สมมติ: Supposed
กำกับโดย ธนกร พงษ์สุวรรณ
"สมมติ Supposed (2023)" เป็นหนังที่รีบตัดสินใจไปดูทันที เพราะเห็นว่า นี่เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของ
คุณอั๋น ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับที่สร้างผลงานน่าจดจำอย่าง "
Fake โกหกทั้งเพ" (ดูได้บน Netflix)
อีกทั้งเห็นหลายเพจชมว่า หนังเรื่องนี้ เป็น
"หนังไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้"
ดังนั้นอยากจะมาแชร์รีวิวเชิญชวนให้ได้ไปดูกัน !
เรื่องย่อ
Supposed - Official Trailer
"หนุ่ม" (หรือ
"นนท์" ในโลกออนไลน์)
(อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) พนักงานออฟฟิศขี้เหงาที่ได้พบกับ
"เดียร์" (ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช) หญิงสาวน่าค้นหาผ่านทางโซเชียลมีเดีย
ทั้งคู่ตกลงที่จะสมมติ
"ตัวตน" ของตัวเองขึ้นมาในการทำความรู้จักกัน ทว่าเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์มากขึ้น ก็พาให้
"นนท์" พยายามตามความตัวตนที่แท้จริงของ
"เดียร์"
ว่าแท้จริงแล้ว ตัวตนและความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร
ความรู้สึกหลังชม
- เกริ่นนำถึงสไตล์ภาพยนตร์ของคุณ
"อั๋น ธนกร พงษ์สุวรรณ"
แม้จะไม่ได้ชมผลงานของคุณอั๋นครบทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเคยได้ชม
"Fake โกหกทั้งเพ" ซึ่งพอจะสัมผัสความคล้ายกันระหว่าง 2 เรื่องนี้
หนังของคุณอั๋น มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น 2 อย่าง ที่คาบเกี่ยวกัน
-- อย่างแรกคือ
"บรรยากาศสภาพแวดล้อม (Vibe)" ไม่ว่าจะทางภาพ เสียง ดนตรีประกอบ หรือโลเคชั่น ทั้งหมดสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี และอารมณ์ที่ว่าก็ไม่ใช่แค่อารมณ์แบบทั่วไป แต่มักเป็นการสะท้อน
"ความรู้สึกที่ซ่อนลึก" ในใจ
-- ส่วนถัดมาคือ
"การพรรณนาอารมณ์ (Emotion)" คุณอั๋นเป็นคนที่เล่าอารมณ์ของตัวละครเก่ง โดยเฉพาะ
"ความเหงา" ของแต่ละตัวละครที่ถูกขับออกมาผ่านสีหน้าท่าทาง บทสนทนา และเสียงความนึกคิด
-
"สมมติ Supposed" เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่อง
"ความเปลี่ยวเหงาของหนุ่มสาวในเมืองใหญ่" และ
"การสำรวจอารมณ์ภายใต้เงื่อนไขของตัวตนสมมติ"
"นนท์" เป็นตัวตนสมมติที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึกโหยหา
"ความอบอุ่น" ในหัวใจ ขณะที่ตัวตนของ
"เดียร์" เป็นตัวตนที่ต้องการความรักเช่นกัน แต่ก็มีข้อจำกัด เมื่อในโลกความเป็นจริง เธอไม่ใช่คนที่มั่นคงในความรักมากนัก
เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองใหญ่อย่าง
"กรุงเทพมหานคร" ที่แม้ชื่อว่ามหานครที่ไม่เคยหลับใหล แต่ก็สับสนวุ่นวาย จนทำให้ผู้คนต่างเหงาอ้างว้างไม่แพ้กัน
