อาณาจักรอยุธยารุ่งเรื่อง300กว่าปี เป็นยุคแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง มีความมั่งคั่งด้วยทองคำมากมาย และรุ่งเรืองไปด้วยความเจริญทางธรรมของผู้คน
ยุคนั้นวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในอยุธยามีรากเหง้ามาจากการศึกษาพระไตรปิฎก บวชเรียนเขียนอ่านศึกษาจากวัด ยังไม่ค่อยมีการศึกษาตำราฝรั่งหรือศาสนาฝรั่งกันแพร่หลาย วิถีชีวิตของคนยุคนั้นจะเรียกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนในสายตาฝรั่งก็ว่าได้
การมีเมียหลายคนในยุคนั้นไม่ผิดศีลข้อ3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ศีลข้อ3 กาเมสุ(กามทั้งหลาย) มิจฉาจารา(ผิดจารีต) เวรมณี(การงดเว้น) สิกขาปะทัง(การศึกษา) สมาธิยามิ(รับเอามาปฏิบัติ) ศีลข้อนี้มันละเอียดมากกว่าคำว่า ผิดผัวเมียลูกคนอื่น มันเกี่ยวกับกฏหมายและประเพณี ต้องศึกษาข้อกฏหมายและประเพณีด้วยครับ ศีลข้อ3มันเกี่ยวกับจารีตประเพณีและข้อกฏหมายของถิ่นนั้นๆ ถ้าไม่ขัดกับจารีตประเพณีและข้อกฏหมายของถิ่นนั้นๆก็ถือว่าไม่ผิด
ภูฏานมีภรรยาได้หลายคน มีสามีได้หลายคน มีมากกว่า1คนแบบตามประเพณีที่ภูฏานและอาศัยอยู่ในประเทศภูฏานไม่ผิดศีลข้อ3 แต่ถ้าเป็นเมืองไทยไม่ได้ เพราะคนไทยไม่ยอมรับการมีมากกว่า1คน ในเมืองไทยจึงผิดศีลข้อ3 ถ้าย้อนไปสมัยอยุธยาผู้ชายมีเมียหลายคนได้ไม่มีใครว่าถ้าเลี้ยงไหว หรือจะไปเที่ยวโสเภณีตามโรงน้ำชาก็ได้ถ้ามีเงินจ่าย ยุคนั้นทำแบบนี้ไม่ผิดศีลข้อ3ครับ เพราะสังคมสมัยนั้นยอมรับความเป็นใหญ่ของผู้ชายและมีกฏหมายรับรองความถูกต้องในการซื้อขายบริการทางเพศ ไทยในยุคปัจจุบันกฏหมายไทยไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ซื้อขายบริการทางเพศที่อายุ20ปีขึ้นไป แต่การซื้อกินก็มีข้อกำหนดยิบย่อยอีกเยอะนะ ยกตัวอย่าง มาตรา7 ห้ามโฆษณาชักชวน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าโสเภนีชักชวนและมีผู้ไปซื้อจะผิดกฏหมาย แบบนี้ผิดศีลข้อ3ทั้งผู้ซื้อผู้ขาย ที่ผิดศีลข้อ3เป็นเพราะผิดกฏหมายอันเป็นประเพณีและจารีตของไทยครับ รวมไปถึงธุรกิจค้ากามต่างๆคือผิดศีลข้อ3หมด ทำเป็นธุรกิจเปิดร้านมีการค้ากามผิดศีลข้อ3หมดครับ
ซื้อกินอย่างไรไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลข้อ3 ถ้ามีคู่แล้วผิดทุกกรณี จะซื้อกินหรือจะขายนาผืนน้อยต้องเป็นคนโสดทั้งคู่ครับถึงจะไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลข้อ3 ต้องไม่อยู่ในสถานบริการ ผู้ซื้อรู้ว่าผู้ขายมีการขายอยู่แล้วโดยผู้ขายไม่ได้โฆษณาชักชวน ผู้ซื้อผู้ขายมีอายุ20ปีขึ้นไป ไปคุยกันเองและตกลงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย เสร็จกิจจ่ายเงินรับเงินแยกย้าย แบบนี้ไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลข้อ3ด้วย กฏหมายและประเพณียังเปิดช่องให้ไปเที่ยวโสเภณีให้ขายบริการได้ตามเงื่อนไขนี้เท่านั้นครับ ผิดจากเงื่อนไขนี้ผิดกฏหมายและผิดศีลข้อ3
คนบอกว่าซื้อกินเป็นเรื่องไม่ดี แต่คนส่วนใหญ่ยังยอมรับกฏหมายนี้ได้อยู่ กฏหมายปิดตาข้างเปิดตาข้าง ยังมีช่องทางให้ซื้อกินได้โดยไม่ผิดกฏหมาย เมื่อกฏหมายซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เห็นเช่นนี้ ศีลข้อ3ก็เปลี่ยนไปตามกฏหมายซึ่งเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ไปด้วย
