โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิงไทย
พบผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 8,000 รายต่อปี และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยเฉลี่ย 12 คนต่อวัน

โรคมะเร็งปากมดลูก ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการ ทำให้กว่าจะรู้ตัวก็เป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว
จึงทำให้การตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าหากตรวจพบรอยโรคเร็ว แล้วทำการรักษาอย่างทันท่วงที
จะมีโอกาสรักษาหายได้สูงถึง 98% ค่ะ
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
ทำไม...ต้องตรวจมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ถือว่ามี ความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ทุกรายแต่จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น
ถ้ามีคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย สูบบุหรี่ หรือ ได้รับควันบุหรี่เป็นประจำ ติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดก่อมะเร็ง
โดยมะเร็งปากมดลูก พบมากในช่วงอายุ 40 - 50 ปี และเสียชีวิต วันละประมาณ 12 ราย
ท่านได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว หากมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้น ควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจหาความผิดปกติของระบบสืบพันธ์ุของผู้หญิง ซึ่งมีตั้งแต่ รังไข่ ท่อรังไข่ และมดลูก
ผู้หญิงสามารถตรวจภายในได้ทุกช่วงอายุ ยกเว้นคนที่ผ่าตัดมดลูกพร้อมปากมดลูกไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจภายใน
ซึ่งการตรวจภายจะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear หรือ Pap Test) ตรวจหาการติดเชื้อที่ช่องคลอด
เช็คโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือปัญหาอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทราบผลภายในหนึ่งวัน
ยกเว้นรอผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และหลังตรวจภายในสามารถกลับบ้านได้เลย
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30 ปี ทุกๆ 3 ปี เป็นอย่างน้อย
ไม่นับการตรวจโรคทางนรีเวชอย่างอื่นซึ่งแนะนำว่าควรตรวจ 1 ปี แต่อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี ตามความเหมาะสม
เพื่อที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีการรักษาที่ได้ผลและหายขาด
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งปากมดลู กเช่น กินยากดภูมิคุ้มกัน, เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV)
หรือเคยมีประวัติเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ, เคยผ่าตัดปากมดลูก หรือผ่าตัดมดลูกเนื่องด้วยเซลล์ผิดปกติ

สามารถตรวจภายในได้ทุกช่วงเวลา ยกเว้นช่วงที่มีประจำเดือนควรงดเว้นไปก่อน หรือหลังมีประจำเดือนไปแล้ว 5 วัน
ยกเว้นถ้ามีอาการเลือดออกผิดปกติ ก็สามารถตรวจได้ทันที สำหรับคนที่มีปัญหาตกขาวผิดปกติ
ไม่แนะนำให้สอดยาเพื่อรักษาก่อนมาตรวจภายใน เพราะจะทำให้ยาค้างอยู่ในช่องคลอด ทำให้ตรวจภายในไม่ได้
ก่อนตรวจภายในสามารถทานอาหารและน้ำได้ปกติ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำเหมือนตรวจร่างกาย เพราะไม่มีผลใดๆ กับการตรวจภายใน
ควรปัสสาวะออกให้หมดก่อนรับการตรวจภายใน เพราะแพทย์จะได้ตรวจขนาดของมดลูกและปีกมดลูกได้อย่างชัดเจน
งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจภายในเป็นเวลาอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจส่งผลต่อการตรวจภายในได้
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตรวจมะเร็งปากมดลูก คือช่วง 10-20 วันหลังจากมีประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายสะอาด
สตรีทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ขึ้นกับว่าเวลาใดถึงก่อน
ควรเริ่มทำการตรวจแป็ปสเมียร์ หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปีสตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจแปปสเมียร์ทุกปี
หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี ในสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ โอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อย
การตรวจมะเร็งปากมดลูก อาจมีประโยชน์น้อยในช่วง 4-5 ปี หลังอายุ 21 ปี
การตรวจภายใน ไม่ได้ตรวจหามะเร็งปากมดลูกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการตรวจรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก
ทำไมต้อง “ตรวจมะเร็งปากมดลูก” ร่วมกับ “หาเชื้อไวรัส HPV”
การตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pathtezt ร่วมกับหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test)
ถือว่าการตรวจที่มีความแม่นยำ ลดโอกาสเสี่ยง มะเร็งปากมดลูกมากยิ่งขึ้น
