ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่ไม่กล้าคิดกล้าทำ พูดไม่เก่ง ไม่กล้าทักใครเขาก่อน หาเงินไม่เก่ง ส่วนมากจะประหยัดความเป็นผู้นำน้อย
ส่วนภรรยาเขาเป็นแม่หม้ายลูกติดสองคน เขาเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ แต่คิดไม่รอบคอบชอบคิดแล้วทำเลย และกล้าพูดกล้าทักทายคนแปลกหน้า
ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ผมมีเงินเก็บอยู่แสนกว่าบาทส่วนเขามีรถยนต์ที่ยังจ่ายไม่หมด เราย้ายไปอยู่ด้วยกันเพื่อหาที่ขายของ พออยู่ด้วยกันตัวเขาใช้เงินเก่งมาก ห้องที่อยู่ก็เลือกห้องแพงๆ ชอบซื้อผักกับเนื้อสดไว้ที่บ้านแต่ออกไปกินข้างนอกจนผักกับเนื้อเน่าทิ้งหมด เวลากินอะไรก็สั่งแต่ของแพง และเราขายของได้เงินน้อยมากคือขาดทุนตลอด เงินไม่พอค่าบ้านกับน้ำมันรถ พออยู่ด้วยกันเรื่อยๆเขาก็ตั้งท้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะมีน้องเรื่องนี้ผมผิดเองแหละที่ไม่ได้ป้องกันดีๆ แล้วตอนท้องนั้นเงินเราก็หมดแล้วด้วย เขาเลยให้ผมไปกู้เงินธนาคารมาเพราะเขาเป็นสมาชิกกลุ่มสินเชื่อเงินกู้ ซึ่งการจะกู้ได้ต้องขอให้สมาชิกในกลุ่มเซ็นค้ำ5คนเขาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เงินที่กู้มาได้ก็ต้องเอาไปจ่ายงวดรถยนต์1-2งวด ที่เหลือก็เอามาใช้ขายของต่อ ตอนนั้นผมได้บอกเขาว่าถ้าเราไม่มีเงินแล้วผมจะไปหาทำงานอย่างอื่นก่อน เขาไม่ให้ผมไป เขาจะให้ผมหาที่ขายของให้ได้อย่างเดียว ผมก็ยอมเพราะถ้าพูดมากเดี๋ยวจะทะเลาะกัน ผมเลยยอมเขามาตลอด และรอดูว่าเขาจะแก้ปัญหายังไง
พอเราอยู่ด้วยกันเรื่อยๆจนท้องเริ่มโตเราเลยต้องบอกทางบ้านเพื่อแต่งงานกัน แต่เงินไม่เหลือแล้วผมเลยต้องเอาที่ดินผมไปค้ำเพื่อกู้เงินมาแต่งงาน เงินส่วนหนึ่งก็เอาไปจ่ายงวดรถ พอเราสู้กันมาจนลูกคลอด ความหวังที่จะใช้หนี้หมดก็มาถึง ชื่อที่เขาสมัครไปทำงานเกาหลีใต้ออกมา แต่ตอนนั้นยังไปไม่ได้เพราะต้องทำเรื่องและรออีกนานพอควร ช่วงนั้นเขาเปิดรับสมัครพอดีผมก็สมัครไปเหมือน สอบผ่านทำเรื่องทุกอย่างครบและรอจนเกือบได้ไป แต่วีซ่าไม่อนุมัติให้(สาเหตุมาจากผมเคยไปมาก่อน ไปแบบถูกกฎหมายในตอนแรก พอวีซ่าผมหมด แต่นายจ้างยังค้างจ่ายเงินเดือนเกือบ2เดือน ผมเลยต้องอยู่ตามเงินเดือนนั้นแบบเวอร์วีซ่า แล้วถูกจับกลับมา)
