**** ต่อเนื่องมาจากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/42370361
เรื่องราวของเหตุการณ์ถูกเรียงร้อยมาเป็นนิยาย
"ปริศนาลับ-ลวง-หลอน" ที่ทุกเรื่องราวมีความเชื่อมโยงข้องเกี่ยวกัน
จาก EP. แรกมาถึง EP.4 นี้เป็นอีกเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่เธอเล่าให้ฟังระหว่างอยู่บนเรือเฟอร์รี่ข้ามฝากไปเกาะสมุย
(ขณะนั้นกำลังเดินทางไปถ่ายแฟชั่นเซ็ท summer ให้นิตยสารเล่มหนึ่ง) เรื่องเล่าจากปากของเธอนานกว่า 20 ปีแล้วเรื่องนี้ ได้ทำให้การเดินทางบนเรือวันนั้น กลายเป็นความทรงจำหนึ่งที่ต่อมาเราได้นำมาผูกเรื่องราวขึ้น จนกลายเป็นนิยายเรื่องนี้
จาก EP.แรก "กริชเล่มนั้น" มาถึงเหตุการณ์สุดหลอนที่นักแสดงหญิงเล่าให้ฟัง.....
EP.4 "โรงแรมหลอน"
ชายปริศนาผู้เห็นเพียงเงาสลัวในความมืด กำลังพลิกบันทึกเล่มเดิมไปที่หน้าใหม่....บทใหม่ เขาเปลี่ยนอิริยาบถในท่านั่งกึ่งยืนพิงที่โต๊ะทำงานตัวเก่า ทันทีที่พลิกไปอีกหน้าของบันทึก เปลวไฟก็ลุกโชนออกมาจากหน้ากระดาษนั่น!
ชายปริศนาไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร เขาเพียงแต่โบกมือไปมาช้าๆ เพียงแค่นั้น เปลวไฟก็มอดดับลง ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ จากนั้นชายปริศนาในเงามืดก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ และตั้งหน้าตั้งตาอ่านบันทึกต่อไปท่ามกลางความเงียบสงัดภายในโกดังร้างแห่งนั้น....
23:45 น. วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2535
ยุ้ยกับเฉินพาสามหนุ่มบอยแบนด์วงดังออกจาก "ฟายเออร์ ผับ" ตรงไปขึ้นรถตู้เพื่อหาที่พักค้างคืน ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะตีรถกลับกรุงเทพฯเลย แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าวันนี้วิ่งรอกตั้งแต่เช้า 3 งานแล้ว น่าจะพักเอาแรงให้หายเหนื่อยซะหน่อย ก่อนออกเดินทางกันรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้
"ยุ้ย" หัวหน้าฝ่าย PR (Public Relation) และ "เฉิน" AR (Artist Relation) ของค่ายเพลงเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แจ้งเกิดขึ้นมาทั้งค่ายเพลงและนักร้องในสังกัด จากสามหนุ่มบอยแบนด์วงนี้วงเดียวกับซิงเกิ้ลแรกของพวกเขา "นิก แน็ค นนท์" ทั้งสามหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ให้บังเอิญมีชื่อเล่น น.หนู นำเหมือนกันอีก เลยกลายเป็นทั้งชื่อวงและชื่อซิงเกิ้ลแรกไปซะเลย
คืนนี้มีคอนเสิร์ตงานจ้างของผับดังประจำจังหวัด สามหนุ่มทั้งร้องทั้งเต้นยาว 1 ชั่วโมงเต็ม ก่อนหน้านั้นคิวช่วงเช้า รถตู้ออกจากกทม.มาถึงจันทบุรี ร่วมโชว์ตัวในงานเทศกาลผลไม้จันทบูร จนถึงเที่ยง ก็ไปต่อที่งานเลี้ยงต้อนรับรองผู้ว่าคนใหม่ แล้วแวะสัมภาษณ์สดแป๊บหนึ่งที่สถานีวิทยุคลื่นดังของภาคตะวันออก ก่อนจะมาปิดท้ายโชว์คอนเสิร์ตที่ผับนี้