ไทยเปลี่ยนข้อบังคับเรื่องนี้ในยุครัตนโกสินทร์ เลยทำให้ศีลข้อ3เปลี่ยนตามไปด้วยเพราะศีลข้อ3เกี่ยวข้องกับกฏหมายและจารีตประเพณีโดยตรง ที่ศีลข้อ3เปลี่ยนไปเพราะไทยรับเอาวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามาครับ ฝรั่งศาสนาคริสต์ไม่ยอมรับการมีสามีภรรยาหลายคน ไทยรับเอาวัฒนธรรนี้มาศีลข้อ3ก็เลยเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เป็นความยืดหยุ่นของคำสอนศาสนาพุทธครับ ศีลข้อ3สามารถยืดหยุ่นรักษาได้ในทุกยุคสมัย ศีลข้อ3ยืดหยุ่นเพื่อให้คนที่ยังติดใจในรสกามที่หลากหลายได้มีโอกาสรักษาศีล ศีลข้อ3จะปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนกว่าจะมีการเสพกามเสรีแบบสัตว์ ถ้ามีการเสพกามเสรีแบบสัตว์เมื่อไร แปลว่าในตอนนั้นศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้วครับ
ในยุคสมัยนั้นฟรีเซ็กส์ยิ่งกว่าปัจจุบันมากครับ
สมัยอยุธยาไม่มีคำว่า เวอร์จิ้น หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์ มีแค่เคยกับไม่เคย
ดังเช่นพี่หมื่นกล่าวกับแม่การะเกดว่า ออเจ้าเคยโล้สำเภาหรือไม่ หากไม่เคยพี่จักสอนให้
พี่หมื่นก็เที่ยวซ่องเที่ยวโรงน้ำชามาแล้วนั่นแหละถึงรู้จักโล้สำเภา แล้วพี่หมื่นก็ไม่ได้สนว่าแม่การะเกดซิงหรือไม่ซิง แค่ถามว่าเคยไหม
เป็นเพราะคนยุคนั้นเขาไม่มีความคิดเรื่องเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศในหัวเลยครับ พี่หมื่นเขาไม่ได้สนว่าแม่การะเกดจะซิงหรือไม่ ไม่ได้รังเกียจว่าจะเคยมาหรือไม่เคย แล้วทำไมคนยุคนี้บางคนกลับมองหาแต่คนซิงและรังเกียจคนไม่ซิงล่ะ เกริ่นไว้ก่อนเดี๋ยวจะเล่าข้างล่างต่อครับ
คนจะเสพสังวาสกันไม่มีเวลาโมงยามใดๆ และไม่ได้อายร่างกายส่วนบนกันเช่นสมัยนี้
ในพระพุทธศาสนา อวัยวะอันพึงน่าละอายและต้องปิกปิดไว้คือ อวัยวะเพศ มีแค่นี้ครับ ผู้หญิงในสมัยนั้นไม่ได้อายปทุมถันอันใด ก็ปล่อยห้อยไว้แบบนั้นแหละ แก่ตัวมาก็ยานโตงเตงเป็นถุงกาแฟกันทั้งนั้น สมัยอยุทธยาการแต่งตัวอย่างสุภาพคือมีผ้านุ่งท่อนล่างปกปิดอวัยวะเพศ และใช้ผ้าสไบปิดไหล่มีแค่นี้ มันไม่โป๊สำหรับคนสมัยนั้นครับ และวัดวาอารามสมัยนั้นก็มีมาก ไพร่ไปวัดก็นุ่งผ้าปิดอวัยวะส่วนล่างแล้วมีผ้าสไบปิดไหล่แค่นั้นแหละ ยุคนั้นผ้าหายากมีราคาแพง คนเป็นไพร่เขาก็ใส่แค่นั้นแหละครับ ไม่ได้ถือว่าโป๊เพราะมีผ้าปิดอวัยวะอันน่าละอายแล้ว และมีผ้าสไบสไบปิดไหล่ถือว่าเป็นการแต่งกายอย่างสุภาพของคนสมัยนั้น ถ้าจะบอกว่าคนสมัยนั้นไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเพราะมองเห็นปทุมถันของผู้หญิงก็ว่าได้ครับ คนสมัยนั้นเขามีอารมณ์ทางเพศจากการเกี้ยวพาราสีกันโดยตรงมากกว่า แค่มองเห็นปทุมถันเขาก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะผู้หญิงทุกคนก็แต่งกายแบบนี้เหมือนๆกันหมด
การเสพสังวาสของคนในยุคนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายต่อกันถ้ามีที่กั้นมิดชิดปิดบังไว้ คนอื่นแม้รู้ว่าเขาเสพสังวาสกันก็หัวเราะคิกคักกันแค่นั้นแหละไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่ามีครั้งหนึ่งพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย พระภิกษุในสมัย2500ปีที่แล้วเป็นที่เคารพของผู้คนมากทหารก็ไม่กล้าห้าม แล้วพระภิกษุก็เข้าไปเจอพระราชากำลังเสพสังวาสอยู่ ก็เกิดความกระอักกระอ่วนกันขึ้น เลยมีพระวินัยว่า ห้ามพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย หากฝ่าฝืนอาบัติปาจิตตีย์
เรื่องนี้หมายความว่าการเสพสังวาสของคนสมัยโบราณไม่ได้เลือกกาลเวลาอันใด มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้นที่จะเสพสังวาสกันในทุกเวลา
ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่อง เวอร์จิ้น หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์
การรักษาพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาคือการปฏิญาณตนรักษากายหลังจากได้ตั้งปฏิญาณไว้แล้ว ก่อนปฏิญาณรักษาพรหมจรรย์จะเคยมาก่อนหรือไม่เคยมาก่อนไม่มีการนับ เพราะในพระพุทธศาสนาไม่มีการถือความซิงของร่างกาย ไม่มีการถือพรหมจรรย์ที่เป็นเยื่อส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศ การถือพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนามีแค่การตั้งปฏิญาณตนเท่านั้น ผู้มีสามีแล้วมีภรรยาแล้ว เมื่อถือศีล8จะกลายเป็นผู้มีพรหมจรรย์ทันที
แล้วคำสอนจากพระไตรปิฎกมันกลายพันธ์ไปได้ยังไง สืบเนื่องจากคนไทยรับเอาวัฒนธรรมทุกชาติทุกภาษาเข้ามา คำสอนศาสนาอื่นๆสอนให้นับพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศทั้งนั้น ต่างจากศาสนาพุทธเช่นดังอธิบายไปแล้ว
เรื่องการถือพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศเลยเกิดมาจากเรื่องแบบนี้แหละครับ และความเชื่อแบบนี้ก็เชื่อกันทั้งโลก ส่วนคนสมัยให้ที่เชื่อวิทยาศาตร์มากกว่าจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะมันคือเยื่อของอวัยวะเพศเท่านั้นเอง
คำสอนมากลายพันธ์เอาเมื่อยุคร้อยสองร้อยปีมานี้เองครับ เนื่องจากประเทศสยามต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมของโลกตะวันตก เราจึงสร้างประเพณีต่างๆขึ้นมา มีการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นมา มีการเขียนตำราจารีตประเพณีต่างๆขึ้นมา และทำการปฏิบัติรักษาสืบต่อกันมา กลายเป็นประเพณีกลายเป็นวัฒนธรรมกลายเป็นกฏหมาย กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับและเชื่อถือ
ชาวพุทธไทยไม่ควรให้ค่ากับเยื่อของอวัยวะเพศ มันเป็นเรื่องที่คนไทยเมื่อร้อยสองร้อยปีที่แล้วกำหนดขึ้นมาใหม่ ยุคนั้นมีการใช้คำว่าหญิงพรหมจรรย์ หมายถึงผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพัธ์มาก่อน แล้วก็สอนให้รักนวลสงวนตัว คนไทยในยุคก่อนหน้านั้นเช่นในสมัยอยุธยาเขาไม่คิดเรื่องนี้กันครับ ภาพเขียนทางประวัติศาตร์ตามผนังวัดเก่าๆบางภาพแสดงให้เห็นว่าคนเสพสังวาสกันเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันลามกน่าเกลียดเขาคงไม่ให้เขียนที่ผนังโบสถ์เมื่อ300ปีที่แล้วครับ การเสพสังวาสแค่มีที่ปิดบังหรืออยู่บนเรือนตัวเองก็ไม่ได้น่าเกลียดอันใด มันเป็นเรื่องที่คนยุคนั้นมองว่าเป็นวิถีชีวิตปกติแค่นั้นเอง