ช่วงที่รอเขาได้ไปเกาหลีจะมีช่วงนึงที่ต้องมีการเรียนภาษาเตรียมบิน เขาให้ผมหายืมเงินจากญาติเพื่อปิดหนี้ธนาคารของผม แล้วกู้เพิ่ม ตอนนั้นเขาบอกว่าจะให้ไปหาที่ขายของต่างจังหวัด ผมก็บอกว่าให้รอไปเกาหลีดีกว่ามั้ยจะได้ไม่ต้องเสียเงินเปล่า แต่เขาก็ไม่ฟัง เลยพากันไปต่างจังหวัดจองห้องเช่า ขนของเรียบร้อยสุดท้ายยังไม่ทันได้ขายอะไร ชื่อที่ต้องไปเรียนเตรียมบินออก เราเลยต้องขนของกลับบ้านเสียเงินเปล่าไปไปหลายหมื่น (ช่วงนี้เราเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกัน)
พอถึงวันที่เขาจะได้บินไปเกาหลี ผมก็ต้องเป็นคนกู้เงินจ่ายค่าตั๋ว พอหลังจากไปถึงเกาหลีได้แค่ 3อาทิตย์ เขาแอบคุยกับคนอื่น(เขาเคยมีอะไรกันมาก่อนที่เราจะรู้จักกัน) แล้วก็นัดเจอกัน(ผู้ชายคนนั้นมีลูกมีเมียอยู่บ้าน) และที่ผมรู้เพราะผมติดตาม gps และเข้าเฟสเขาได้ ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ พอผมสืบเรื่อยๆเขาเลยยอมรับว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปต่อกันในร้านคาราโอเกะ เขาก็มีเพื่อนไปด้วย ผู้ชายคนนั้นก็มีเพื่อนไปด้วย ไม่ได้มีอะไรเกินเลย เราเลยทะเลาะกันผมก็ยังให้อภัยเพราะสงสารลูกบวกกับหนี้ที่เป็นชื่อผมอีกเพียบ แต่หลังจากนั้นผมสั่งห้ามเที่ยวผับเที่ยวกลางคืน หรือร้านคาราโอเกะ และห้ามเที่ยวที่ที่มีผู้ชาย
หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่วัน เขาได้ไปเจอเพื่อนเขาที่ทำงานคาราโอเกะ(มีขายบริการด้วย) เขาก็บ่นให้ผมฟังตลอดเลยว่าเพื่อนเขาได้ทำศัลยกรรมจนสวย หุ่นดี มีเวลาดูแลตัวเอง เขาเลยพูดเชิงหยอกว่าจะไปทำงานกับเพื่อนคนนี้แล้วนะผมก็เลยบอกกับเขาว่า ถ้าจะไปทำงานกับเพื่อน ให้ตั้งใจทำงานโรงงานแล้วจ่ายหนี้ให้หมดก่อน แล้วกลับมาเซ็นใบหย่าแล้วค่อยไปทำเอง เขาเลยบอกว่าแค่ล้อเล่น (ช่วงเวลานี้ผมได้สมัครไปทำงานอิสราเอลแล้วกะไว้ว่าจะเลี้ยงลูกไปก่อนแล้วรอไปอิสราเอล)
แล้วพอเวลาผ่านไปถึงช่วงปีใหม่ เขาได้ขัดต่อสิ่งที่ผมห้าม คือเที่ยวผับ เขาได้ไปเค้าดาวปีใหม่ในผับ เราเลยทะเลาะกันหนักกว่าเดิม เขาบอกว่าจะโทรวิดีโอคอลกับผมตลอด แต่ผมไม่เอาแล้ว เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำเลย ผมจะเลิกยุ่งเลิกตาม (ที่ผมต้องห้ามเขาขนาดนี้ เพราะเขาเคยเล่าว่าผู้ชายคนที่เขานัดเจอล่าสุดคนนั้น