๏ สาเหตุที่ผมเฃียนกระทู้นี้ฃึ้นมานะครับ นั้นก็มาจากเรื่องที่ว่าแม้ว่าพวกเราฅนไทยจะรู้จักลายสือไทย โดยเฉพาะลายสือไทยในยุคสมัยฃองพ่อฃุนรามคำแหง
ที่หลายท่านก็น่าจะเคยได้ลองเฃียนในคาบวิชาภาษาไทยไม่ก็ประวัติศาสตร์มาบ้าง แต่กระนั้นเองนี้หนะครับ พวกเราหลายท่านก็มักจะเขียนโดยเทียบตัวอักษรตัวต่อตัว ซึ่งหลายครั้งมันก็เฃียนไม่ถูกเพราะว่าลายสือไทยนั้นมีกฏเกณฑ์ รูปแบบฃองอักษรที่แตกต่างจากปัจจุบันไปพอสมควร แถมอักษรไทยสุโขทัยยังมีพัฒนาการทางด้านอักขรวิธีอยู่อีก ๓ ยุค (รวมสมัยพ่อฃุนฯ เป็น ๔) ไม่ได้มีแค่ยุคเดียวหรือแบบเดียวอย่างที่หลายท่านเฃ้าใจนะครับ ฉะนั้น ในครั้งนี้ผมจะพามาเจาะในเรื่องการเฃียนอักขรวิธีในสมัยพ่อฃุนรามคำแหงโดยเฉพาะ แถมในปัจจุบันก็มีฟอนต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้พิมพ์ลายสือไทยโดยเฉพาะแล้ว ซึ่งผมก็จะมาพูดในวิธีการพิมพ์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
หากท่านใดต้องการทราบข้อมูลฃองอักษรไทยสุโขทัยเพิ่มเติม ผมได้เคยเฃียนกระทู้ในหัวข้อนี้มาแล้วในครั้งก่อน ผู้ใดที่สนใจสามารถกดเฃ้าไปอ่านและแสดงงความเห็นได้ที่ลิงค์ตามนี้ได้เลยครับ
ตอนที่ ๑
https://pantip.com/topic/42329955/comment3-1
ตอนที่ ๒
https://pantip.com/topic/42337657/comment3
ถ้าทุกท่านพร้อมกันแล้วผมก็จะขอเฃ้าเรื่อง โดยหากมีข้อมูลผิดพลาดแต่ประการใดกระผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
หมายเหตุ : อนึ่ง ตัวพยัญชนะและสระในยุคสมัยนี้บางตัววอ่านออกเสียงไม่เหมือนกันกับในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากทางผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสัทศาสตร์
จึงไม่ได้รายละเอียดในเรื่องการออกเสียงมา ณ ที่นี้
๏ อักขรวิธีที่ต่างจากปัจจุบัน ๚
หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าอักษรไทยสุโขทัย
อย่างการวางตัวสะกดก็ยังต้องวางห่างจากสระหรือพยัญชนะต้น ซึ่งในการเฃียนคำควบกล้ำภายในยุคนี้จะต้องเขียนตัวควบให้ติดกับพยัญชนะต้น หากเขียนห่างไปนิดเดียวนี้คือความหมายจะเปลี่ยนได้ง่าย ๆ อย่างว่าหิน กับ หฺนิ ดังนั้นผมขอกำชับว่าเวลาเฃียนลายสือไทยนี้
๑.ให้ต้องระวังการชิดหรือห่างเกินไปเป็นพิเศษ หากเฃียนติดจะกลายเป็นตัวควบ เฃียนห่างเป็นตัวสะกด
๒.ในการผสมสระ จะมีบางตัวที่เฃียนติดบ้างห่างมาก ค่อยไปดูในรายละเอียดในต่อไปนี้
การใช้ฟอนต์ลายสือฯ
พยัญชนะ
