พรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส การมีเซ็กส์ในสมัยอยุธยา 18+

อาณาจักรอยุธยารุ่งเรื่อง300กว่าปี เป็นยุคแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง มีความมั่งคั่งด้วยทองคำมากมาย และรุ่งเรืองไปด้วยความเจริญทางธรรมของผู้คน
ยุคนั้นวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในอยุธยามีรากเหง้ามาจากการศึกษาพระไตรปิฎก บวชเรียนเขียนอ่านศึกษาจากวัด ยังไม่ค่อยมีการศึกษาตำราฝรั่งหรือศาสนาฝรั่งกันแพร่หลาย วิถีชีวิตของคนยุคนั้นจะเรียกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนในสายตาฝรั่งก็ว่าได้

การมีเมียหลายคนในยุคนั้นไม่ผิดศีลข้อ3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 
ในยุคสมัยนั้นฟรีเซ็กส์ยิ่งกว่าปัจจุบันมากครับ
สมัยอยุธยาไม่มีคำว่า เวอร์จิ้น  หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์ มีแค่เคยกับไม่เคย
ดังเช่นพี่หมื่นกล่าวกับแม่การะเกดว่า ออเจ้าเคยโล้สำเภาหรือไม่ หากไม่เคยพี่จักสอนให้
พี่หมื่นก็เที่ยวซ่องเที่ยวโรงน้ำชามาแล้วนั่นแหละถึงรู้จักโล้สำเภา แล้วพี่หมื่นก็ไม่ได้สนว่าแม่การะเกดซิงหรือไม่ซิง แค่ถามว่าเคยไหม
เป็นเพราะคนยุคนั้นเขาไม่มีความคิดเรื่องเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศในหัวเลยครับ พี่หมื่นเขาไม่ได้สนว่าแม่การะเกดจะซิงหรือไม่ ไม่ได้รังเกียจว่าจะเคยมาหรือไม่เคย แล้วทำไมคนยุคนี้บางคนกลับมองหาแต่คนซิงและรังเกียจคนไม่ซิงล่ะ เกริ่นไว้ก่อนเดี๋ยวจะเล่าข้างล่างต่อครับ

คนจะเสพสังวาสกันไม่มีเวลาโมงยามใดๆ และไม่ได้อายร่างกายส่วนบนกันเช่นสมัยนี้
ในพระพุทธศาสนา อวัยวะอันพึงน่าละอายและต้องปิกปิดไว้คือ อวัยวะเพศ มีแค่นี้ครับ ผู้หญิงในสมัยนั้นไม่ได้อายปทุมถันอันใด ก็ปล่อยห้อยไว้แบบนั้นแหละ แก่ตัวมาก็ยานโตงเตงเป็นถุงกาแฟกันทั้งนั้น สมัยอยุทธยาการแต่งตัวอย่างสุภาพคือมีผ้านุ่งท่อนล่างปกปิดอวัยวะเพศ และใช้ผ้าสไบปิดไหล่มีแค่นี้ มันไม่โป๊สำหรับคนสมัยนั้นครับ และวัดวาอารามสมัยนั้นก็มีมาก ไพร่ไปวัดก็นุ่งผ้าปิดอวัยวะส่วนล่างแล้วมีผ้าสไบปิดไหล่แค่นั้นแหละ ยุคนั้นผ้าหายากมีราคาแพง คนเป็นไพร่เขาก็ใส่แค่นั้นแหละครับ ไม่ได้ถือว่าโป๊เพราะมีผ้าปิดอวัยวะอันน่าละอายแล้ว และมีผ้าสไบสไบปิดไหล่ถือว่าเป็นการแต่งกายอย่างสุภาพของคนสมัยนั้น ถ้าจะบอกว่าคนสมัยนั้นไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเพราะมองเห็นปทุมถันของผู้หญิงก็ว่าได้ครับ คนสมัยนั้นเขามีอารมณ์ทางเพศจากการเกี้ยวพาราสีกันโดยตรงมากกว่า แค่มองเห็นปทุมถันเขาก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะผู้หญิงทุกคนก็แต่งกายแบบนี้เหมือนๆกันหมด

การเสพสังวาสของคนในยุคนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายต่อกันถ้ามีที่กั้นมิดชิดปิดบังไว้ คนอื่นแม้รู้ว่าเขาเสพสังวาสกันก็หัวเราะคิกคักกันแค่นั้นแหละไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่ามีครั้งหนึ่งพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย พระภิกษุในสมัย2500ปีที่แล้วเป็นที่เคารพของผู้คนมากทหารก็ไม่กล้าห้าม แล้วพระภิกษุก็เข้าไปเจอพระราชากำลังเสพสังวาสอยู่ ก็เกิดความกระอักกระอ่วนกันขึ้น เลยมีพระวินัยว่า ห้ามพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย หากฝ่าฝืนอาบัติปาจิตตีย์
เรื่องนี้หมายความว่าการเสพสังวาสของคนสมัยโบราณไม่ได้เลือกกาลเวลาอันใด มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้นที่จะเสพสังวาสกันในทุกเวลา

ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่อง เวอร์จิ้น  หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์
การรักษาพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาคือการปฏิญาณตนรักษากายหลังจากได้ตั้งปฏิญาณไว้แล้ว ก่อนปฏิญาณรักษาพรหมจรรย์จะเคยมาก่อนหรือไม่เคยมาก่อนไม่มีการนับ เพราะในพระพุทธศาสนาไม่มีการถือความซิงของร่างกาย ไม่มีการถือพรหมจรรย์ที่เป็นเยื่อส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศ การถือพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนามีแค่การตั้งปฏิญาณตนเท่านั้น ผู้มีสามีแล้วมีภรรยาแล้ว เมื่อถือศีล8จะกลายเป็นผู้มีพรหมจรรย์ทันที

