JJNY : ฝันดีฝันร้ายผู้นำการเมืองไทย│ผ่าปัญหา“คอร์รัปชัน”รัฐ│จับตาเปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ│จีนคัดค้านญี่ปุ่นยินดีไต้หวัน

รายการ สุขุมxนันทนา เฮฮาสภากาแฟ EP.14 ฝันดีฝันร้ายผู้นำการเมืองไทย
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4374576
 
 
รายการ สุขุมxนันทนา เฮฮาสภากาแฟ โดย อ.สุขุม นวลสกุล และ อ.นันทนา นันทวโรภาส ตอนนี้ว่าด้วยเรื่อง หลักสูตร มินิ วปอ. เตรียมไว้ให้ใครพร้อมเป็นนายกฯ คนต่อไปหรือไม่,  อนาคตของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่อกรณีถือหุ้นไอทีวี รวมทั้งกรณียุบพรรคก้าวไกล , ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คัมแบ็คมาอีกรอบ, เงินดิจิทัลวอลเล็ต

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 
ผ่าปัญหา “คอร์รัปชัน” ภาครัฐ อึ้ง! พบเงินบาปพุ่งปีละ 5 แสนล้าน
https://www.thansettakij.com/business/economy/585796

ผ่าปัญหา “คอร์รัปชัน” ในหน่วยงานภาครัฐ เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ประเมินพบเงินบาปพุ่งปีละ 5 แสนล้าน เช็ครายละเอียดเงินทุจริตมูลค่ามหาศาลตกไปอยู่เรื่องไหน ใครมีเอี่ยวบ้าง
 
ปัญหา “คอร์รัปชัน” นับเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่คล้ายกับสนิมกัดกินประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลาย ๆ ภาคส่วนจะพยายามหาทางควบคุมปัญหาดังกล่าวไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น แต่ปัญหาดังว่านี้ก็ยังไม่ทุเลาลงไปอย่างชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง 
 
ล่าสุดมีข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลขการ “คอร์รัปชัน” ในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งนับเป็นเงินบาปที่ยากจะหาทางแก้ไขให้หมดสิ้นปจากประเทศไทย โดยข้อมูลจาก ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเงินคอร์รัปชันในภาครัฐ ซึ่งแต่ละปีอาจมีเงินบาปจากคอร์รัปชันในภาครัฐสูงถึง 5 แสนล้านบาท
 
สำหรับเงินคอร์รัปชันในภาครัฐ นั้น ดร.มานะ มองว่า สาเหตุหลัก ๆ เกิดจากกลโกง 3 ประเภทนั่นคือ “โกงหลวง ฉ้อราษฎร์ และกัดกินกันเอง” ความเสียหายนี้ยังไม่รวมความเดือดร้อนและผลกระทบต่อประเทศชาติ ประชาชน คนทำมาค้าขายที่ตามมาอีกมากมาย 
 
สำหรับกลโกงคอร์รัปชันในภาครัฐ สรุปแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ 
 
1. โกงหลวง

ส่วนใหญ่เป็นเงินทอนในการจัดซื้อจัดจ้าง มีมูลค่า 2 – 3 แสนล้านบาทต่อปี เป็นความสูญเสียจากเงินทอนหรือเงินใต้โต๊ะในอัตราเฉลี่ย 20% - 30% ของงบลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐทุกประเภท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจมากหรือน้อยกว่านี้ตามยุคสมัย
 
ต่อมาคือ การเอาเปรียบรัฐ เช่น หน่วยงานรัฐให้การอุดหนุนเอกชนเกินจำเป็นในโครงการ พีพีพี, ขยายอายุสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่เหมาะสม การไฟฟ้าฯ ลงทุนหลายพันล้านบาทสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูงเพื่อรองรับการซื้อกระแสไฟฟ้าจากเอกชนรายเดียว รับซื้อกระแสไฟฟ้าจากเอกชนราคาแพงและซื้อมากเกินจำเป็น เก็บค่าภาคหลวงจากสัมปทานเหมืองแร่ต่ำเกินจริง ปล่อยเช่าที่ราชพัสดุราคาถูก เป็นต้น 