จากหลักฐานที่หลงเหลือมายุคปัจจุบัน (คือศิลาจารึกหลักที่ ๑) นี้นะครับ เราพบพยัญชนะมาทั้งหมด ๓๙ ตัว จากทั้ง ๔๓ ตัว พวกตัวที่เราเห็นกันว่ามันหายไปอย่างพวก "ฌ ฑ ฒ ฬ" เจ้าพวกนี้ไม่ได้ถูกตัดทิ้งไปนะครับ เนื่องจากพยัญชนะพวกนี้จำเป็นในการเฃียนคำปาฬี-สันสกฤต สาเหตุที่มันก็มาจากคำที่ใช้ ๔ ตัวนี้มีใช้อยู่ค่อนฃ้างน้อย แม้แต่ในพจนานุกรมปัจจุบันยังมีค่อยจะมี
ส่วนตัว ฮ เป็นตัวที่จะมาปรากฏหลงสุดก็ตอน"นันโทปนันทสูตรคำหลวง ราวพ.ศ.๒,๒๗๙ จึงไม่มีในสมัยนี้
สระ
มีสระทั้งหมด ๒๐ รูป ๒๑ เสียง (ยังไม่พบรูปสระโอะแบบที่ไม่มีตัวสะกด) ในยุคนนี้สระทุกตัวจะเฃียนไว้บนบรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะ มีสระตัวหนึ่งที่พิเศษกว่าชาวบ้านนั้นคือสระ อีลอย รายละเอียดเดี๋ยวไว้ค่อยอธิบายพร้อมสระอี
สระที่ไม่มีในยุคนี้ได้แก่ ฤ ฤา ฦ ฦา เ-ะ เ-ียะ เ-ือะ -ัวะ
มากันที่ตัวแรกกับ สระอะ ในยุคนี้เมื่อไม่มีเสียงตัวสะกดเฃียนได้ ๒ แบบ คือใช้เครื่องหมายวิสรรชนีย์ (ะ) แบบยุคปัจจุบัน
สองคือใช้เครื่องหมายฝนทอง (-่) เจ้าเครื่องหมายฝนทองนี้ปัจจุบันนี้เราแทบจะไม่ได้ใช้กันแล้ว เนื่องจากที่ว่ามันหน้าตาไปเหมือนกับไม้เอก อีกทั้งในแต่ล่ะยุคก็ใช้งานคนล่ะอย่างอีก โดยฝนทอง ณ ที่นี้เมื่อผสมจะเป็นเสียงสระอะ
เมื่อสระอะมีตัวสะกด ในยุคนี้ไม่มีอักษรหัน ไม้หันอากาศหรือพินทุ ในยุคนี้จะใช้ "อักษรหัน" โดยตัวที่ใช้เป็นตัวหันในยุคนี้มีแค่ "ก ง ด น บ และม"
ตามมาตราตัวสะกดเท่านั้น (ในยุคหลังจะมีอักษรหันตัวอื่นเพิ่มมา)
สำหรับคำที่เฃียนด้วย ร หัน ยุคนี้จะเฃียน ร ติดตัวต้นแค่ตัวเดียว จึงทำให้สับสนว่าเป็นตัวควบกล้ำ เป็นเหตุให้ในยุคหลังเลยเปลี่ยนไปเฃียน ร หัน ก็ขอให้ระวังพวกนี้ให้ดีนะครับ
สระอา ไม่มีอะไรต่างจากเดิม แค่ต้องเฃียนให้ติดกับพยัญชนะต้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เกร็ดเพิ่มเติม : ลักษณะการเฃียนสระอาติดตัวต้นยังพบในอักษรมอญ-พม่า,เขมร(มูล) และรวมถึงอักษรไทยด้วย เรายังสามารถพบการเฃียนสระอาลักษณะนี้ได้จนถึงรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะเป็นในการเฃียนแบบลายมือในยุคเก่า ๆหรือแบบตัวบรรจงที่อาลักษณ์เฃียน พึ่งจะว่าเฃียนตัวสระอาแยกก็ตอนมีเครื่องพิมพ์นี้เอง
สระ อิ อี อื วางอยู่หน้าตัวอักษรที่หลายท่าน (รวมถึงผมเอง) ก็ไม่คุ้นชิน แถมทำให้สับสนระหว่างตัวควบกะตัวสะกด สระอื ในยุคนี้หากไม่มีเสียงตัวสะกด ไม่จำเป็นต้องใส่"อ"ปิดท้าย
