ข้างบ้าน ฉันมี ผี ร้องไห้

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดกับตัวผู้เขียนเอง จะว่าเป็นการเล่าหรือบันทึกไว้อย่างไรก็ได้ ได้แต่คิดไว้แต่ความที่ยังกลัวที่ติดในใจ แต่นี่เป็นการเล่าโดยใช้ตัวอักษร เค้าคงไม่รู้นะ สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่คนทั่วไปจะต้องพบเจอ คงไม่มีใครอยากเจอและตกอยู่ในสถานะการณ์นั้น รึอาจเป็นเพราะกระแสหนังผี ทำให้คิดและลงมือทำ ต้องขอบคุณที่ทำให้รวบรวมความกล้าที่จะบันทึกไว้ ยืนยันว่าคือเรื่องจริงที่เคยเจอผสมคำบอกเล่าของคนร่วมชะตากรรมเดียวกันคิดว่าคน วัวลาย ซอย สาม ถ้ามาอ่านคงจำได้
           ประมาณปี 2523 ผู้เขียนยังวัยรุ่น เชียงใหม่ อำเภอเมือง ถนนวัวลาย ซึ่งเลื่องชื่อในการทำเครื่องเงินเครื่องเขิน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวรู้จักดีที่ ถนนคนเดินวัวลาย ผู้เขียนอยู่ซอย 3 ต้นซอยบ้านหลังที่สาม เจริญ มีไฟฟ้าถนนลาดยางมี ทีวีสี แล้ว แต่บ้านเรือนยังเป็นยกพื้นไม้มีใต้ถุน ชุมชนเราไม่ค่อยมีรั้วบ้านเพราะเป็นญาติๆกัน ผู้เขียนตอนเด็กสามารถวิ่งไปเล่นใต้ถุนทุกบ้านได้ไม่มีคนไล่
          ย้อนไปตอนยังเล็กมากๆไม่เกินเจ็ดขวบ พ่อแม่ไม่อยู่ไปทำงานที่อื่น ผู้เขียนอยู่กะป้าชื่อ ป้าพับ ป้าพับก็ทำขันเงิน ก็เลี้ยงแบบปล่อยๆวันๆผู้เขียนจะเล่นเดินไปทั่วเค้าเรียกกินก็แวะเค้าบอกให้กลบบ้านก็กลับเค้ามีอะไรก็ไปดูกับเค้าไปทั่วแต่อยู่แถวนั้นไม่ไปไหนไกล 
           วันนึงทั้งชุมชนรู้ดีว่าบ้านหลังนี้คลอดลูกและเอากลับมาบ้านเมื่อวานก็พากันไปเยี่ยมผู้เขียนก็ไปเพราะเห็นคนเยอะ พอตอนเช้าเห็นพี่อ้วนกะพี่พริ้ง ยืนคุยกันเบาๆและมองไปที่ผ้าถุงที่ตากไว้ใต้ถุนสามสี่ผืน ผู้เขียนมองตามไป ผ้าถุงมีรอยจางๆ ของเลือดเป็นวงกว้างเหมือนผ่านการเช็ดเลือดผสมน้ำมาน่าจะสองผืนที่เปื้อน พี่อ้วนกะพี่พริ้งเหมือนเถียงกันฟังได้ความว่าจะเอาผ้าถุงที่เปื้อนไปทิ้งหรือเอาไปซัก และทำท่ากลัวแปลกๆ สมัยนั้นยังต้องใช้ผ้าถุงฉึกเป็นผ้าอ้อม  ละไม่พอใช้ไม่มีเครื่องซักผ้าแล้วหน้าฝนผ้าแห้งยาก เพราะทางเชียงใหม่นั้นฝนตกนานเป็นอาทิตย์กว่าจะหยุด สรุปว่าเอาไปต้มแล้วเอามาใช้ใหม่ ตกตอนเย็นมีผู้ชายไปเอาหนามมาไม้ไผ่มาล้อมใต้ถุนบ้านอย่างแน่นหนาช่วยกันทำเงียบๆแทบไม่คุยกัน ผู้เขียนแต่จำได้ดีเพราะเหตุการณ์นี้ทำเอาทั้งชุมชนกลัวและเข้านอนกันหัวค่ำ