ในศาสนาพุทธ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้มีพรหมจรรย์ได้ทุกคน ในพระไตรปิฎกไม่เคยมีคำสอนให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศแม้แต่บรรทัดเดียวครับ ไม่เชื่อไปหาอ่านดูเลยครับ พระไตรปิฎกฉบับหลวง45เล่ม และพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถา91เล่ม ไม่มีซักบรรทัดที่ให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศ
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ก่อนนั้นท่านก็เคยแต่งงานมีเมียมีลูกมาแล้ว หากร่างกายไม่ซิงแล้วท่านเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ยังไง ลองคิดดู พรหมจรรย์ตามคำสอนของพระพุทธไม่ได้นับที่เยื่อของอวัยวะเพศครับ
สิ่งที่ละครทำออกมาถือว่าตรงกับความเป็นจริงในยุคสมัยนั้นครับ ไม่ได้เซ็กส์จัดอันใด คนเป็นผัวเมียกันถ้ายังรักกันและยังมีร่างกายแข็งแรง สามารถเสพสังวาสโล้สำเภากันได้ทุกเวลาครับ และคนในบ้านเขาก็ไม่คิดคิดอะไรมากกับการเสพสังวาสในเรือน หรือในยามกลางวัน หากมีที่กั้นที่บังไว้ไม่ให้เห็นถือว่าเหมาะสมแล้ว สมัยโบราณครอบครัวแต่ละครอบครัวอยู่กันเป็นเรือนใหญ่ บ่าวทาสมุ้งไม่มีกางคลุมแค่ผ้าผวย นอนที่ใครที่มันใครเสพสังวาสกันก็รู้หมดแหละ แต่เขาไม่สนใจเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนสมัยนั้น เจ้านายขุนนางมีห้องส่วนตัวเสพสังวาสกันบ่าวทาสก็รับรู้หมดว่าทำอะไรกัน คนยุคนั้นเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายอันใด
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของยุคสมัยนั้น บางเรื่องเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานกับยุคนี้ไม่ได้นะครับ
เพียงแค่อยากจะเล่าว่าคนในยุคสมัยนั้นเขาใช้ชีวิตกันเช่นไร มีแนวความคิดกันเช่นไร
เป็นเรื่องราวที่เอาไว้อ่านเพื่อเพิ่มอรรถรสในการดูละครเท่านั้นครับ
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะผมดูละครแล้วอินกับเนื้อเรื่อง ผมแท็กแต่ละคร2เรื่องนี้พอ
เพราะผมไม่อยากตอบคำถาม และไม่ต้องการโต้แย้งใดๆจากท่านผู้รู้ทั้งหลายที่อยู่ห้องศาสนา
หากใครเห็นว่าถูกต้องก็รับเอาความรู้นี้ไป หากใครเห็นว่าไม่ถูกต้องผมจะไม่โต้แย้งใดๆครับ
และผมตั้งเป็นกระทู้คำถามเพื่อให้ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้
พรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส การมีเซ็กส์ในสมัยอยุธยา 18+
ยุคนั้นวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในอยุธยามีรากเหง้ามาจากการศึกษาพระไตรปิฎก บวชเรียนเขียนอ่านศึกษาจากวัด ยังไม่ค่อยมีการศึกษาตำราฝรั่งหรือศาสนาฝรั่งกันแพร่หลาย วิถีชีวิตของคนยุคนั้นจะเรียกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนในสายตาฝรั่งก็ว่าได้
การมีเมียหลายคนในยุคนั้นไม่ผิดศีลข้อ3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในยุคสมัยนั้นฟรีเซ็กส์ยิ่งกว่าปัจจุบันมากครับ
สมัยอยุธยาไม่มีคำว่า เวอร์จิ้น หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์ มีแค่เคยกับไม่เคย
ดังเช่นพี่หมื่นกล่าวกับแม่การะเกดว่า ออเจ้าเคยโล้สำเภาหรือไม่ หากไม่เคยพี่จักสอนให้