แล้วคำสอนจากพระไตรปิฎกมันกลายพันธ์ไปได้ยังไง สืบเนื่องจากคนไทยรับเอาวัฒนธรรมทุกชาติทุกภาษาเข้ามา คำสอนศาสนาอื่นๆสอนให้นับพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศทั้งนั้น ต่างจากศาสนาพุทธเช่นดังอธิบายไปแล้ว
เรื่องการถือพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศเลยเกิดมาจากเรื่องแบบนี้แหละครับ และความเชื่อแบบนี้ก็เชื่อกันทั้งโลก ส่วนคนสมัยให้ที่เชื่อวิทยาศาตร์มากกว่าจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะมันคือเยื่อของอวัยวะเพศเท่านั้นเอง

คำสอนมากลายพันธ์เอาเมื่อยุคร้อยสองร้อยปีมานี้เองครับ เนื่องจากประเทศสยามต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมของโลกตะวันตก เราจึงสร้างประเพณีต่างๆขึ้นมา มีการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นมา มีการเขียนตำราจารีตประเพณีต่างๆขึ้นมา และทำการปฏิบัติรักษาสืบต่อกันมา กลายเป็นประเพณีกลายเป็นวัฒนธรรมกลายเป็นกฏหมาย กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับและเชื่อถือ

ชาวพุทธไทยไม่ควรให้ค่ากับเยื่อของอวัยวะเพศ มันเป็นเรื่องที่คนไทยเมื่อร้อยสองร้อยปีที่แล้วกำหนดขึ้นมาใหม่ ยุคนั้นมีการใช้คำว่าหญิงพรหมจรรย์ หมายถึงผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพัธ์มาก่อน แล้วก็สอนให้รักนวลสงวนตัว คนไทยในยุคก่อนหน้านั้นเช่นในสมัยอยุธยาเขาไม่คิดเรื่องนี้กันครับ ภาพเขียนทางประวัติศาตร์ตามผนังวัดเก่าๆบางภาพแสดงให้เห็นว่าคนเสพสังวาสกันเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันลามกน่าเกลียดเขาคงไม่ให้เขียนที่ผนังโบสถ์เมื่อ300ปีที่แล้วครับ การเสพสังวาสแค่มีที่ปิดบังหรืออยู่บนเรือนตัวเองก็ไม่ได้น่าเกลียดอันใด มันเป็นเรื่องที่คนยุคนั้นมองว่าเป็นวิถีชีวิตปกติแค่นั้นเอง

ในศาสนาพุทธ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้มีพรหมจรรย์ได้ทุกคน ในพระไตรปิฎกไม่เคยมีคำสอนให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศแม้แต่บรรทัดเดียวครับ ไม่เชื่อไปหาอ่านดูเลยครับ พระไตรปิฎกฉบับหลวง45เล่ม และพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถา91เล่ม ไม่มีซักบรรทัดที่ให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศ
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ก่อนนั้นท่านก็เคยแต่งงานมีเมียมีลูกมาแล้ว หากร่างกายไม่ซิงแล้วท่านเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ยังไง ลองคิดดู พรหมจรรย์ตามคำสอนของพระพุทธไม่ได้นับที่เยื่อของอวัยวะเพศครับ

สิ่งที่ละครทำออกมาถือว่าตรงกับความเป็นจริงในยุคสมัยนั้นครับ ไม่ได้เซ็กส์จัดอันใด คนเป็นผัวเมียกันถ้ายังรักกันและยังมีร่างกายแข็งแรง สามารถเสพสังวาสโล้สำเภากันได้ทุกเวลาครับ และคนในบ้านเขาก็ไม่คิดคิดอะไรมากกับการเสพสังวาสในเรือน หรือในยามกลางวัน หากมีที่กั้นที่บังไว้ไม่ให้เห็นถือว่าเหมาะสมแล้ว สมัยโบราณครอบครัวแต่ละครอบครัวอยู่กันเป็นเรือนใหญ่ บ่าวทาสมุ้งไม่มีกางคลุมแค่ผ้าผวย นอนที่ใครที่มันใครเสพสังวาสกันก็รู้หมดแหละ แต่เขาไม่สนใจเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนสมัยนั้น เจ้านายขุนนางมีห้องส่วนตัวเสพสังวาสกันบ่าวทาสก็รับรู้หมดว่าทำอะไรกัน คนยุคนั้นเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายอันใด

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของยุคสมัยนั้น บางเรื่องเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานกับยุคนี้ไม่ได้นะครับ
เพียงแค่อยากจะเล่าว่าคนในยุคสมัยนั้นเขาใช้ชีวิตกันเช่นไร มีแนวความคิดกันเช่นไร
เป็นเรื่องราวที่เอาไว้อ่านเพื่อเพิ่มอรรถรสในการดูละครเท่านั้นครับ

ผมเขียนเรื่องนี้เพราะผมดูละครแล้วอินกับเนื้อเรื่อง ผมแท็กแต่ละคร2เรื่องนี้พอ 
เพราะผมไม่อยากตอบคำถาม และไม่ต้องการโต้แย้งใดๆจากท่านผู้รู้ทั้งหลายที่อยู่ห้องศาสนา
หากใครเห็นว่าถูกต้องก็รับเอาความรู้นี้ไป หากใครเห็นว่าไม่ถูกต้องผมจะไม่โต้แย้งใดๆครับ
และผมตั้งเป็นกระทู้คำถามเพื่อให้ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่