           เวลาผ่านไป  ป้าพับก็เรียกไปใส่พระเป็นรูปถ่ายครูบาศรีวิชัยที่พวกเรานับถือใบเล็กๆใส่กรอบพลาสติกสายเป็นเชือกสายสิญจน์ ละบอกว่าอย่าไปเล่นแถวบ้านป้าลุน ก็ฟังแต่เวลาจะไปซื้อขนมผ่านบ้านป้าลุนคือทางลัด ผู้เขียนก็วิ่งเอา วิ่งผ่านใต้ถุนวิ่งไปวิ่งมาเพราะบ้านห่างกันแค่สี่ห้าหลังคาเรือน พอถึงตอนเย็นบ้านป้าพับก็สังเกตุว่าสายสิญจน์ใส่พระหายจึงถาม ก็บอกตามตรง ป้าให้ย้อนไปหามา ก็เดินย้อนไปหา ปรากฏว่าตกใต้ถุนบ้านป้าลุน ก็เก็บมาละป้าใส่ให้ใหม่ แกก็ดุสั่งเป็นคำมั่นว่าอย่าไปแถวนั้นอีกแต่ไม่บอกเหตุผลอื่น แต่สังเกตุผู้ใหญ่ทุกคนที่พูดถึงบ้านหลังนั้นจะพูดเบาๆละถามต่อก็จะไม่ตอบทำเฉยๆกัน แปลกๆ 
            เวลาผ่านไปผู้เขียนเริ่มรู้ว่ามีการเล่าลือกันว่า แถวๆบ้านมีคนเลี้ยงผีเชื้อ และลือกันไปเช่นเลี้ยงไม่ดีมันจะมาทำให้ขายหน้าหรือใครถามมันจะบอกชื่อเลย และบ้านที่เค้าลือกันคือบ้านป้าลุน ป้าลุนมีแม่แก่แล้วชื่ออุ้ยเขียว มีน้องชายชื่อ เรียกว่าอ้ายผิว มีลูกสาวสองคนชื่อพี่ติ๋มกะพี่น้องพร สวยมากทั้งคู่ ทั้งสองคนไว้ผมยาวถึงก้น พี่ติ๋มหน้าคมๆสวยผมดำยาวสวยถึงก้น ส่วนพี่น้องพรผิวขาวผมแดงๆผมยาวสวยถึงก้น เหมือนคนญี่ปุ่นเค้าเล่ากันว่าสองคนเกิดจากคนละพ่ออายุน่าจะแก่กว่าผู้เขียน ประมาณ สิบถึงสิบห้าปี และเล่ากันอีกว่าผู้ชายมาเป็นเขยทุกคนจะอายุสั้นละตายจากไม่เกินสามปีเล่าว่าผีอัดกินซึ่งผู้เขียนก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างมันคือเรื่องเล่าไม่รู้จริงเท็จ แต่ผู้เขียนด้วยความอยากรู้เคยขึ้นไปบ้านป้าลุน  เห็นเสากลางบ้านมีหิ้งมี ใบตองแห้งๆดอกไม้แห้งๆวางบนหิ้งก็มองเฉยๆเค้าไล่ก็ลงมา 
          ผู้เขียนมีเพื่อนเล่นเป็นผู้ชาย ชื่อ น้อย แต่เรียกกันว่า ไอ่โต เพราะหัวมันโต ไอ่โตนี่แหละสำคัญตัวเปิดเรื่องที่เจอ เป็นเพื่อนต่างเพศที่เป็นทั้งญาติเป็นทั้งพี่ทั้งน้า สนิทกันมาก ตัวมันก็มาที่บ้านตลอด
          พอถึงเวลาพ่อแม่มารับไปอยู่ที่อื่นทำให้ผู้เขียนต้องจากไปเวลานาน จนพ่อ ผู้เขียน สอบไปทำงาน ต่างประเทศได้แม่จึงพาพวกเราสี่คนกลับมาอยู่เชียงใหม่ เราได้อยู่ตรงบ้านญาติที่ได้เล่ามาข้างต้นไม่ไกลจากบ้านป้าพับ เป็นบ้านมีใต้ถุน อยู่ติดบ้านป้าลุนที่เค้าลือว่าแกเป็น ผีกะ คือก็คิดว่าเป็นเรื่องเล่าและนานมากแล้วไม่รู้จริงเท็จแม่ก็ไม่เห็นว่ายังไงก็อยู่กันแต่ที่แปลกใจ ป้าเจ้าของบ้านแกเลี้ยงหมาตัวใหญ่สองตัวไว้บ้านนี้พอเราจะเข้าอยู่แกบอกฝากเลี้ยงสักหน่อยเดี๋ยวลูกชายจะมาเอาไปไว้ลำพูน ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ อยู่กันเรื่อยมาถนนหนทางสว่างไฟฟ้ามีใช้ มีน้ำปะปา ทีวีสี คือในเมืองไม่มีบรรยากาศที่น่ากลัวใดๆทั้งสื้น บ้านที่อยู่ติดบ้านป้าลุน มีรั้วสังกะสีกึ่งปูนแน่นหนาส่วนอีกฝั่งเป็นแค่เสาไม้โยกๆยังสงสัยแกล้อมรั้วฝั่งเดียวทำไม 
