Top กระทู้!!! บทเรียนประสบการณ์ตรงของการแจกเงินดิจิทัล จากไต้หวัน จีน และญี่ปุ่น มาดูกัน !!

บทเรียน ของการกระตึ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินดิจิทัล

ที่ผ่านมา หลายประเทศได้ประกาศใช้นโยบายแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในรูปแบบเงินกระดาษและเงินดิจิทัล ผู้เขียนได้ทบทวนนโยบายเหล่านี้ในต่างประเทศ 3 กรณี คือ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ดังนี้

1.China’s Relief Package

    ช่วงวิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจจีนตั้งแต่ปี 2563-2564 นโยบายคุมเข้มโควิด (Zero-COVID) ส่งผลให้อัตราการบริโภคลดลงไปถึง 6.8% ในปี 2563 รัฐบาลท้องถิ่นได้ออกโครงการแจกคูปองดิจิทัล ผ่านระบบแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือเพื่อกระตุ้นการบริโภค มีเงื่อนไขหลักคือ ให้คูปองดิจิทัลกับประชาชนที่จําเป็นต้องใช้จ่ายเกินเรตขั้นต่ำ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 120 หยวนต่อครั้ง เพื่อได้รับส่วนลด 25-50% ของมูลค่าที่จ่ายไป และต้องการให้ผู้บริโภคซื้ออาหาร ของใช้ สันทนาการและกิจกรรมอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไข ภายหลังโครงการ ระหว่างปี 2563-2565 คูปองดิจิทัลถูกแจกไปทั้งหมดมีมูลค่ารวมอยู่ประมาณ 40 พันล้านหยวน หรือราวๆ 195,000 ล้านบาท อัตราการใช้สิทธิประโยชน์ 70-100% คูปองดิจิทัลที่แจกไปสามารถสร้างมูลค่า 380 พันล้านหยวน ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว การใช้ตัวคูปองได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้บริโภคในเมืองและชนบท โดยผลิตภัณฑ์ที่คนเมืองนิยมสูงสุด คือการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็น 44.9% ของการบริโภค ในทางกลับกัน ผู้บริโภคในชนบทนิยมนําคูปองไปบริโภคผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยานยนต์

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคิดว่าเศรษฐกิจควรขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (Consumption-led) ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติมากกว่านโยบายการแจกคูปอง (Transfer Policy) ดังนั้น เมื่อวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ผลพวงของตัวคูปองต่อการบริโภคก็ลดลงตามลำดับ

2.โครงการ “Triple stimulus” voucher program
   
    โครงการแลกซื้อคูปองหรือ Voucher ในรูปแบบกระดาษและดิจิทัลที่จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลไต้หวัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงโควิด-19
รัฐบาลจะมอบคูปองให้กับพลเมืองที่เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 3,000 ดอลลารไต้หวัน (ประมาณ 3,300 บาท) เพื่อนำมาใช้จ่ายกับร้านค้า ร้านอาหาร บริการขนส่ง และการท่องเที่ยวพักผ่อน ภายในระยะเวลาที่กำหนด หลักเกณฑ์การใช้งาน คือประชาชนที่ต้องการรับคูปองจะต้องซื้อบัตรกำนัลในราคา 1,000 ดอลลาร์ไต้หวัน จากนั้นรัฐบาลจะจ่ายให้เพิ่มอีก 2,000 ดอลลาร์ไต้หวัน (หรือมีลักษณะคล้ายโครงการคนละครึ่ง แต่กรณีนี้รัฐบาลเติมให้ 2 ส่วนต่อประชาชน 1 ส่วน) โดยร้านค้าสามารถนำใบเสร็จบัตรกำนัลไปขึ้นเงินที่ธนาคารได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โครงการนี้ให้บริการกับพลเมืองไต้หวัน 23 ล้านคน ตั้งแต่เด็กเล็กจนผู้สูงอายุ และชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตพำนักอีกประมาณ 150,000 คน 

ในปี 2564 รัฐบาลได้ต่อยอดโครงการ โดยจัดโครงการ “Quintuple stimulus” vouchers เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกครั้ง ครั้งนี้มีการเพิ่มจำนวนเงินเป็น 5 เท่า หรือ 5,000 ดอลลารไต้หวัน ประชาชนที่เข้าข่ายเกณฑ์ที่กำหนดสามารถเข้ารับคูปองได้ทันที ทั้งในรูปแบบกระดาษและแบบดิจิทัล โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อแลกซื้อคูปองเหมือนครั้งก่อนหน้า

3.Japan’s Shopping Coupon Programme
 
  ในปี 2542 ประเทศญี่ปุ่นออกนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการแจกคูปองซื้อของ (Shopping Coupon) ประมาณ 20,000 เยน ให้กับประชาชน 31 ล้านคน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ครัวเรือนที่เข้าเกณฑ์จะต้องมีเด็กอายุตั้งแต่ 15 ปี หรือน้อยกว่า อาศัยอยู่ด้วย จำนวนคูปองที่ได้รับจะเท่ากับจำนวนเด็กในบ้าน
คูปองมีอายุ 6 เดือนและจำกัดใช้ในพื้นที่ที่ผู้รับอยู่อาศัย รวมไปถึงข้อจำกัดของสินค้าที่สามารถใช้คูปองบริโภค โครงการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ราวๆ 620 พันล้านเยน

   ในแง่ของผลลัพธ์ พบว่าการแจกคูปองมีผลน้อยมากต่อสินค้าที่ไม่คงทน (Non-Durables) และกระตุ้นความโน้มเอียงในการบริโภคหน่วยที่เพิ่ม (Marginal Propensity to Consume) สำหรับสินค้าคงทน (Durables) ได้น้อยเพียงแค่ 0.1 ถึง 0.2

    การวิจัยพบอีกว่า ในเดือนถัดๆ มาหลังจากที่ไม่ได้แจกคูปองแล้วนั้น อัตราความโน้มเอียงในการบริโภคหน่วยที่เพิ่ม (MPC) ไม่ได้แสดงผลเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ประชาชนได้รับเงินสนับสนุนก้อนดังกล่าวแต่อย่างใด

 
   ไม่ว่าจะเป็นกรณีของญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการกระตุ้นการบริโภคนัก หรือกรณีของไต้หวันที่ประชาชนต้องออกเงินส่วนหนึ่งเพื่อแลกบัตรกำนัลจากรัฐบาลในการนำไปใช้จ่าย
   
    ภายใต้โครงการแจกเงินดิจิทัลของไทยที่ต้องใช้เงินงบประมาณมหาศาลกว่าทุกโครงการที่กล่าวมา จึงควรศึกษาประสบการณ์ใกล้เคียงหรือทำการวิจัยเพื่อวิเคราะห์โครงการอย่างจริงจัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่