ยุ้ย - ในฐานะหัวหน้าทีม เลยตัดสินใจให้ทุกคนพักค้างคืน เธอปรึกษากับเฉิน เพื่อนสาวในร่างชายบึกบึน ที่กังวลว่าไม่ได้จองโรงแรมมาก่อนอาจจะหาที่พักฉุกเฉินไม่ได้ แต่ยุ้ยเคยมาที่นี่หลายหนแล้ว เธอมั่นใจว่าน่าจะหาโรงแรมได้ไม่ยากในวันธรรมดาๆ แบบนี้
รถตู้ขับหาที่พักมา 1 โรงแรมกับ 2 รีสอร์ตในเมืองปรากฏว่าห้องพักเต็มหมด ลุงโจ - คนขับรถตู้ประจำบริษัท เลยขับรถออกไปชานเมือง สังเกตเห็นป้ายชื่อโรงแรม "เดอะ ลักกี้" ที่ริมทางสายเก่า
"จะลองเข้าไปดูมั้ยครับคุณยุ้ย"
"ได้ค่ะลุงโจ ดึกแล้วลองเข้าไปดูก่อนก็ดี"
เฉินมองดูเวลาที่หน้าจอสมาร์ทโฟน แล้วสะกิดบอกยุ้ย "...นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ถ้าไม่มีห้องพักอีกจะยังไงกันดีล่ะ"
"เด็กๆ เพลียหลับกันหมดแล้วนั่น" เฉินพยักเพยิดไปที่เบาะหลังที่สามหนุ่มนอนสลบไสลคอพับไปด้วยความเหนื่อยล้า
ยุ้ยหันไปมองสามหนุ่มแล้วหาวหวอด อยากจะนอนพักผ่อนเหมือนกัน "กูก็ง่วง เดี๋ยวลองเข้าไปดูโรงแรมนี้ก่อนเน๊อะ เผื่อมีห้องว่าง"
รถตู้เลี้ยวซ้าย-ขวา ไปตามป้ายบอกทางไปโรงแรมที่ดูทั้งเปลี่ยวทั้งมืดและเงียบ อาจเป็นเพราะมาถึงกันดึกมากแล้ว ลุงโจเห็นป้ายโรงแรมตรงทางข้างหน้าจึงเลี้ยวรถเข้าไป ตรงปากทางเข้าโรงแรมมีร้านข้าวต้มริมทางร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ เห็นเพียงคนขายและเด็กเสิร์ฟนั่งตบยุงกันอยู่สองคน
รถตู้วิ่งผ่านร้านข้าวต้ม สู่ทางเข้าโรงแรมที่มีไฟแสงจันทร์ริมทางตั้งเสาอยู่ห่างๆ กัน แค่ 2-3 เสาไฟเท่านั้น ทางเข้าเลยดูมืดมาก เห็นเพียงแสงไฟสลัวออกมาจากโรงแรมเบื้องหน้า....
พอรถตู้เลี้ยวเข้าไปหน้าโรงแรมก็ยิ่งเงียบวังเวง ที่ลานจอดรถถัดไปมีรถจอดอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น!
"ยังไม่ต้องปลุกเด็กๆ ดีกว่านะ เราลงไปเช็คห้องพักก่อนดีกว่าเฉิน"
ยุ้ยกับเฉินรีบลงจากรถตู้ที่เทียบอยู่หน้าบันไดโรงแรม ....โรงแรมนี้ดูเก่าย้อนยุคเหลือเกิน ป้ายไฟชื่อโรงแรมก็ดับๆ ติดๆ เห็นตัวอักษรไม่ครบอีกต่างหาก แต่ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นะ --ยุ้ยคิด
ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน มีพนักงานวัยคุณป้านั่งประจำอยู่หน้าฟร้อนท์ ยุ้ยกับเฉินถามถึงห้องพัก ป้ารีเซฟชั่นบอกว่าว่างหลายห้อง "จะพักกี่ห้องล่ะ" นางถามเสียงแหบๆ พูดช้าๆ และห้วน
"3 ห้องค่ะ ขอเป็นสแตนดาร์ดเตียงคู่ 1 ห้อง เตียงเดี่ยว 1 ห้องค่ะ อีกห้องขอเป็นห้องใหญ่เตียงคู่และขอเตียงเสริมให้ด้วยนะคะ "
"มีแต่ห้องเท่ากันๆ เหมือนกันทุกห้อง เตียงคู่ทุกห้อง จะเอามั้ย?" ป้ารีเซฟชั่นพูดพลางก้มหน้าก้มตาคุ้ยหากุญแจในลิ้นชักเคาน์เตอร์
"อ๋าววว....ก็ต้องเอาแล้วล่ะค่ะคุณป้าขา" เฉินจีบปากจีบคอพูดน้ำเสียงประชดเล็กๆ แล้วก้มมองหน้าป้า แต่ป้าก็ไม่ได้สนใจหล่อน
