ooo ใจดั่งว่า พบที่หมายคลายร้อนรน ooo




เย็นลมพาพัดฉิวริ้วริ้วไหว
หล่นร่วงใบว่อนปลิวลิ่วรายถม
กระดิ่งสายไกวดังฟังระงม
คล้ายเสียงขรมไห้หมองของดวงแด

สถูปใหญ่ผ่านไปไหว้เคารพ
แสงอ่อนพลบมิพรางบังเงาแม้
บันไดโบสถ์เรียบรื่นชื่นตาแล
สงบแท้ยามก้าวเข้าสีมา

ดังองค์พระปฏิมาทอดตาเห็น
พระพักตร์เย็นการุณมองมาหา
พระโอษฐ์แย้มอวบอิ่มยิ้มเมตตา
ใจดั่งว่าพบที่หมายคลายร้อนรน

ทรุดสองเข่ามือพนมก้มลงกราบ
หน้าผากนาบแนบพื้นสะอื้นท้น
อกสะท้อนซ่อนน้ำตาเกินกว่าทน
รินหลั่งล้นเบื้องหน้าพระประธาน

ลูกขอพึ่งพระองค์ทรงโปรดด้วย
โปรดจงช่วยรับฟังคำลูกนำสาร
มิขอใดหนักหนากว่าควรการ
ลูกอัดอั้นร้าวรานนานเหลือเกิน

ลูกทำกรรมมากหรือไรในชาติก่อน
ชาตินี้ย้อนชีวันดั้นระเหิน
สำเร็จหมายช่างยากแท้แก้เผชิญ
ทางลูกเดินดุจลุยไปในไพรพง

ทั้งร้างเปลี่ยวเหลียวไหนไร้ใครข้าง
ชะแง้พลางร้องเพรียกเรียกเสียงหลง
เพียงเดียวดายเดินคว้างกลางดิบดง
เสียงสะท้อนคืนคงเสียงตนดัง

มองดูแสงนำทางก็พรางไม้
ตะวันไกลฟ้ากำหนดหมดสิ้นหวัง
ป่ารกชัฏหาทิศมืดมิดบัง
หวั่นประดังถมใจใกล้ราแรง

ขอยอมรับกรรมไว้ไม่ต่อต้าน
นายเวรท่านฟังหน่อยถ้อยแถลง
จงรับเถิดบุญอุทิศจิตสำแดง
ทุกคราแจ้งมอบให้ไม่ถือเอา

วอนพระท่านทานบุญจารหนุนสู่
เจ้ากรรมรู้รับได้ส่งให้เขา
อโหสิบ้างหนอพอบรรเทา
ทุกข์แลเศร้าแก่ลูกอย่าผูกเวร

ลูกมีเพียงสิบนิ้วมาบูชาท่าน
ไร้เทียนพานธูปดอกไม้นำไหว้เซ่น
ชีวิตลูกเหลือยังหวังประเคน
มอบเพื่อเป็น ข้าแห่งพุทธ ตราบสุดกรรม





ooooooooooooooooooooooooooooooooooooo


" ขอโทษค่ะ คิดว่า ว่าง เห็นเปิดไฟไว้"
ฉันกล่าว เมื่อแท็กซี่คันที่โบกเรียกจอดตรงหน้า เมื่อคนขับเปิดกระจกออก ฉันจึงเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงอายุประมาณไม่เกิน 12 ปีนั่งอยู่ตรงเบาะหน้า