แต่สำหรับสระอี จะมีรูปพิเศษอยู่หนึ่งตัว คือ "สระอีลอย" วิธีการใช้ฃองเจ้าสระอีลอยนี้ก็คือ หากว่าสระอีมันไม่ได้ปผสมกับพยัญชนะตัวไหน หรือก็คือเป็นเสียง "อ อ่าง" จะวางสระโดด ๆ อาจตามด้วยตัวสะกด สระอีลอยเป็นสระลอยเพียงตัวเดียวที่ปรากฏในยุคนี้
เจ้าสระอีตัวนี้มีอยู่บนจารึกหลักที่ ๑ หน้าที่ ๑ บรรทัดแรก
สระอุ อู เฃียนอยู่หน้าพยัญชนะเช่นเดียวกับพวกอิอี ระวังการเฃียนให้ดี

ฦ
สระเอ แอะ แอ ไม่ต่างไปจากปัจจุบัน แค่เฃียนให้ติดพยัญชนะก็พอ
สามสหาย สระใอ ไอ โอ ยุคนี้จะมีส่วนสูงเท่ากับชาวบ้านเขา และก็ติดกะพยัญชนะต้น
สระโอะ ยุคนี้ยังไม่พบรูป "โ-ะ" พบแต่ตัวที่ผสมตัวสะกดมาแล้ว
สระเอีย ในยุคนี้มีสองรูป คือรูปที่มีไม่มีเสียงตัวสะกดกะมีตัวสะกด สำหรับตัวที่ไม่มีตัวสะกดจะเขียนสระอี+พยัญชนะต้น+ย ยักษ์ไป ๒ ตัว
ในกรณีที่พยัญชนะต้นเป็น ย เฃียนแค่ ๑ ตัว ในกรณีที่มีตัวสะกดจะเฃียนพยัญชนะต้น+ย+ตัวสะกด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ลักษณะการเฃียนสระเอียผสมตัวสะกดแบบนี้ ยังพบได้ในปัจจุบัน ทั้งอักษรลาวและอักษรล้านนา เพียงแต่จะใช้ ย ยักษ์เป็นตัวเชิง เช่นคำว่า เชียง (ᨩ᩠ᨿᨦ)*ຊຽງ พวกที่เห็นเป็น
*[ตัวในวงเล็บเป็นอักษรธรรมล้านนา หากในวงเล็บฃึ้นเป็นตัวกล่องแสดงว่าอุปกรณ์ไม่รองรับโค๊ดฃองฟอนต์ ต้องดาวโลหดฟอนต์อักษรธรรมมาใส่ในเครื่องก่อน]
สระออ มีสองรูป รูปที่ไม่มีตัวสะกดและมีตัวสะกด รูปที่ไม่มีตัวสะกดไม่ต้องใส่"อ"ตามท้าย สามารถวางเดี่ยว ๆ ได้เลยล
เมื่อมีตัวสะกดให้เติม"อ"ติดตัวต้น ตามด้วยตัวสะกด
สระเอือ มี ๒ รูปอีกเช่นเคย รูปที่ไม่มีตัวสะกดเฃียน ื-ออ
เมื่อมีตัวสะกด ตัด"อ"ตัวหลังทิ้งตามด้วยตัวสะกดตัวนั้น
สระเออ มีเพียงรูปที่ไม่มีตัวสะกด
สระอัว เนื่องจากที่ยุคนี้ยังไม่มีไม้หันอากาศ สระอัวจึงเฃียนเป็นอักษรหัน
พอนำไปผสมกะตัวสะกดจะตัด ว ตัวหลังออก ให้ตัว ว ตัวหน้าติดพยัญชนะต้นตามด้วยตัวสะกด
ตอนนี้คงต้องพักเรื่องลายสือ ฯ ไว้ก่อนนะครับ เพราะตอนนี้พื้นที่ตัวอักษรหมดแล้ว ไว้ต่อกันในตอนที่ ๒ นะครับ ขอบคุณครับ
อ้างอิง : จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ,“จากลายสือไทยสู่อักษรไทย”,พิมพ์ครั้งแรก,กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑
อิงอร สุพันธุ์วนิช, วิวัฒนาการอักษรและอักขรวิธีไทย, พิมพ์ครั้งแรก,กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗
เทิม มีเต็ม, “อักษรไทยโบราณ”,ใน แบบเรียนหนังสือภาษาโบราณ, เทียมสิทธิ์ หลวงสุภา และคณะ,บรรณาธิการ ( นครปฐม : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๔๓ ),หน้า ๕๓-๗๖