เฉินหันมามองหน้ายุ้ยแล้วเบะปาก ยุ้ยส่ายหน้าตัดรำคาญแล้วพูดเบาๆ กับเฉิน "เออ เหอะ มีห้องให้ซุกหัวนอนก็ดีแล้ว แค่คืนเดียวหลับหูหลับตาไป"
พอได้กุญแจห้องพักมาแล้ว ยุ้ยกับเฉินจึงไปปลุกสามหนุ่มในรถ ทุกคนช่วยลุงโจหอบกระเป๋าเสื้อผ้าที่สแตนด์บายไว้ในรถตลอดอยู่แล้วลงมาด้วย ดีที่เตรียมพร้อมตลอด --เฉินคิด
ลิฟท์เก่าๆ และแคบ มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดประกอบ พาทุกคนขึ้นมาที่ชั้น 3 ห้องพักหมายเลข 304 อยู่ฝั่งซ้ายมือติดกับห้อง 306 และตรงข้ามกับห้องหมายเลข 303
ยุ้ยกับเฉินเปิดดูทุกห้องเข้าไปเช็คความเรียบร้อย ห้อง 304 มีเตียงเสริมพร้อม ยุ้ยจึงมอบกุญแจให้สามหนุ่มนอนห้องนี้ ส่วนเธอกับเฉินนอนห้องติดๆ กันคือ 306 ส่วนลุงโจไปนอนคนเดียวที่ห้อง 303 ฝั่งตรงข้าม
"ลุงโจ โอเคป่าว ไม่หลอนแน่นะ ให้หนูนอนเป็นเพื่อนมั้ย" เฉินแซวเล่นยั่วๆ ขำๆ
"โอ้ยยย หัวถึงหมอนก็หลับแล้วน้องเฉิน นี่อยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้วอะ" ลุงเฉินรับกุญแจจากยุ้ยแล้วขอตัวเข้าพักผ่อน
สามหนุ่มตรงเข้าห้องพักโยนสัมภาระไปคนละทิศละทาง เจ้าแน็คเดินปรี่มาเรียกพี่ยุ้ยพี่เฉินที่ยังไม่ทันเข้าห้อง "ผมหิวอะพี่"
"Me too ครับ หิวด้วยๆๆ" นิกกับนนท์ส่งเสียงมาเป็นลูกคู่ ยุ้ยเลยบอกว่าจะพาไปกินข้าวต้มหน้าโรงแรมละกัน ใกล้สุดแล้วในย่านนี้ ขอไปเก็บกระเป๋าก่อน เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแป๊บนึง อีก 5 นาทีค่อยลงไปเจอกันที่ล๊อบบี้ สามหนุ่มรับคำแล้วแยกย้าย...........
(มีต่อ)
แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของดาราสาวคนหนึ่งในกองถ่าย สู่นิยาย "ปริศนาลับ-ลวง-หลอน" กับตอนต่อของเหตุการณ์ EP.4
เรื่องราวของเหตุการณ์ถูกเรียงร้อยมาเป็นนิยาย "ปริศนาลับ-ลวง-หลอน" ที่ทุกเรื่องราวมีความเชื่อมโยงข้องเกี่ยวกัน
จาก EP. แรกมาถึง EP.4 นี้เป็นอีกเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่เธอเล่าให้ฟังระหว่างอยู่บนเรือเฟอร์รี่ข้ามฝากไปเกาะสมุย
(ขณะนั้นกำลังเดินทางไปถ่ายแฟชั่นเซ็ท summer ให้นิตยสารเล่มหนึ่ง) เรื่องเล่าจากปากของเธอนานกว่า 20 ปีแล้วเรื่องนี้ ได้ทำให้การเดินทางบนเรือวันนั้น กลายเป็นความทรงจำหนึ่งที่ต่อมาเราได้นำมาผูกเรื่องราวขึ้น จนกลายเป็นนิยายเรื่องนี้
จาก EP.แรก "กริชเล่มนั้น" มาถึงเหตุการณ์สุดหลอนที่นักแสดงหญิงเล่าให้ฟัง.....
ชายปริศนาไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร เขาเพียงแต่โบกมือไปมาช้าๆ เพียงแค่นั้น เปลวไฟก็มอดดับลง ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ จากนั้นชายปริศนาในเงามืดก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ และตั้งหน้าตั้งตาอ่านบันทึกต่อไปท่ามกลางความเงียบสงัดภายในโกดังร้างแห่งนั้น....