เพราะมีความไวในการตรวจหามะเร็งปากมดลูกเกือบ 100%
รวมทั้งเป็นการตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกร่วมกับตรวจดีเอ็นเอของเชื้อ HPV
สายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก ร่วมกับการเจาะลึกให้มากขึ้นว่ามีการติดเชื้อ HPV
สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีการติดเชื้อก็สามารถมั่นใจว่าในช่วง 3-5 ปีที่รับการตรวจโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกจะน้อยมาก
มะเร็งปากมดลูก รักษาได้ หากตรวจได้เร็ว
การตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกก่อนที่จะมีอาการ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือตรวจหามะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้
1.ตรวจมะเร็งปากมดลูกแบบแปปเสมียร์ (Conventional PAP Smear)
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกแบบดั้งเดิม
มีวิธีการตรวจโดยแพทย์จะใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
วิธีนี้อาจได้ความแม่นยำไม่มากนัก แนะนำควรมาตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี วิธี
2.ตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pathtezt
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกที่พัฒนามาจากวิธี Pap Smear
สามารถลดการปนเปื้อน และช่วยในการตรวจเซลล์ได้ชัดเจนขึ้น โดยวิธีการเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะ
จากนั้นใส่ลงในขวดน้ำยากำจัดมูกเลือด ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
3.ตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี ระดับ DNA
ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจระดับชีวโมเลกุลที่สามารถค้นหาเชื้อเอชพีวี
ได้ในระยะก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกทำให้สามารถป้องกันและรักษาได้ก่อนที่เชื้อจะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก
ซึ่งสามารถระบุลงลึกไปได้ถึงสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ไม่ว่าจะเป็น สายพันธุ์ 16 และ สายพันธุ์ 18
ที่มีความเสี่ยงสูงสุดและเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% และสามารถเว้นการตรวจซ้ำได้ถึง 5 ปี
ให้ความแม่นยำในการตรวจเจอโรคสูงเกือบ 100%
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=Imzv6hWPGbc
https://www.thonburihospital.com/package/pk_hpv_vaccine2023/
https://www.thonburihospital.com/package/pk_woman_screening2023/

ทำไม...ต้องตรวจมะเร็งปากมดลูก
พบผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 8,000 รายต่อปี และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยเฉลี่ย 12 คนต่อวัน
โรคมะเร็งปากมดลูก ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการ ทำให้กว่าจะรู้ตัวก็เป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว
จึงทำให้การตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าหากตรวจพบรอยโรคเร็ว แล้วทำการรักษาอย่างทันท่วงที
จะมีโอกาสรักษาหายได้สูงถึง 98% ค่ะ
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
ผู้หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ถือว่ามี ความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ทุกรายแต่จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น
ถ้ามีคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย สูบบุหรี่ หรือ ได้รับควันบุหรี่เป็นประจำ ติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดก่อมะเร็ง
โดยมะเร็งปากมดลูก พบมากในช่วงอายุ 40 - 50 ปี และเสียชีวิต วันละประมาณ 12 ราย
ท่านได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว หากมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้น ควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจหาความผิดปกติของระบบสืบพันธ์ุของผู้หญิง ซึ่งมีตั้งแต่ รังไข่ ท่อรังไข่ และมดลูก
ผู้หญิงสามารถตรวจภายในได้ทุกช่วงอายุ ยกเว้นคนที่ผ่าตัดมดลูกพร้อมปากมดลูกไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจภายใน
ซึ่งการตรวจภายจะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear หรือ Pap Test) ตรวจหาการติดเชื้อที่ช่องคลอด
เช็คโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือปัญหาอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทราบผลภายในหนึ่งวัน
ยกเว้นรอผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และหลังตรวจภายในสามารถกลับบ้านได้เลย
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30 ปี ทุกๆ 3 ปี เป็นอย่างน้อย
ไม่นับการตรวจโรคทางนรีเวชอย่างอื่นซึ่งแนะนำว่าควรตรวจ 1 ปี แต่อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี ตามความเหมาะสม