สำหรับการเอาทรัพยากรของรัฐไปเอื้อเอกชนเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐมักอ้างเหตุผลเกินจริงและปิดบังข้อมูลสำคัญ จึงยากที่จะสังคมจะเข้าใจ และศึกษามูลค่าความเสียหายที่แท้จริง 
 
อีกอย่างนั่นคือ การขโมยหรือยักยอกเงินหลวง เช่น ยักยอกเงินค่าเข้าอุทยานแห่งชาติที่เก็บจากนักท่องเที่ยวหรือไม่เก็บแต่เรียกรับใต้โต๊ะจากบริษัทนำเที่ยว

โกง “เงินอุดหนุน” ตามนโยบายของรัฐ เช่น กรณีเงินทอนวัด เงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ เงินกองทุนหมุนเวียน เช่น ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ ของกระทรวงศึกษาฯ สหกรณ์และกองทุนกู้ยืมต่างๆ ซึ่งพฤติกรรมประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไปมีมูลค่าหลักพันบาทจนถึงหลายร้อยล้านบาทต่อกรณี
 
2. ฉ้อราษฎร์ เช่น แปะเจี๊ยะ ส่วย ค่าวิ่งเต้นล้มคดี
 
ส่วนแรก คือ สินบนและส่วยจากเศรษฐกิจนอกระบบ (Illegal Economy) หวย ซ่อง ค้าอาวุธ แรงงานเถื่อน ยาเสพติด และบ่อน ที่ประเมินว่าธุรกิจมืดเหล่านี้มีมูลค่า 8% - 13% ของ จีดีพี 17 ล้านล้านบาทต่อปี หรือราว 1.7 ล้านล้านบาทต่อปี หากคิดคร่าวๆ ว่ามีการจ่ายส่วยสินบนให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับจากต้นทางถึงปลายทางแค่ 5% จะเป็นเงินมากถึง 8.5 หมื่นล้านบาทต่อปี 
 
ส่วนที่สอง คือ สินบนครัวเรือนหรือสินบนที่ชาวบ้าน ต้องจ่ายเมื่อไปติดต่อราชการ เพื่อทำนิติกรรม จดแจ้ง หรือใช้สิทธิ์ใช้บริการตามกฎหมาย อาจเพราะโดนรีดไถหรือตั้งใจจ่ายเองเพื่อแลกกับความสะดวก เร่งเวลา ลดขั้นตอน ลดเอกสาร มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี
 
ตัวอย่างเช่น ที่ดิน อำเภอ อบต. เทศบาล โรงพัก ศุลกากร สรรพากร โรงเรียน ฯลฯ เชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงคงสูงกว่านี้มาก แต่ผู้ให้ข้อมูลในการสำรวจอาจปิดบังเนื่องจากเกรงกลัวอันตรายหากเปิดเผย ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงกรณีภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไปติดต่อเจ้าหน้าที่
 
อีกทั้งยังมีสินบนและส่วยจากธุรกิจอุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอดหรือความได้เปรียบ ทั้งที่จ่ายโดยผู้ทำมาหากินสุจริตและไม่สุจริต เช่น ส่วยรถบรรทุก รถตู้ รถทัวร์ สถานบันเทิง รวมถึงสินบนเพื่อให้ได้ใบอนุญาตอนุมัติจากราชการ เช่น ต่อเติม-สร้างบ้าน เปิดธุรกิจร้านค้า โรงงาน สถานบันเทิง โรงแรม อพาร์ตเม้นท์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต การส่งออก-นำเข้าสินค้า
 
เช่นเดียวกับค่ามองไม่เห็น ตรวจไม่เจอ เป็นสินบนที่ประชาชนต้องจ่ายเมื่อเผชิญกับเจ้าหน้าที่นอกสถานที่ราชการ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้จ่ายกระทำผิดจริงและโดนกลั่นแกล้ง เช่น การจ่ายให้กับตำรวจจราจร เทศกิจ นายจ้างหรือแรงงานต่างด้าวต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่แรงงานหรือตำรวจ
เงินบาปประเภทนี้รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท แม้ควักล้วงจากกระเป๋าชาวบ้านแต่สุดท้ายย่อมส่งผลร้ายต่อบ้านเมือง คนไร้เส้นสาย คนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แน่นอนว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ “คนจน” 
 