"ไปค่ะ หนูเป็นลูกสาว" เด็กหญิงรีบพูดขึ้น ฉันจึงเดินไปขึ้นด้านหลังแบบสงสัยเล็กน้อย ในใจคิดว่า เอาลูกสาวคิดรถมาด้วยคงจะไปไหนต่อกัน
หลังจากขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ก็บอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ
เขาก็รีบขอโทษ และเล่าเรื่องราวที่ต้องเอาลูกติดรถมาด้วยว่า
"ผมจำเป็นต้องเอาลูกมาด้วยครับ ถูกไล่ออกจากห้องเช่า ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า เมียผมติดหนี้เงินกู้นอกระบบ เงินที่มีอยู่ 4000 เตรียมไว้ให้ค่าห้อง ค่าลูกเปิดเทอม มันก็เอาไปด้วย ผมเลยต้องเอาลูกออกมาขับรถด้วย ตอนนี้ กิน นอน ในรถกัน อาบน้ำในปั้ม ซักผ้าหยอดเหรียญ"
ฉันฟัง ด้วยความรู้สึก สลดใจในความยากลำบากของคนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
และถามไปว่า " ตอนนี้น้องก็ไม่ได้ไป รร.สิ"
คนขับตอบว่า" ครับให้หยุดก่อน ผมบอกลูกว่า เดี๋ยวพ่อหาเงินเช่าห้องใหม่ได้ก่อนค่อยไป ผมออกมายังรวบรวมเงินไม่ได้เลย คนเงียบมาก แต่ละวันยังไม่พอค่าเช่า ผมติดค้างค่าเช่าเขาหลายวันแล้ว
หาได้พอค่าข้าว 2 คนพ่อ ลูกกับค่าแก๊ส
ในแต่ละวันเอง
ผมต้องหาค่าส่งรถ รวมกับค่าหาเช่าห้องใหม่ หลายวันแล้วยังรวมไม่ได้สักทีครับ
ค่ารถเขาก็โทรมาทวงแล้ว"

ฉันนิ่งเงียบ ในใจคิดว่า จะมีคนอีกเท่าไรนะ ที่อยู่ในภาวะยากลำบากแบบนี้

เขาเล่าต่อ เหมือนเขาเครียด อยากระบายออก "ผมยังไม่รู้ว่าถ้าเขาเอารถคืน ผมจะทำอย่างไร พยายามหาเบอร์คนรู้จักที่เขาทำงานก่อสร้าง ผมไม่มีความรู้ด้านช่าง ก็คงต้องไปเป็นกรรมกร ต้องหาที่มีที่พักจะได้เอาลูกไปอยู่ด้วยได้ ลูกผมคงก็ต้องหยุดเรียนยาว"

เขาเงียบไปสักพัก เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขารับแล้วพูดว่า " ครับๆ ผมจะรวบรวมให้ครับ
จะหาให้เร็วที่สุดครับ มีเท่าไรผมจะส่งให้ก่อนครับ"
หลังจากวางสาย เขาบอกว่า "เถ้าแก่โทรมาทวงค่ารถ ผมติดเขา วันนี้เข้าวันที่5 แล้ว
เขาให้ผมจ่ายครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าไม่ได้เขาให้ผมเอารถไปคืนวันนี้ออกรถมาตั้งแต่ 6โมงพึ่งรับคุณเที่ยวที่2 ผมคงจะหาไม่ทัน" เวลาตอนนั้นใกล้ 11 โมงแล้ว

ฉันตอบเขาไปตามมารยาทว่า" ช่วงนี้แย่ไปตามๆกันค่ะ ในตลาดก็เงียบลูกค้าไม่ค่อยเดินเหมือนกัน"

จากนั้นระดับความเครียดของเขาคงเพิ่มขึ้นมาก เขาเหมือนพูดกับตัวเอง ว่าจะทำยังดี ค่าบ้านก็ยังรวบรวมไม่ได้ เบอร์คนรู้จักทำงานก่อสร้างก็ยังหาไม่เจอ เมื่อเช้าก็ยืมค่าแก๊สเพื่อนที่ขับวินมา ผู้โดยสารก็หายาก จะวิ่งไปแถวไหนดี
เขาบ่นไปเรื่อยๆ พูดวนๆไป หลายรอบ
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ฉันบอกเขาว่า "คุณเครียด อย่าวิ่งรถไปเรื่อยๆแบบนี้เลย อันตรายทั้งคุณและลูก
แวะจอดวัดไหน สงบใจสักพักก่อน ใจสงบแล้ว อาจเห็นทางออกก็ได้"

ฉันส่งเงินให้เขา 200 บาท ค่าโดยสารแค่ 80 บาท ฉันช่วยเขาได้แค่นี้

ลงรถมาด้วยความรู้สึกหดหู่ ไม่รู้หรอกว่า เขาจะทำตามที่ฉันแนะนำไหม เรื่องนี้มันค้างอยู่ในความทรงจำตลอด