เพื่อที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีการรักษาที่ได้ผลและหายขาด
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งปากมดลู กเช่น กินยากดภูมิคุ้มกัน, เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV)
หรือเคยมีประวัติเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ, เคยผ่าตัดปากมดลูก หรือผ่าตัดมดลูกเนื่องด้วยเซลล์ผิดปกติ
ยกเว้นถ้ามีอาการเลือดออกผิดปกติ ก็สามารถตรวจได้ทันที สำหรับคนที่มีปัญหาตกขาวผิดปกติ
ไม่แนะนำให้สอดยาเพื่อรักษาก่อนมาตรวจภายใน เพราะจะทำให้ยาค้างอยู่ในช่องคลอด ทำให้ตรวจภายในไม่ได้
ก่อนตรวจภายในสามารถทานอาหารและน้ำได้ปกติ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำเหมือนตรวจร่างกาย เพราะไม่มีผลใดๆ กับการตรวจภายใน
ควรปัสสาวะออกให้หมดก่อนรับการตรวจภายใน เพราะแพทย์จะได้ตรวจขนาดของมดลูกและปีกมดลูกได้อย่างชัดเจน
งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจภายในเป็นเวลาอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจส่งผลต่อการตรวจภายในได้
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตรวจมะเร็งปากมดลูก คือช่วง 10-20 วันหลังจากมีประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายสะอาด
สตรีทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ขึ้นกับว่าเวลาใดถึงก่อน
ควรเริ่มทำการตรวจแป็ปสเมียร์ หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปีสตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจแปปสเมียร์ทุกปี
หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี ในสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ โอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อย
การตรวจมะเร็งปากมดลูก อาจมีประโยชน์น้อยในช่วง 4-5 ปี หลังอายุ 21 ปี
การตรวจภายใน ไม่ได้ตรวจหามะเร็งปากมดลูกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการตรวจรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก
การตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pathtezt ร่วมกับหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test)
ถือว่าการตรวจที่มีความแม่นยำ ลดโอกาสเสี่ยง มะเร็งปากมดลูกมากยิ่งขึ้น
เพราะมีความไวในการตรวจหามะเร็งปากมดลูกเกือบ 100%
รวมทั้งเป็นการตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกร่วมกับตรวจดีเอ็นเอของเชื้อ HPV
สายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก ร่วมกับการเจาะลึกให้มากขึ้นว่ามีการติดเชื้อ HPV
สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีการติดเชื้อก็สามารถมั่นใจว่าในช่วง 3-5 ปีที่รับการตรวจโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกจะน้อยมาก
การตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกก่อนที่จะมีอาการ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือตรวจหามะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้
1.ตรวจมะเร็งปากมดลูกแบบแปปเสมียร์ (Conventional PAP Smear)
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกแบบดั้งเดิม
มีวิธีการตรวจโดยแพทย์จะใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
วิธีนี้อาจได้ความแม่นยำไม่มากนัก แนะนำควรมาตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี วิธี
2.ตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pathtezt
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกที่พัฒนามาจากวิธี Pap Smear
สามารถลดการปนเปื้อน และช่วยในการตรวจเซลล์ได้ชัดเจนขึ้น โดยวิธีการเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะ
จากนั้นใส่ลงในขวดน้ำยากำจัดมูกเลือด ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
3.ตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี ระดับ DNA
ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจระดับชีวโมเลกุลที่สามารถค้นหาเชื้อเอชพีวี
ได้ในระยะก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกทำให้สามารถป้องกันและรักษาได้ก่อนที่เชื้อจะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก
ซึ่งสามารถระบุลงลึกไปได้ถึงสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ไม่ว่าจะเป็น สายพันธุ์ 16 และ สายพันธุ์ 18
ที่มีความเสี่ยงสูงสุดและเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% และสามารถเว้นการตรวจซ้ำได้ถึง 5 ปี
ให้ความแม่นยำในการตรวจเจอโรคสูงเกือบ 100%
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=Imzv6hWPGbc
https://www.thonburihospital.com/package/pk_hpv_vaccine2023/
https://www.thonburihospital.com/package/pk_woman_screening2023/