         ถึงตอนนี้กลับไปที่ปี 2523 ผู้เขียนและคนในชุมชนรู้กันหมดว่าอุ้ยเขียวแม่ป้าลุนแก ลำบาก (ทางเหนือคือใกล้ตายกำลังสู้กะสังขารเป็นตายวันไหนไม่รู้)แต่แกลำบากนาน จะเข้าปีที่สามแล้ว  ที่วัวลายจะมี เค้าเรียกข่วงสมัยนั้น มีต้นฉ่ำฉา ใหญ่ ห้าคนโอบ เวลามีอะไรหรือไม่รู้ไปไหนเย็นๆจะมายืนนั่งคุยกันเด็กๆก็มาเล่นใต้ต้นไม้นี้กลางคืนก็วัยรุ่นสุ่มกันแล้วจะร้องเพลงกินเหล้าแม้แต่โดนคนแก่ด่าเพราเสียงดังก็ตรงนี้ บ้านผู้เขียนอยู่ต้นซอยจึงรู้ดี ตอนนี้เป็นรูปปั้นวัวสมกับชื่อถนนวัวลายมั๊ง คนไปถนนคนเดินวัวลายต้องเคยเห็นแถวหน้าวัดหมื่นสาร มีซอยไปวัดศรีสุพรรณที่มีอุโบสถเงินในปัจจุบัน
          มาวันหนึ่งเห็นผู้ชายสามคนยกอุ้ยเขียวไป โรงพยาบาล บันไดทางลงบ้านหันหน้าเข้าหากันจะมองเห็น ไปได้สองวันก็ยกกลับมาเป็นแบบนี้หลายครั้งยกอุ้ยไปๆมาๆกับโรงพยาบาล คนแก่เริ่มพูดกันว่าไม่มีคนรับผีเชื้อแกเลยไปไม่ได้ ก็ฟังๆ  ระหว่างหน้าบ้านผู้เขียนกับบ้านป้าลุนเป็นต้นน้อยหน่า แต่อยู่รั้วบ้านผู้เขียน ที่บ้านนั้นก็ไปวัดทำบุญปกติแต่แค่เค้าอยู่ส่วนตัวไม่ค่อยคุยสุงสิงกะใคร ถัดจากบ้านป้าลุนเป็นบ้าน อ้ายทัด นักดนตรีสายร็อคประจำวัวลายเมาทุกวัน
           มีวันนึงเห็นแม่เอาถุงเงาะมาละมองไปทางบ้านป้าลุนละพูดว่าเมื่อวานไปวัดเจอป้าลุนแม่พูดเล่นหยอกแกสงสัยไม่พอใจตอนก่อนจะหลับมีคนคลุมผ้าละวิ่งเข้ามาหาแม่ละเหมือนทำเสียงโฮ้ ใส่แม่ให้แม่ตกใจ พอได้จังหวะแม่ถือเงาะไปให้พูดจาเรียบร้อยเค้าก็รับไปละแม่ก็ไม่ได้เล่าอีกผู้เขียนได้แต่ฟังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแม่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่แกก็ทำเพื่อความสบายใจเพราะอยู่ใกล้กัน
           และแล้วอุ้ยเขียวก็ตายไปตอนยกศพอุ้ยก็มองเห็น พนมมือละบอกแกขอขมาทุกอย่างพูดไปตามผู้ใหญ่พูดกันก็มีงานศพปกติ แต่........มันไม่จบแค่นั้นหลังจากเผาได้สามวัน อยู่ๆมีเสียงร้องไห้ตอนประมาณตีหนึ่งตีสองถึงประมาณตีสี่ ที่ทราบเพราะจะมียามคอยเคาะบอกเวลา โป๊กๆสองทีคือตีสองจะมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น และหมาหอนรับกันเป็นระยะๆ วนเวียนละมาหยุดที่ต้นน้อยหน่า ทุกครั้ง คนเริ่มพูดกันว่าใครมาร้องไห้กลางคืนเป็นอาทิตย์แล้ว คนแก่เริ่มสั่งขี้เมาให้สังเกตุและตามหาต้นเสียงต้องจ้างเหล้าขาว โดยมีอ้ายทัดเป็นคนนำ ร้องเพลงดีดกีต้าร์รอทุกวันเดินตามเสียงทุกวันหมาก็หอนตามเสียงแต่ไม่เห็นตัวคนสองอาทิตย์ผ่านไป.....