หลายครั้งที่ความเหงาก็ทำให้เราทึกทัก (Suppose) บางอย่างผิดพลาดไป
เชื่อว่า หลายคนคงรู้สึกปวดร้าวแน่ ๆ ถ้าได้ไปอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้
- ขอชมว่า
"ผู้กำกับถ่ายทอดอารมณ์ได้คมจริง"
Vibes โดยรวมทั้งภาพ ดนตรี เพลงประกอบ โลเคชัน มุมกล้อง ถ่ายทอดได้ประณีตสวยงาม ขณะที่ซีนพรรณนาก็ถูกยิงออกมาอย่างแม่นยำ ทั้งอารมณ์ความรัก ความอ่อนไหว และความเปราะบางของ 2 ตัวละคร
ฟีลลิ่งของหนังมีความคล้ายกับเรื่อง
Lost in Transalation (2003) และ
Her (2013) จนอดรู้สึกว่า ไม่ได้เห็นหนังไทยอีโมชันคลาสสิคคม ๆ แบบนี้มานานแล้ว
ถ้านึกถึงนิยาย ก็นึกถึงสไตล์เรื่องแบบ
"มุราคามิ" ที่มีความเซอร์เรียล แอบแฟนตาซีเล็ก ๆ แต่ต่อยหนักด้านอีโมชัน
เนื้อเรื่องของหนังมีตัวละครอยู่แค่ 2 คน พร้อมกับปมประเด็นเรียบง่าย แต่ทำได้น่าติดตามตั้งแต่ต้นไปจนจบ
- อีกส่วนที่ไม่ชมไม่ได้ ขอยกให้
"ความงดงามของกรุงเทพมหานคร"
งานถ่ายสวยจนเหมือนอยู่ต่างประเทศและแทบเป็นหนังจดหมายเหตุบันทึกบรรยากาศกรุงเทพฯ ได้ ไม่คิดเหมือนกันว่า กรุงเทพฯ จะสวยและเหงาได้ขนาดนี้
- หลังดูจบ ก็นึกถึงเพลง
"แอบหวัง" ของ
ANATOMY RABBIT เพลงที่ไม่ได้มีอยู่ในหนัง แต่รู้สึกว่าตรงกับหนังเรื่องนี้อย่างบอกไม่ถูก
แอบหวัง - ANATOMY RABBIT | เบน ชลาทิศ x TorSaksit (Piano & i Live)
- ในหนังมีเพลงและดนตรีประกอบเพราะ ๆ เยอะมาก
พื้นที่ว่าง - INSPIRATIVE |Official MV| เพลงประกอบภาพยนตร์ สมมติ : Supposed
- ชอบการแสดงของทั้ง 2 นักแสดงหลักเลย โดยเฉพาะ
"อนันดา" ดีใจที่ได้เห็นอนันดาแสดงในคาแรคเตอร์มนุษย์ออฟฟิศสบาย ๆ เป็นคาแรคเตอร์ที่เรียบง่าย แต่ใช้อารมณ์ลึก ขณะที่
"ชญานิษฐ์" ก็แสดงได้เยี่ยม
โลกที่ชื่อ สมมติ - เบื้องหลังภาพยนตร์ สมมติ : Supposed
สรุป
เป็นหนังไทยที่ไม่รู้จะติตรงไหน เพราะ หนังถ่ายทอด Vibe ความสนุก และอารมณ์ได้ลึกซึ้งสมบูรณ์
ดูแล้วก็น่าส่งไปแข่งในเวทีต่างประเทศ หรือเป็นตัวแทนหนังไทยไปแข่งออสการ์ก็ยังเหมาะสม
อาจจะมีรอบฉายน้อยและกระแสเงียบไปหน่อย แต่แนะนำเลย
ที่สำคัญ หวังว่าในอนาคตจะเข้าสตรีมมิ่งสักที่ เผื่อจะหามาดูซ้ำอีกรอบ !
____________________________________
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ
Supposed (2023) - สมมติว่า "เรารักกัน"
"สมมติ Supposed (2023)" เป็นหนังที่รีบตัดสินใจไปดูทันที เพราะเห็นว่า นี่เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของ คุณอั๋น ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับที่สร้างผลงานน่าจดจำอย่าง "Fake โกหกทั้งเพ" (ดูได้บน Netflix)
อีกทั้งเห็นหลายเพจชมว่า หนังเรื่องนี้ เป็น "หนังไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้"
ดังนั้นอยากจะมาแชร์รีวิวเชิญชวนให้ได้ไปดูกัน !