เมื่อก่อนเขาเคยเจอกันในผับ) หลังจากนั้นมาผมก็เลิกโทรหาเขาเลย จะมีแต่เขาที่โทรมา แล้วพอเขาโทรมาเขาบอกว่าจะยื่นขอวีซ่าให้ผมได้ไปเยี่ยมเขาที่เกาหลี ซึ่งผมก็บอกไปแล้วนะว่าอย่าทำ เพราะตัวเขาเพิ่งไปได้แค่3เดือนและตัวผมที่เคยไปเวอร์วีซ่ามาแล้วโอกาสที่จะผ่านน้อยมาก เขาก็ไม่ฟัง หาบริษัทยื่นขอวีซ่าและจ่ายเงินไปแล้วเรียบร้อย15,000 สุดท้ายวีซ่าไปเกาหลีก็ไม่ผ่านเสียเงินฟรี และผมก็ยังไม่ได้ไปอิสราเอลเพราะเอาพาสปอร์ตไปยื่นขอวีซ่าตามที่เขาบอกให้ทำไปแล้ว และช่วงหลังปีใหม่ ลูกเขาอีกสองคนก็มาอยู่กับผมด้วย และยังมีพี่สาวที่ทิ้งหลานอีกสองคนให้ผมดูแล และอยู่กับแม่ที่เป็นผู้พิการ
หลังจากนั้นเขาเลยขอให้ผมไปหาที่ขายของต่างจังหวัด ซึ่งผมก็บอกว่าถ้าให้ไปต่างจังหวัด ผมขายแถวบ้านดีกว่ามั้ยเพราะมีที่นึงที่เราเคยไปขายมาก่อน แต่เขาก็บอกว่าไม่เอา จะให้หาขายต่างจังหวัดอย่างเดียวเพราะเขาอยากกลับบ้านมาแล้วมีที่ขายของเลย เดี๋ยวเขาจะซัพพอร์ตเรื่องเงิน (ซึ่งตามข้างต้นที่ผมบอกในตอนแรกว่าผมเป็นคนไม่กล้าคิดกล้าทำ พูดไม่เก่ง ไม่กล้าเข้าไปทักใครเขาก่อน ให้ผมไปทำคนเดียวยังไงก็ไม่มีทางทำได้ เพราะถ้าผมทำเองได้ผมคงทำไปนานแล้ว คงไม่รอให้มาเจอเขา) ผมก็ยังต้องไปต่างจังหวัดเพื่อหาที่ขายของ แล้วพอผมหาที่ได้ เขาก็ออกจากงานที่ทำอยู่ (ช่วงรองานใหม่ของที่เกาหลีเราสามารถกลับบ้านได้) เขาอยากกลับมาบ้าน ผมก็ห้ามเหมือนกันนะ และเตือนว่าถ้ากลับมาเราจะมีหนี้เพิ่มเรื่อยๆ เขาก็ไม่ได้สนใจ จะกลับไทยให้ได้ เพราะเขามีแผนไว้แล้ว และช่วงนั้นเขาได้นัดเจอผู้ชายที่เคยมีอะไรด้วยอีกคนไม่ใช่คนเดิมนะครับ เขาก็อ้างว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม
ที่ผมเล่ามาถึงตอนนี้คือตอนเขาเพิ่งไปเกาหลีได้แค่7เดือน เงินที่เขาส่งมายังไม่พอจ่ายหนี้ธนาคาร ผมเพิ่งจะจัดการจ่ายงวดรถ จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่มีทั้งของผมและของเขา(หนี้ของเขาจะเป็นเงินกู้ก่อนเราจะรู้จักกัน) คืนเงินที่ยืมจากญาติพี่น้อง(5-6หมื่น) ซื้อนมผงผ้าอ้อมให้ลูก(3-4พันต่อเดือน) ค่าเทอมลูกติดของเขาอีกสองคน เงินเหลือใช้จริงๆแค่4-5พันต้องจัดการให้ถึงเดือนถัดไป