23:45 น. วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2535
ยุ้ยกับเฉินพาสามหนุ่มบอยแบนด์วงดังออกจาก "ฟายเออร์ ผับ" ตรงไปขึ้นรถตู้เพื่อหาที่พักค้างคืน ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะตีรถกลับกรุงเทพฯเลย แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าวันนี้วิ่งรอกตั้งแต่เช้า 3 งานแล้ว น่าจะพักเอาแรงให้หายเหนื่อยซะหน่อย ก่อนออกเดินทางกันรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้
"ยุ้ย" หัวหน้าฝ่าย PR (Public Relation) และ "เฉิน" AR (Artist Relation) ของค่ายเพลงเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แจ้งเกิดขึ้นมาทั้งค่ายเพลงและนักร้องในสังกัด จากสามหนุ่มบอยแบนด์วงนี้วงเดียวกับซิงเกิ้ลแรกของพวกเขา "นิก แน็ค นนท์" ทั้งสามหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ให้บังเอิญมีชื่อเล่น น.หนู นำเหมือนกันอีก เลยกลายเป็นทั้งชื่อวงและชื่อซิงเกิ้ลแรกไปซะเลย
คืนนี้มีคอนเสิร์ตงานจ้างของผับดังประจำจังหวัด สามหนุ่มทั้งร้องทั้งเต้นยาว 1 ชั่วโมงเต็ม ก่อนหน้านั้นคิวช่วงเช้า รถตู้ออกจากกทม.มาถึงจันทบุรี ร่วมโชว์ตัวในงานเทศกาลผลไม้จันทบูร จนถึงเที่ยง ก็ไปต่อที่งานเลี้ยงต้อนรับรองผู้ว่าคนใหม่ แล้วแวะสัมภาษณ์สดแป๊บหนึ่งที่สถานีวิทยุคลื่นดังของภาคตะวันออก ก่อนจะมาปิดท้ายโชว์คอนเสิร์ตที่ผับนี้
ยุ้ย - ในฐานะหัวหน้าทีม เลยตัดสินใจให้ทุกคนพักค้างคืน เธอปรึกษากับเฉิน เพื่อนสาวในร่างชายบึกบึน ที่กังวลว่าไม่ได้จองโรงแรมมาก่อนอาจจะหาที่พักฉุกเฉินไม่ได้ แต่ยุ้ยเคยมาที่นี่หลายหนแล้ว เธอมั่นใจว่าน่าจะหาโรงแรมได้ไม่ยากในวันธรรมดาๆ แบบนี้
รถตู้ขับหาที่พักมา 1 โรงแรมกับ 2 รีสอร์ตในเมืองปรากฏว่าห้องพักเต็มหมด ลุงโจ - คนขับรถตู้ประจำบริษัท เลยขับรถออกไปชานเมือง สังเกตเห็นป้ายชื่อโรงแรม "เดอะ ลักกี้" ที่ริมทางสายเก่า
"จะลองเข้าไปดูมั้ยครับคุณยุ้ย"
"ได้ค่ะลุงโจ ดึกแล้วลองเข้าไปดูก่อนก็ดี"
เฉินมองดูเวลาที่หน้าจอสมาร์ทโฟน แล้วสะกิดบอกยุ้ย "...นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ถ้าไม่มีห้องพักอีกจะยังไงกันดีล่ะ"
"เด็กๆ เพลียหลับกันหมดแล้วนั่น" เฉินพยักเพยิดไปที่เบาะหลังที่สามหนุ่มนอนสลบไสลคอพับไปด้วยความเหนื่อยล้า
ยุ้ยหันไปมองสามหนุ่มแล้วหาวหวอด อยากจะนอนพักผ่อนเหมือนกัน "กูก็ง่วง เดี๋ยวลองเข้าไปดูโรงแรมนี้ก่อนเน๊อะ เผื่อมีห้องว่าง"
รถตู้เลี้ยวซ้าย-ขวา ไปตามป้ายบอกทางไปโรงแรมที่ดูทั้งเปลี่ยวทั้งมืดและเงียบ อาจเป็นเพราะมาถึงกันดึกมากแล้ว ลุงโจเห็นป้ายโรงแรมตรงทางข้างหน้าจึงเลี้ยวรถเข้าไป ตรงปากทางเข้าโรงแรมมีร้านข้าวต้มริมทางร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ เห็นเพียงคนขายและเด็กเสิร์ฟนั่งตบยุงกันอยู่สองคน
รถตู้วิ่งผ่านร้านข้าวต้ม สู่ทางเข้าโรงแรมที่มีไฟแสงจันทร์ริมทางตั้งเสาอยู่ห่างๆ กัน แค่ 2-3 เสาไฟเท่านั้น ทางเข้าเลยดูมืดมาก เห็นเพียงแสงไฟสลัวออกมาจากโรงแรมเบื้องหน้า....
พอรถตู้เลี้ยวเข้าไปหน้าโรงแรมก็ยิ่งเงียบวังเวง ที่ลานจอดรถถัดไปมีรถจอดอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น!