เรื่องย่อ
ทั้งคู่ตกลงที่จะสมมติ "ตัวตน" ของตัวเองขึ้นมาในการทำความรู้จักกัน ทว่าเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์มากขึ้น ก็พาให้ "นนท์" พยายามตามความตัวตนที่แท้จริงของ "เดียร์"
ว่าแท้จริงแล้ว ตัวตนและความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร
ความรู้สึกหลังชม
แม้จะไม่ได้ชมผลงานของคุณอั๋นครบทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเคยได้ชม "Fake โกหกทั้งเพ" ซึ่งพอจะสัมผัสความคล้ายกันระหว่าง 2 เรื่องนี้
หนังของคุณอั๋น มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น 2 อย่าง ที่คาบเกี่ยวกัน
-- อย่างแรกคือ "บรรยากาศสภาพแวดล้อม (Vibe)" ไม่ว่าจะทางภาพ เสียง ดนตรีประกอบ หรือโลเคชั่น ทั้งหมดสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี และอารมณ์ที่ว่าก็ไม่ใช่แค่อารมณ์แบบทั่วไป แต่มักเป็นการสะท้อน "ความรู้สึกที่ซ่อนลึก" ในใจ
-- ส่วนถัดมาคือ "การพรรณนาอารมณ์ (Emotion)" คุณอั๋นเป็นคนที่เล่าอารมณ์ของตัวละครเก่ง โดยเฉพาะ "ความเหงา" ของแต่ละตัวละครที่ถูกขับออกมาผ่านสีหน้าท่าทาง บทสนทนา และเสียงความนึกคิด
"นนท์" เป็นตัวตนสมมติที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึกโหยหา "ความอบอุ่น" ในหัวใจ ขณะที่ตัวตนของ "เดียร์" เป็นตัวตนที่ต้องการความรักเช่นกัน แต่ก็มีข้อจำกัด เมื่อในโลกความเป็นจริง เธอไม่ใช่คนที่มั่นคงในความรักมากนัก
เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองใหญ่อย่าง "กรุงเทพมหานคร" ที่แม้ชื่อว่ามหานครที่ไม่เคยหลับใหล แต่ก็สับสนวุ่นวาย จนทำให้ผู้คนต่างเหงาอ้างว้างไม่แพ้กัน
หลายครั้งที่ความเหงาก็ทำให้เราทึกทัก (Suppose) บางอย่างผิดพลาดไป
เชื่อว่า หลายคนคงรู้สึกปวดร้าวแน่ ๆ ถ้าได้ไปอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้
Vibes โดยรวมทั้งภาพ ดนตรี เพลงประกอบ โลเคชัน มุมกล้อง ถ่ายทอดได้ประณีตสวยงาม ขณะที่ซีนพรรณนาก็ถูกยิงออกมาอย่างแม่นยำ ทั้งอารมณ์ความรัก ความอ่อนไหว และความเปราะบางของ 2 ตัวละคร
ฟีลลิ่งของหนังมีความคล้ายกับเรื่อง Lost in Transalation (2003) และ Her (2013) จนอดรู้สึกว่า ไม่ได้เห็นหนังไทยอีโมชันคลาสสิคคม ๆ แบบนี้มานานแล้ว
ถ้านึกถึงนิยาย ก็นึกถึงสไตล์เรื่องแบบ "มุราคามิ" ที่มีความเซอร์เรียล แอบแฟนตาซีเล็ก ๆ แต่ต่อยหนักด้านอีโมชัน
เนื้อเรื่องของหนังมีตัวละครอยู่แค่ 2 คน พร้อมกับปมประเด็นเรียบง่าย แต่ทำได้น่าติดตามตั้งแต่ต้นไปจนจบ
งานถ่ายสวยจนเหมือนอยู่ต่างประเทศและแทบเป็นหนังจดหมายเหตุบันทึกบรรยากาศกรุงเทพฯ ได้ ไม่คิดเหมือนกันว่า กรุงเทพฯ จะสวยและเหงาได้ขนาดนี้
- หลังดูจบ ก็นึกถึงเพลง "แอบหวัง" ของ ANATOMY RABBIT เพลงที่ไม่ได้มีอยู่ในหนัง แต่รู้สึกว่าตรงกับหนังเรื่องนี้อย่างบอกไม่ถูก
ดูแล้วก็น่าส่งไปแข่งในเวทีต่างประเทศ หรือเป็นตัวแทนหนังไทยไปแข่งออสการ์ก็ยังเหมาะสม
อาจจะมีรอบฉายน้อยและกระแสเงียบไปหน่อย แต่แนะนำเลย
ที่สำคัญ หวังว่าในอนาคตจะเข้าสตรีมมิ่งสักที่ เผื่อจะหามาดูซ้ำอีกรอบ !