หันกลับมามอง สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในประเทศ
ที่เกิดความแตกต่างทางความคิดมากมาย

คนที่อยู่ในวัยกำลังศึกษา ยังไม่เคยดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ ยังไม่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ก็คิดในแบบของเขา มองถึงการปรับโครงสร้างประเทศตามอุดมคติ ต้องทลายทุนผูกขาด แต่ก็ลืมสำรวจตัวเองว่าในชีวิตประจำวันนั้น ตัวเองได้มีส่วนสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นอย่างไรหรือมากเท่าใด และสิ่งที่พวกเขาหวังและฝันไว้ จะทำให้เป็นจริงได้หรือไม่ ด้วยวิธีการอย่างไรและเมื่อไร

คนที่อยู่บนหอคอยงาช้าง นักวิชาการ ผู้บริหารระดับบน มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่เคยรับรู้ความยากลำบาก ไม่ได้รับผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ย่อมไม่เข้าใจการใช้ชีวิตที่ต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอดไปแต่ละมื้อ แต่ละวัน ของผู้คนที่ถูกเรียกว่า ระดับล่าง
พวกเขาได้แต่นำเสนอในแบบของเขาที่คิดว่า ดีเลิศ และถูกต้อง
พวกเขามีอิทธิพลในสังคมมากกว่า เสียงของแม่ค้าในตลาด คนขับรถรับจ้างฯลฯ จึงใช้สิ่งที่เรียกว่า ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ กดดันสังคมให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
พวกเขาลืมไปว่า 1 เสียงของเขาเท่ากับ 1 เสียงของคนระดับล่างเช่นกัน

สื่อ ที่ถูกยกย่องให้นับเป็นฐานันดร ที่4 ซึ่งบัดนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป ข้อมูลข่าวสารกระจายออกเป็นวงกว้าง หาง่าย เข้าถึงง่าย วงการสื่อจึงกลายเป็นแหล่งธุรกิจที่ต้องแข่งขันสูงและสร้างเม็ดเงิน เพื่อหากำไรและความอยู่รอดจึงมีทั้งสื่อปั่น สื่อสร้างกระแส สื่อเลือกข้าง สื่อชี้นำสังคม จรรยาบรรณ จึงหายไปจนหมดสิ้น ไม่มีใครให้ความสำคัญอีกต่อไป

หากสื่อ นำเสนอในทุกมุม อย่างถูกต้องเป็นธรรม ก็จะช่วยลดความแตกแยกในสังคมลงได้

จากบทกลอนข้างต้น
สะท้อนความรู้สึก อารมณ์ของคนที่สิ้นหวัง จนปัญญา หมดหนทางในชีวิต
บางคนอาจเลือกที่จะกระเสื..กกระสนเอาชีวิตรอดต่อซึ่งทางเลือกมีไม่มาก อาจต้องเลือกเดินทางผิด  บางคนอาจยอมแพ้ชีวิตตัดสินใจยุติการต่อสู้(ดังที่เป็นข่าวสลดหดหู่ให้เห็นบ่อยครั้ง แต่สักพักทุกคนก็จะลืมเลือนไป)
หลายคนคงไม่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ อับจนปัญญาอย่างจริงจังเพราะไม่เคยผ่านพบช่วงเวลาเหล่านั้น
หากแต่เรามองสิ่งที่ไกลตัวเราบ้าง คิดถึงความยากลำบากของคนที่อยู่ในอีกส่วนของสังคมที่ต่างกับเรา
ให้ความร่วมมือช่วยพยุง นำพาเขาให้พ้นสภาพทุกข์ยากที่ต้องเผชิญอยู่ให้ดีขึ้นบ้างสักเล็กน้อย ประเทศของเราก็น่าอยู่ขึ้นอีกมาก
ไม่ใช่แตกแยก ด่าทอผู้เห็นต่าง ขัดขวาง ด้อยค่า อีกฝ่ายแบบไม่ใช้เหตุผลกันอย่างทุกวันนี้

ตั้งสติ แล้วช่วยกันผลักดันให้ประเทศเดินไปข้างหน้า เพื่อความผาสุขของทุกคนกันดีกว่า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ🙏
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่