ไอ่โตบ้านอยู่ตรง ข่วงต้นฉ่ำฉา ก็มาเล่าทุกวันที่บ้านซึ่งบ้านเราก็ติดบ้านที่สงสัยแต่มันก็เล่า เพราะความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เรื่องนี้ดังมากถึงกับลง หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ไอ่โตถือหนังสือพิมพ์มาอ่านให้ฟังทุกวัน แต่นักข่าวก็ไม่ได้มาพิสูจน์อะไรคือเป็นข่าวเฉยๆ 
            ต่อมาเจ้าอาวาสเดือดร้อนเพราะจัดการอะไรไม่ได้ คนเริ่มกลัวมากขึ้นที่บ้านก็กลัวแต่ทุกคนที่บ้านไม่เคยมีใครได้ยินหรือตกใจตื่นมาได้ยินแต่กลัวเพราะคำบอกเล่าลือกันไปต่างๆ ผู้เขียนกะน้องๆพากันไปนอนในมุ้งแม่เบียดกันละรีบนอนตั้งแต่หัวค่ำรีบอาบน้ำรีบกินข้าวไปห้องแม่นอนเบียดกันหลับไปทุกคืนเสียงซุบซิบมากขึ้นทุกวัน วันนั้นไอ่โตก็มาปกติคือมันมาทุกวันอยู่แล้ว มันก็พูดอีกว่าหาตัวไม่เจอผีแน่ๆ พูดจน ผู้เขียน หลุดปาก พูดออกมา ว่า ..มันเป็นยังไง.... อยากได้ยินสักครั้ง....   และคืนนั้นก็นอนกับแม่ปกติ แต่ตกใจตื่นตอน ยามเคาะโป๊กๆสองที และได้ยินเสียงร้องไห้ใกล้มากเหมือนมาร้องไห้ใส่หูเสียงดังมากหูข้างขวา เสียงร้องฮือๆๆอั๊กๆๆ สะอึกสะอื้น ผู้เขียนไม่กล้าลืมตาพยายามนอนเงียบกลัวผีรู้ว่าตื่นอยู่ตัวชาซ่าๆวูบๆวาบๆขนหัวขนแขนลุกจนรู้สึกขึ้นหัวละลงล่างมันชาๆซ่าที่ตัวผู้เขียนใจแทบทะลุออกจากอกใจเต้นโครมครามดังปั๊กๆ ค่อยๆบีบมือเอานิ้วจิกที่แบบกำมือจนเจ็บเพื่อจะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน น้ำตาก็ไหลท่วมเหงื่อท่วมกี่นาทีผู้เขียนไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าวิ่งได้วิ่งแล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนอนนิ่งฟังอยู่แบบนั้น สุดท้ายทนไม่ไหวรวบรวม ตะโกนสุดเสียง แต่เสียงที่ออกมาแค่กระซิบ ว่า แม่ เบาๆ มีเสียงที่ตอบมาว่า เออ นึกว่าแม่ตอบ พอสิ้นเสียง เออ แล้วเสียงนั้นก็ไปดังที่ต้นน้อยหน่าหน้าบ้านที่ขี้เมาบอกจะมาหยุดตรงนี้ทุกวัน ผู้เขียนพยายามหลับไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรอีกเลย ก็หลับไปง่ายๆ