พอเขากลับมาไทยเราก็ไม่มีเงินเหลือแล้วครับ ผมต้องกลับมายืมญาติพี่น้องผมอีกครั้ง แล้วช่วยกันขายของ ในตอนนั้นผมบอกไปว่าให้หาห้องถูกๆอยู่ไปก่อนถ้าขายดีขายได้เราค่อยย้ายห้อง แต่เขากลับเลือกห้องราคา5พันต่อเดือนและมัดจำ1ปี เราก็ช่วยกันขายได้เดือนนึงเขาเลยอยากกลับบบ้านไปเจอลูก และก็พาลูกไปอยู่ด้วยกันที่ขายของสุดท้ายก็ขายไม่ดีตามเคย ไปไม่รอด เขาเลยต้องกลับไปเกาหลี ตอนนั้นยังมีวีซ่ากลับไปทำงานแบบถูกกฎหมายได้แต่พอกลับไปถึงเกาหลีเขาก็เลือกทำงานกับเพื่อนทันที ส่วนผมต้องอยู่กับลูกอายุ1ขวบ7เดือนสองคนในห้องเช่าราคา5พัน รวมน้ำไฟ 7-8พัน กับของที่ขนมาเต็มห้อง จะขนของกลับบ้านก็ยาก จะหางานทำก็ไม่ได้ เพราะมีลูกน้อยอยู่ด้วย โชคดีมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆเลยฝากของไว้บ้านเพื่อนก่อน
ส่วนตอนนี้คือกลับมาอยู่ที่บ้านกันแล้ว
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้กับปัจจุบันเราคุยกันไม่ลงตัว เพราะถ้าผมบอกว่าผมจะเลิกเพราะเขาทำงานนี้ เขาก็บอกว่าที่เขาไปทำเพราะผมเห็นแก่ตัวผมไม่ช่วยเขาหาเงิน และถ้าเลิกกันตอนนี้เขาก็จะไม่ส่งเงินมาให้ผมเลี้ยงลูกและเงินที่พาลูกไปรักษา ผมเลยว่าจะไปหางานทำเองแต่จะเอารถไปด้วยแต่เขาไม่โอเคที่ผมจะเอารถไปด้วย ที่ผ่านมาคือผมฟังแต่เขามาตลอดทำทุกอย่างที่เขาขอ จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว จะหายืมใครไปทำงานก็ไม่ได้แล้ว คุยกับเขาก็ยาก
เรื่องกระทู้ที่ผมตั้งคำถามแล้วเล่าสั้นๆบางคนคงมองว่าทำไมแปลกจัง เขาทำเพื่อครอบครัวแต่กลับจะฟ้องเขา ใจเย็นๆกันก่อนนะครับ คือไม่ใช่ว่าผมต้องการจะฟ้องเขาเรื่องขายบริการในทันทีตอนนี้ และที่จริงอยากฟ้องชู้ แต่หลักฐานฟ้องชู้มันไม่เพียงพอ ผมแค่อยากถามเกี่ยวกับการฟ้อง “เผื่อ” ว่าถ้าตกลงกันไม่ได้จริงๆค่อยยื่นฟ้องทีหลัง เพราะเรื่องที่เขาทำงานนี้คนทางบ้านยังไม่มีใครรู้
ส่วนเรื่องที่อยากฟ้องก็ ถ้าตกลงเรื่องจ่ายหนี้กันไม่ได้จริงๆ ผมก็อยากฟ้องให้เขาช่วยจ่ายหนี้คนละครึ่งก็ยังดี แต่เขาก็ต้องจ่ายส่วนที่เอาไปจ่ายงวดรถด้วยเพราะรถเป็นของเขาแต่เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าจะฟ้องให้เขาช่วยจ่ายได้ไหมเพราะเป็นหนี้เกิดก่อนจดทะเบียนสมรส ส่วนเรื่องลูก ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็อยากฟ้องสิทธิ์เลี้ยงลูกและค่าเลี้ยงดูลูก
ภรรยาแอบขายบริการ ฟ้องอะไรได้บ้างไหม ?