"ยังไม่ต้องปลุกเด็กๆ ดีกว่านะ เราลงไปเช็คห้องพักก่อนดีกว่าเฉิน"
ยุ้ยกับเฉินรีบลงจากรถตู้ที่เทียบอยู่หน้าบันไดโรงแรม ....โรงแรมนี้ดูเก่าย้อนยุคเหลือเกิน ป้ายไฟชื่อโรงแรมก็ดับๆ ติดๆ เห็นตัวอักษรไม่ครบอีกต่างหาก แต่ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นะ --ยุ้ยคิด
ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน มีพนักงานวัยคุณป้านั่งประจำอยู่หน้าฟร้อนท์ ยุ้ยกับเฉินถามถึงห้องพัก ป้ารีเซฟชั่นบอกว่าว่างหลายห้อง "จะพักกี่ห้องล่ะ" นางถามเสียงแหบๆ พูดช้าๆ และห้วน
"3 ห้องค่ะ ขอเป็นสแตนดาร์ดเตียงคู่ 1 ห้อง เตียงเดี่ยว 1 ห้องค่ะ อีกห้องขอเป็นห้องใหญ่เตียงคู่และขอเตียงเสริมให้ด้วยนะคะ "
"มีแต่ห้องเท่ากันๆ เหมือนกันทุกห้อง เตียงคู่ทุกห้อง จะเอามั้ย?" ป้ารีเซฟชั่นพูดพลางก้มหน้าก้มตาคุ้ยหากุญแจในลิ้นชักเคาน์เตอร์
"อ๋าววว....ก็ต้องเอาแล้วล่ะค่ะคุณป้าขา" เฉินจีบปากจีบคอพูดน้ำเสียงประชดเล็กๆ แล้วก้มมองหน้าป้า แต่ป้าก็ไม่ได้สนใจหล่อน
เฉินหันมามองหน้ายุ้ยแล้วเบะปาก ยุ้ยส่ายหน้าตัดรำคาญแล้วพูดเบาๆ กับเฉิน "เออ เหอะ มีห้องให้ซุกหัวนอนก็ดีแล้ว แค่คืนเดียวหลับหูหลับตาไป"
พอได้กุญแจห้องพักมาแล้ว ยุ้ยกับเฉินจึงไปปลุกสามหนุ่มในรถ ทุกคนช่วยลุงโจหอบกระเป๋าเสื้อผ้าที่สแตนด์บายไว้ในรถตลอดอยู่แล้วลงมาด้วย ดีที่เตรียมพร้อมตลอด --เฉินคิด
ลิฟท์เก่าๆ และแคบ มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดประกอบ พาทุกคนขึ้นมาที่ชั้น 3 ห้องพักหมายเลข 304 อยู่ฝั่งซ้ายมือติดกับห้อง 306 และตรงข้ามกับห้องหมายเลข 303
ยุ้ยกับเฉินเปิดดูทุกห้องเข้าไปเช็คความเรียบร้อย ห้อง 304 มีเตียงเสริมพร้อม ยุ้ยจึงมอบกุญแจให้สามหนุ่มนอนห้องนี้ ส่วนเธอกับเฉินนอนห้องติดๆ กันคือ 306 ส่วนลุงโจไปนอนคนเดียวที่ห้อง 303 ฝั่งตรงข้าม
"ลุงโจ โอเคป่าว ไม่หลอนแน่นะ ให้หนูนอนเป็นเพื่อนมั้ย" เฉินแซวเล่นยั่วๆ ขำๆ
"โอ้ยยย หัวถึงหมอนก็หลับแล้วน้องเฉิน นี่อยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้วอะ" ลุงเฉินรับกุญแจจากยุ้ยแล้วขอตัวเข้าพักผ่อน
สามหนุ่มตรงเข้าห้องพักโยนสัมภาระไปคนละทิศละทาง เจ้าแน็คเดินปรี่มาเรียกพี่ยุ้ยพี่เฉินที่ยังไม่ทันเข้าห้อง "ผมหิวอะพี่"
"Me too ครับ หิวด้วยๆๆ" นิกกับนนท์ส่งเสียงมาเป็นลูกคู่ ยุ้ยเลยบอกว่าจะพาไปกินข้าวต้มหน้าโรงแรมละกัน ใกล้สุดแล้วในย่านนี้ ขอไปเก็บกระเป๋าก่อน เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแป๊บนึง อีก 5 นาทีค่อยลงไปเจอกันที่ล๊อบบี้ สามหนุ่มรับคำแล้วแยกย้าย...........
(มีต่อ)