             รุ่งขึ้น ผู้เขียนรีบไปคุยกะแม่ๆดุละพูดเรื่องอื่น แกบอกไม่ได้ยินไม่รู้เรื่อง ผู้เขียนก็เงียบละร้องไห้เสียงหลงแบบกลัวสุดๆไปหอบผ้าจะหนีไปอยู่ที่อื่นแม่เลยเดินมาพูดเบาๆว่า แม่ไม่ได้พูดนะเมื่อคืนจากที่ร้องอยู่แล้วปล่อยโฮหนักกว่าเดิม ความคิดตอนนั้นนี่คือเรื่องจริง เราอยู่ใกล้ผี มานานเป็นสิบๆปีเหรอนี่ ที่เราเห็น รอยเปื้อนที่ผ้าถุงคือรอยเช็ดปากของผีกะจริงเหรอนี่ หิ้งที่เห็นเค้าหักทิ้งถังขยะหน้าบ้านเราด้วย ใส่พระละหลุดที่ใต้ถุนความคิดย้อนไปที่เค้านินทาซุบซิบคือเรื่องจริงหมดเลย แต่แม่พูดคำนึงว่าเค้าเอ็นดูพวกเรานะไม่งั้นเราคงอยู่ไม่ได้เค้าไม่เคยมาทำอะไรเราเลยนะ แม่บอกให้ขอขมาโดยใช้ สะตวง ที่เป็นก้านกล้วยสี่เหลี่ยมใส่ข้าวตอกดอกไม้ ตอนเย็นยกขึ้นเหนือหัวกลัวก็กลัวพูดไปร้องไปตัวสั่นฉี่แตกตรงรั้วติดกับบันไดทางลงบ้านเค้า บอกขอสุมาเต๊อะเจ้า พูดไปไม่ได้ลบหลู่ ขอให้อุ้ยยกโทษ พูดไปก็ร้องไปตัวสั่นพูดจบรีบวางวิ่งขึ้นบันไดไปอยู่ห้องแม่ร้องไห้จนตัวสั่นน้องๆกลัวไปตามๆกัน หลังจากนั้นที่บ้านผู้เขียนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อยู่แบบใจดีสู้เสือ 
           แล้วก็เปิดเทอมแม่เล่าว่ามีการสวดมนต์สี่มุมเมืองที่ประตูเมืองแต่ประตูเชียงใหม่ใกล้วัวลาย มีการสวดแล้วดึงสายสิญจน์มาจากประตูเมืองมาถึงบ้านเราแต่แม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินออกบ้านไปไม่รู้ว่าทำยังไงกันมีพระมีน้ำมนต์พระพุทธรูปสายสิญจน์อันเท่าแขนพระมาทุกองค์ในเชียงใหม่มาทำพิธีกัน พร้อมพรมน้ำมนต์ทังซอย คืนนั้นพวกเรารีบกินรีบอาบน้ำรีบนอน ตีสองโป๊กๆ เสียงร้องไห้ยังมาอีกทุกคนเงียบคลุมโปงบ้านใครบ้านมัน เช้ามาแม่บอกเย็นนี้พากันไปนอนบ้านป้านะเตรียมของให้เรียบร้อยก่อนมืดพูดเบาๆไม่โวยวายทำเป็นไม่มีอะไรแต่ในใจปั๊กๆทุกคน ก็ยังมีร้องไห้อีกสองวันผู้เขียนมาเอาชุดนักเรียนตอนเย็นโดยญาติๆมาส่งสามสี่คนรีบเก็บชุดจะรีบกลับเดินลงบันไดสวนกับบ้านนั้นเขาวิ่งขึ้นวิ่งลงบ้านช่วยกันสามสี่คน ผู้เขียนทำเป็นเฉยแต่พอพ้นรั้วบ้านวิ่งกระเจิง ไอ่โตเรียกไว้บอกแอบๆดูทำเป็นคุยกันเรื่องทั่วไปที่ข่วง มองผ่านๆในซอย บ้านนั้นขนของขึ้นรถสีล้อแดง ตอนนั้นไม่มีลมแต่ฝุ่นตลบที่รถที่เค้านั่งไปภาพลางๆเห็นรถวิ่งออกไป คืนนั้นทุกคนคลุมโปงเงียบ ตีสอง โป๊กๆ เงียบหมาไม่หอนไม่มีเสียงร้องไห้อีก ทุกคนโล่งใจ คนแก่บอกว่ามีคนรับเป็นผีกะต่อมีการทำหิ้งเลี้ยงผีขึ้นมาใหม่เอาไปไว้ที่แม่เหียะซึ่งต่อมาไม่นานพวกเขาก็พากันไปอยู่ที่นั่น  ยังไม่จบนะค่ะ มีคำถาม คนรับเป็นผีเชื้อต่อคือใคร ป้าลุน อ้ายผิว พี่ติ๋ม หรือพี่น้องพร มีเฉลยนะค่ะถ้ามีคนสนใจ  
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน

อ่อนละมัย ผู้เขียน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่