ส่วนภรรยาเขาเป็นแม่หม้ายลูกติดสองคน เขาเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ แต่คิดไม่รอบคอบชอบคิดแล้วทำเลย และกล้าพูดกล้าทักทายคนแปลกหน้า
ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ผมมีเงินเก็บอยู่แสนกว่าบาทส่วนเขามีรถยนต์ที่ยังจ่ายไม่หมด เราย้ายไปอยู่ด้วยกันเพื่อหาที่ขายของ พออยู่ด้วยกันตัวเขาใช้เงินเก่งมาก ห้องที่อยู่ก็เลือกห้องแพงๆ ชอบซื้อผักกับเนื้อสดไว้ที่บ้านแต่ออกไปกินข้างนอกจนผักกับเนื้อเน่าทิ้งหมด เวลากินอะไรก็สั่งแต่ของแพง และเราขายของได้เงินน้อยมากคือขาดทุนตลอด เงินไม่พอค่าบ้านกับน้ำมันรถ พออยู่ด้วยกันเรื่อยๆเขาก็ตั้งท้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะมีน้องเรื่องนี้ผมผิดเองแหละที่ไม่ได้ป้องกันดีๆ แล้วตอนท้องนั้นเงินเราก็หมดแล้วด้วย เขาเลยให้ผมไปกู้เงินธนาคารมาเพราะเขาเป็นสมาชิกกลุ่มสินเชื่อเงินกู้ ซึ่งการจะกู้ได้ต้องขอให้สมาชิกในกลุ่มเซ็นค้ำ5คนเขาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เงินที่กู้มาได้ก็ต้องเอาไปจ่ายงวดรถยนต์1-2งวด ที่เหลือก็เอามาใช้ขายของต่อ ตอนนั้นผมได้บอกเขาว่าถ้าเราไม่มีเงินแล้วผมจะไปหาทำงานอย่างอื่นก่อน เขาไม่ให้ผมไป เขาจะให้ผมหาที่ขายของให้ได้อย่างเดียว ผมก็ยอมเพราะถ้าพูดมากเดี๋ยวจะทะเลาะกัน ผมเลยยอมเขามาตลอด และรอดูว่าเขาจะแก้ปัญหายังไง
พอเราอยู่ด้วยกันเรื่อยๆจนท้องเริ่มโตเราเลยต้องบอกทางบ้านเพื่อแต่งงานกัน แต่เงินไม่เหลือแล้วผมเลยต้องเอาที่ดินผมไปค้ำเพื่อกู้เงินมาแต่งงาน เงินส่วนหนึ่งก็เอาไปจ่ายงวดรถ พอเราสู้กันมาจนลูกคลอด ความหวังที่จะใช้หนี้หมดก็มาถึง ชื่อที่เขาสมัครไปทำงานเกาหลีใต้ออกมา แต่ตอนนั้นยังไปไม่ได้เพราะต้องทำเรื่องและรออีกนานพอควร ช่วงนั้นเขาเปิดรับสมัครพอดีผมก็สมัครไปเหมือน สอบผ่านทำเรื่องทุกอย่างครบและรอจนเกือบได้ไป แต่วีซ่าไม่อนุมัติให้(สาเหตุมาจากผมเคยไปมาก่อน ไปแบบถูกกฎหมายในตอนแรก พอวีซ่าผมหมด แต่นายจ้างยังค้างจ่ายเงินเดือนเกือบ2เดือน ผมเลยต้องอยู่ตามเงินเดือนนั้นแบบเวอร์วีซ่า แล้วถูกจับกลับมา)