3. กัดกินกันเอง
 
เป็นสินบนและค่าวิ่งเต้นในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง แม้จ่ายไม่แพงมากเมื่อเทียบกับข้ออื่นๆ แต่เป็นเรื่องสำคัญและอันตรายมาก เพราะมันเป็นรากเหง้าที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาเส้นสายและหาเงินเป็นค่าใช่จ่ายไปสู่ดวงดาว 
 
ส่วนใหญ่มักเป็นการซื้อขายตำแหน่ง มีมากในหน่วยงานที่มีผลประโยชน์สูง ราคาที่จ่ายก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งนั้นจะทำเงินได้มากน้อยเพียงใด ที่มีการร้องเรียนกันมาก เช่น คมนาคม ตำรวจ มหาดไทย อุตสาหกรรม เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมศุลกากร กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมปศุสัตว์ เป็นต้น
 
รวมไปถึงการกัดกินกันเองอื่น ๆ เช่น ค่าวิ่งเต้นล้มคดี, เงินส่วนแบ่งตามลำดับชั้นที่เกิดจากส่วยสินบนกลุ่มที่ 2 การวิ่งเต้นของบประมาณจากผู้มีอำนาจในมหาดไทยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น 
 
4. ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันของรัฐ
 
ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันของรัฐสูงมากในแต่ละปี โดยในปี 2566 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ใช้งบประมาณ 5,848 ล้านบาท และมีบุคลากรรวมกันกว่า 7,578 คน
 
ดร.มานะ ระบุว่า บทสรุปความเสียหายจากคอร์รัปชันประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปีนี้ ยังไม่รวมความสูญเสียทางอ้อมที่กัดกินสังคมไทย เช่น นักลงทุนหนีหายเพราะกลัวความไม่ชัดเจนของราชการ ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นและไม่แน่นอนส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการให้เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนใช้สินค้าและบริการรัฐในราคาแพงหรือคุณภาพไม่ดีพอ 
 
รัฐต้องใช้เงินภาษีจำนวนมหาศาลไปแก้ไขปัญหาอย่างไม่รู้จบ เช่น กรณีสามจังหวัดภาคใต้ การแพร่ระบาดของยาเสพติด การศึกษาด้อยคุณภาพ การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นมโรงเรียน ซึ่งโกงเล็กโกงน้อยข้าราชการทำกันเองได้ แต่โกงกินคำใหญ่เสียหายครั้งละมาก ๆ ต้องมีนักการเมืองร่วมบงการด้วยเสมอ ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเห็นคนในรัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่องปราบคอร์รัปชัน” ดร.มานะ กล่าวทิ้งท้าย



จับตาเปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ 15 ม.ค.นี้ ลุ้นเงินบาทหลังทำสถิติอ่อนค่า
https://www.dailynews.co.th/news/3081588/

ค่าเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าเกือบ 1 เดือน แตะระดับ 35.23 บาทต่อดอลลาร์ จับตาสัปดาห์หน้าสัญญาณเงินทุนต่างชาติ และงานเปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่ 35.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่าสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย เงินบาทเผชิญแรงขายในช่วงต้นสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่มีแรงหนุนบางส่วนต่อเนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ซึ่งออกมาดีกว่าที่คาด
 
อย่างไรก็ดี เงินบาทดีดตัวกลับมาช่วงสั้นๆ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐ ย่อตัวลงในช่วงก่อนการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ
 
เงินบาทกลับไปอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ สอดคล้องกับสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของต่างชาติ ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
 
ขณะที่แรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน หลังข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด สะท้อนว่า โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนมี.ค. ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
 
ในวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (5 ม.ค. 2567)  สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 8-12 ม.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,238 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 4,380 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 3,460 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 920 ล้านบาท)
 
สัปดาห์ถัดไป (15-19 ม.ค. 67) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.70-35.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัย
กสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ และงาน BOT Policy Briefing (เปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ)
 
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนม.ค. 2567 ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. 2566 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. 2566 ของยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ จีดีพีไตรมาส 4/66 และเครื่องชี้เศรษฐกิจอื่นๆ ในเดือนธ.ค. 2566 ด้วยเช่นกัน
 
ทั้งนี้ วันที่ 15 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมจัดแถลงเปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ ที่ธปท.สำนักงานใหญ่ โดย คุณปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงินและเลขาคณะกรรมการนโยบายการเงิน คุณสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน และคุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่