อกับแม่เป็นเรื่องของพ่อกับแม่และไม่ใช่เพราะลูกๆ เป็นต้นเหตุพ่อและแม่ยังรักลูกๆ เหมือนเดิมนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้กอดลูก แต่มันก็ใช่ว่าคำพูดเพียงเท่านี้จะทำให้เด็กๆ เข้าใจความต้องการของผู้ใหญ่สองคนได้
พอผมได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นผมก็เริ่มไม่ใช่สวิทช์ความรู้สึกของผมอีก จนทำให้วันนี้ผมรู้สึกคิดถึงเสียงเล็กๆ ที่มักถามว่า
"แดดดี้นอนด้วยได้ป่าว"
"แดดดี้ทำอะไรอยู่"
ความคิดถึงที่มีต่อลูกมันทรงพลังจังเลย วันนี้ผมกล้าที่สุดก็คือพยายามโทรไปคุยกับลูก บอกตามตรงว่าก็ยังไม่กล้าไปเจอหน้าลูกเพราะรู้สึกว่าผมเป็นความเจ็บปวดในชีวิตลูกมากกว่าความทรงจำที่ดีของลูก วันนี้มีแรงทำได้เท่านี้ก็จะพยายามต่อไปจนกว่าใจจะเข้มแข็งขึ้น กล้าหาญมากขึ้น
ผมไม่ได้เขียนเพราะผมเป็นพ่อที่ดี แต่ผมคือพ่อที่ย่ำยีโอกาสที่ดีของพ่อที่จะได้เฝ้าดูลูกเติบโต ถ้าคุณเป็นพ่อที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อย่ารอให้สายไปเหมือนผมนะครับ
แต่ถ้าคุณอยู่ที่จุดเดียวกับผมแล้ว...สู้ไปด้วยกันนะครับแล้วปีหน้าจะมาเล่าใหม่ว่ากล้าหาญขึ้นขนาดไหนแล้ว