ช่วงที่รอเขาได้ไปเกาหลีจะมีช่วงนึงที่ต้องมีการเรียนภาษาเตรียมบิน เขาให้ผมหายืมเงินจากญาติเพื่อปิดหนี้ธนาคารของผม แล้วกู้เพิ่ม ตอนนั้นเขาบอกว่าจะให้ไปหาที่ขายของต่างจังหวัด ผมก็บอกว่าให้รอไปเกาหลีดีกว่ามั้ยจะได้ไม่ต้องเสียเงินเปล่า แต่เขาก็ไม่ฟัง เลยพากันไปต่างจังหวัดจองห้องเช่า ขนของเรียบร้อยสุดท้ายยังไม่ทันได้ขายอะไร ชื่อที่ต้องไปเรียนเตรียมบินออก เราเลยต้องขนของกลับบ้านเสียเงินเปล่าไปไปหลายหมื่น (ช่วงนี้เราเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกัน)
พอถึงวันที่เขาจะได้บินไปเกาหลี ผมก็ต้องเป็นคนกู้เงินจ่ายค่าตั๋ว พอหลังจากไปถึงเกาหลีได้แค่ 3อาทิตย์ เขาแอบคุยกับคนอื่น(เขาเคยมีอะไรกันมาก่อนที่เราจะรู้จักกัน) แล้วก็นัดเจอกัน(ผู้ชายคนนั้นมีลูกมีเมียอยู่บ้าน) และที่ผมรู้เพราะผมติดตาม gps และเข้าเฟสเขาได้ ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ พอผมสืบเรื่อยๆเขาเลยยอมรับว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปต่อกันในร้านคาราโอเกะ เขาก็มีเพื่อนไปด้วย ผู้ชายคนนั้นก็มีเพื่อนไปด้วย ไม่ได้มีอะไรเกินเลย เราเลยทะเลาะกันผมก็ยังให้อภัยเพราะสงสารลูกบวกกับหนี้ที่เป็นชื่อผมอีกเพียบ แต่หลังจากนั้นผมสั่งห้ามเที่ยวผับเที่ยวกลางคืน หรือร้านคาราโอเกะ และห้ามเที่ยวที่ที่มีผู้ชาย
หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่วัน เขาได้ไปเจอเพื่อนเขาที่ทำงานคาราโอเกะ(มีขายบริการด้วย) เขาก็บ่นให้ผมฟังตลอดเลยว่าเพื่อนเขาได้ทำศัลยกรรมจนสวย หุ่นดี มีเวลาดูแลตัวเอง เขาเลยพูดเชิงหยอกว่าจะไปทำงานกับเพื่อนคนนี้แล้วนะผมก็เลยบอกกับเขาว่า ถ้าจะไปทำงานกับเพื่อน ให้ตั้งใจทำงานโรงงานแล้วจ่ายหนี้ให้หมดก่อน แล้วกลับมาเซ็นใบหย่าแล้วค่อยไปทำเอง เขาเลยบอกว่าแค่ล้อเล่น (ช่วงเวลานี้ผมได้สมัครไปทำงานอิสราเอลแล้วกะไว้ว่าจะเลี้ยงลูกไปก่อนแล้วรอไปอิสราเอล)
แล้วพอเวลาผ่านไปถึงช่วงปีใหม่ เขาได้ขัดต่อสิ่งที่ผมห้าม คือเที่ยวผับ เขาได้ไปเค้าดาวปีใหม่ในผับ เราเลยทะเลาะกันหนักกว่าเดิม เขาบอกว่าจะโทรวิดีโอคอลกับผมตลอด แต่ผมไม่เอาแล้ว เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำเลย ผมจะเลิกยุ่งเลิกตาม (ที่ผมต้องห้ามเขาขนาดนี้ เพราะเขาเคยเล่าว่าผู้ชายคนที่เขานัดเจอล่าสุดคนนั้น เมื่อก่อนเขาเคยเจอกันในผับ) หลังจากนั้นมาผมก็เลิกโทรหาเขาเลย