ยอร์ช เซเดส์, “ตำนานอักษรไทย ฉบับของ กรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ”,โครงการพัฒนาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๐๔
อักขรวิธีลายสือไทย(อักษรไทยสุโขทัยสมัยพ่อฃุนรามคำแหง) โดยละเอียด
ที่หลายท่านก็น่าจะเคยได้ลองเฃียนในคาบวิชาภาษาไทยไม่ก็ประวัติศาสตร์มาบ้าง แต่กระนั้นเองนี้หนะครับ พวกเราหลายท่านก็มักจะเขียนโดยเทียบตัวอักษรตัวต่อตัว ซึ่งหลายครั้งมันก็เฃียนไม่ถูกเพราะว่าลายสือไทยนั้นมีกฏเกณฑ์ รูปแบบฃองอักษรที่แตกต่างจากปัจจุบันไปพอสมควร แถมอักษรไทยสุโขทัยยังมีพัฒนาการทางด้านอักขรวิธีอยู่อีก ๓ ยุค (รวมสมัยพ่อฃุนฯ เป็น ๔) ไม่ได้มีแค่ยุคเดียวหรือแบบเดียวอย่างที่หลายท่านเฃ้าใจนะครับ ฉะนั้น ในครั้งนี้ผมจะพามาเจาะในเรื่องการเฃียนอักขรวิธีในสมัยพ่อฃุนรามคำแหงโดยเฉพาะ แถมในปัจจุบันก็มีฟอนต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้พิมพ์ลายสือไทยโดยเฉพาะแล้ว ซึ่งผมก็จะมาพูดในวิธีการพิมพ์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
หากท่านใดต้องการทราบข้อมูลฃองอักษรไทยสุโขทัยเพิ่มเติม ผมได้เคยเฃียนกระทู้ในหัวข้อนี้มาแล้วในครั้งก่อน ผู้ใดที่สนใจสามารถกดเฃ้าไปอ่านและแสดงงความเห็นได้ที่ลิงค์ตามนี้ได้เลยครับ
ตอนที่ ๑ https://pantip.com/topic/42329955/comment3-1
ตอนที่ ๒ https://pantip.com/topic/42337657/comment3
ถ้าทุกท่านพร้อมกันแล้วผมก็จะขอเฃ้าเรื่อง โดยหากมีข้อมูลผิดพลาดแต่ประการใดกระผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
หมายเหตุ : อนึ่ง ตัวพยัญชนะและสระในยุคสมัยนี้บางตัววอ่านออกเสียงไม่เหมือนกันกับในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากทางผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสัทศาสตร์
จึงไม่ได้รายละเอียดในเรื่องการออกเสียงมา ณ ที่นี้
พยัญชนะ
อิงอร สุพันธุ์วนิช, วิวัฒนาการอักษรและอักขรวิธีไทย, พิมพ์ครั้งแรก,กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗
เทิม มีเต็ม, “อักษรไทยโบราณ”,ใน แบบเรียนหนังสือภาษาโบราณ, เทียมสิทธิ์ หลวงสุภา และคณะ,บรรณาธิการ ( นครปฐม : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๔๓ ),หน้า ๕๓-๗๖
ยอร์ช เซเดส์, “ตำนานอักษรไทย ฉบับของ กรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ”,โครงการพัฒนาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๐๔