จะมีแต่เขาที่โทรมา แล้วพอเขาโทรมาเขาบอกว่าจะยื่นขอวีซ่าให้ผมได้ไปเยี่ยมเขาที่เกาหลี ซึ่งผมก็บอกไปแล้วนะว่าอย่าทำ เพราะตัวเขาเพิ่งไปได้แค่3เดือนและตัวผมที่เคยไปเวอร์วีซ่ามาแล้วโอกาสที่จะผ่านน้อยมาก เขาก็ไม่ฟัง หาบริษัทยื่นขอวีซ่าและจ่ายเงินไปแล้วเรียบร้อย15,000 สุดท้ายวีซ่าไปเกาหลีก็ไม่ผ่านเสียเงินฟรี และผมก็ยังไม่ได้ไปอิสราเอลเพราะเอาพาสปอร์ตไปยื่นขอวีซ่าตามที่เขาบอกให้ทำไปแล้ว และช่วงหลังปีใหม่ ลูกเขาอีกสองคนก็มาอยู่กับผมด้วย และยังมีพี่สาวที่ทิ้งหลานอีกสองคนให้ผมดูแล และอยู่กับแม่ที่เป็นผู้พิการ
หลังจากนั้นเขาเลยขอให้ผมไปหาที่ขายของต่างจังหวัด ซึ่งผมก็บอกว่าถ้าให้ไปต่างจังหวัด ผมขายแถวบ้านดีกว่ามั้ยเพราะมีที่นึงที่เราเคยไปขายมาก่อน แต่เขาก็บอกว่าไม่เอา จะให้หาขายต่างจังหวัดอย่างเดียวเพราะเขาอยากกลับบ้านมาแล้วมีที่ขายของเลย เดี๋ยวเขาจะซัพพอร์ตเรื่องเงิน (ซึ่งตามข้างต้นที่ผมบอกในตอนแรกว่าผมเป็นคนไม่กล้าคิดกล้าทำ พูดไม่เก่ง ไม่กล้าเข้าไปทักใครเขาก่อน ให้ผมไปทำคนเดียวยังไงก็ไม่มีทางทำได้ เพราะถ้าผมทำเองได้ผมคงทำไปนานแล้ว คงไม่รอให้มาเจอเขา) ผมก็ยังต้องไปต่างจังหวัดเพื่อหาที่ขายของ แล้วพอผมหาที่ได้ เขาก็ออกจากงานที่ทำอยู่ (ช่วงรองานใหม่ของที่เกาหลีเราสามารถกลับบ้านได้) เขาอยากกลับมาบ้าน ผมก็ห้ามเหมือนกันนะ และเตือนว่าถ้ากลับมาเราจะมีหนี้เพิ่มเรื่อยๆ เขาก็ไม่ได้สนใจ จะกลับไทยให้ได้ เพราะเขามีแผนไว้แล้ว และช่วงนั้นเขาได้นัดเจอผู้ชายที่เคยมีอะไรด้วยอีกคนไม่ใช่คนเดิมนะครับ เขาก็อ้างว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม
ที่ผมเล่ามาถึงตอนนี้คือตอนเขาเพิ่งไปเกาหลีได้แค่7เดือน เงินที่เขาส่งมายังไม่พอจ่ายหนี้ธนาคาร ผมเพิ่งจะจัดการจ่ายงวดรถ จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่มีทั้งของผมและของเขา(หนี้ของเขาจะเป็นเงินกู้ก่อนเราจะรู้จักกัน) คืนเงินที่ยืมจากญาติพี่น้อง(5-6หมื่น) ซื้อนมผงผ้าอ้อมให้ลูก(3-4พันต่อเดือน) ค่าเทอมลูกติดของเขาอีกสองคน เงินเหลือใช้จริงๆแค่4-5พันต้องจัดการให้ถึงเดือนถัดไป
พอเขากลับมาไทยเราก็ไม่มีเงินเหลือแล้วครับ ผมต้องกลับมายืมญาติพี่น้องผมอีกครั้ง แล้วช่วยกันขายของ ในตอนนั้นผมบอกไปว่าให้หาห้องถูกๆอยู่ไปก่อนถ้าขายดีขายได้เราค่อยย้ายห้อง แต่เขากลับเลือกห้องราคา5พันต่อเดือนและมัดจำ1ปี เราก็ช่วยกันขายได้เดือนนึงเขาเลยอยากกลับบบ้านไปเจอลูก และก็พาลูกไปอยู่ด้วยกันที่ขายของสุดท้ายก็ขายไม่ดีตามเคย ไปไม่รอด เขาเลยต้องกลับไปเกาหลี ตอนนั้นยังมีวีซ่ากลับไปทำงานแบบถูกกฎหมายได้แต่พอกลับไปถึงเกาหลีเขาก็เลือกทำงานกับเพื่อนทันที ส่วนผมต้องอยู่กับลูกอายุ1ขวบ7เดือนสองคนในห้องเช่าราคา5พัน รวมน้ำไฟ 7-8พัน กับของที่ขนมาเต็มห้อง จะขนของกลับบ้านก็ยาก จะหางานทำก็ไม่ได้ เพราะมีลูกน้อยอยู่ด้วย โชคดีมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆเลยฝากของไว้บ้านเพื่อนก่อน
ส่วนตอนนี้คือกลับมาอยู่ที่บ้านกันแล้ว
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้กับปัจจุบันเราคุยกันไม่ลงตัว เพราะถ้าผมบอกว่าผมจะเลิกเพราะเขาทำงานนี้ เขาก็บอกว่าที่เขาไปทำเพราะผมเห็นแก่ตัวผมไม่ช่วยเขาหาเงิน และถ้าเลิกกันตอนนี้เขาก็จะไม่ส่งเงินมาให้ผมเลี้ยงลูกและเงินที่พาลูกไปรักษา ผมเลยว่าจะไปหางานทำเองแต่จะเอารถไปด้วยแต่เขาไม่โอเคที่ผมจะเอารถไปด้วย ที่ผ่านมาคือผมฟังแต่เขามาตลอดทำทุกอย่างที่เขาขอ จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว จะหายืมใครไปทำงานก็ไม่ได้แล้ว คุยกับเขาก็ยาก
เรื่องกระทู้ที่ผมตั้งคำถามแล้วเล่าสั้นๆบางคนคงมองว่าทำไมแปลกจัง เขาทำเพื่อครอบครัวแต่กลับจะฟ้องเขา ใจเย็นๆกันก่อนนะครับ คือไม่ใช่ว่าผมต้องการจะฟ้องเขาเรื่องขายบริการในทันทีตอนนี้ และที่จริงอยากฟ้องชู้ แต่หลักฐานฟ้องชู้มันไม่เพียงพอ ผมแค่อยากถามเกี่ยวกับการฟ้อง “เผื่อ” ว่าถ้าตกลงกันไม่ได้จริงๆค่อยยื่นฟ้องทีหลัง เพราะเรื่องที่เขาทำงานนี้คนทางบ้านยังไม่มีใครรู้
ส่วนเรื่องที่อยากฟ้องก็ ถ้าตกลงเรื่องจ่ายหนี้กันไม่ได้จริงๆ ผมก็อยากฟ้องให้เขาช่วยจ่ายหนี้คนละครึ่งก็ยังดี แต่เขาก็ต้องจ่ายส่วนที่เอาไปจ่ายงวดรถด้วยเพราะรถเป็นของเขาแต่เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าจะฟ้องให้เขาช่วยจ่ายได้ไหมเพราะเป็นหนี้เกิดก่อนจดทะเบียนสมรส ส่วนเรื่องลูก ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็อยากฟ้องสิทธิ์เลี้ยงลูกและค่าเลี้ยงดูลูก