พี่หมื่นก็เที่ยวซ่องเที่ยวโรงน้ำชามาแล้วนั่นแหละถึงรู้จักโล้สำเภา แล้วพี่หมื่นก็ไม่ได้สนว่าแม่การะเกดซิงหรือไม่ซิง แค่ถามว่าเคยไหม
เป็นเพราะคนยุคนั้นเขาไม่มีความคิดเรื่องเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศในหัวเลยครับ พี่หมื่นเขาไม่ได้สนว่าแม่การะเกดจะซิงหรือไม่ ไม่ได้รังเกียจว่าจะเคยมาหรือไม่เคย แล้วทำไมคนยุคนี้บางคนกลับมองหาแต่คนซิงและรังเกียจคนไม่ซิงล่ะ เกริ่นไว้ก่อนเดี๋ยวจะเล่าข้างล่างต่อครับ
คนจะเสพสังวาสกันไม่มีเวลาโมงยามใดๆ และไม่ได้อายร่างกายส่วนบนกันเช่นสมัยนี้
ในพระพุทธศาสนา อวัยวะอันพึงน่าละอายและต้องปิกปิดไว้คือ อวัยวะเพศ มีแค่นี้ครับ ผู้หญิงในสมัยนั้นไม่ได้อายปทุมถันอันใด ก็ปล่อยห้อยไว้แบบนั้นแหละ แก่ตัวมาก็ยานโตงเตงเป็นถุงกาแฟกันทั้งนั้น สมัยอยุทธยาการแต่งตัวอย่างสุภาพคือมีผ้านุ่งท่อนล่างปกปิดอวัยวะเพศ และใช้ผ้าสไบปิดไหล่มีแค่นี้ มันไม่โป๊สำหรับคนสมัยนั้นครับ และวัดวาอารามสมัยนั้นก็มีมาก ไพร่ไปวัดก็นุ่งผ้าปิดอวัยวะส่วนล่างแล้วมีผ้าสไบปิดไหล่แค่นั้นแหละ ยุคนั้นผ้าหายากมีราคาแพง คนเป็นไพร่เขาก็ใส่แค่นั้นแหละครับ ไม่ได้ถือว่าโป๊เพราะมีผ้าปิดอวัยวะอันน่าละอายแล้ว และมีผ้าสไบสไบปิดไหล่ถือว่าเป็นการแต่งกายอย่างสุภาพของคนสมัยนั้น ถ้าจะบอกว่าคนสมัยนั้นไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเพราะมองเห็นปทุมถันของผู้หญิงก็ว่าได้ครับ คนสมัยนั้นเขามีอารมณ์ทางเพศจากการเกี้ยวพาราสีกันโดยตรงมากกว่า แค่มองเห็นปทุมถันเขาก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะผู้หญิงทุกคนก็แต่งกายแบบนี้เหมือนๆกันหมด
การเสพสังวาสของคนในยุคนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายต่อกันถ้ามีที่กั้นมิดชิดปิดบังไว้ คนอื่นแม้รู้ว่าเขาเสพสังวาสกันก็หัวเราะคิกคักกันแค่นั้นแหละไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่ามีครั้งหนึ่งพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย พระภิกษุในสมัย2500ปีที่แล้วเป็นที่เคารพของผู้คนมากทหารก็ไม่กล้าห้าม แล้วพระภิกษุก็เข้าไปเจอพระราชากำลังเสพสังวาสอยู่ ก็เกิดความกระอักกระอ่วนกันขึ้น เลยมีพระวินัยว่า ห้ามพระภิกษุเข้าไปหาพระราชาโดยไม่ได้นัดหมาย หากฝ่าฝืนอาบัติปาจิตตีย์
เรื่องนี้หมายความว่าการเสพสังวาสของคนสมัยโบราณไม่ได้เลือกกาลเวลาอันใด มันเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้นที่จะเสพสังวาสกันในทุกเวลา
ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่อง เวอร์จิ้น หรือรักษาเยื่อพรหมจรรย์
การรักษาพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาคือการปฏิญาณตนรักษากายหลังจากได้ตั้งปฏิญาณไว้แล้ว ก่อนปฏิญาณรักษาพรหมจรรย์จะเคยมาก่อนหรือไม่เคยมาก่อนไม่มีการนับ เพราะในพระพุทธศาสนาไม่มีการถือความซิงของร่างกาย ไม่มีการถือพรหมจรรย์ที่เป็นเยื่อส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศ การถือพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนามีแค่การตั้งปฏิญาณตนเท่านั้น ผู้มีสามีแล้วมีภรรยาแล้ว เมื่อถือศีล8จะกลายเป็นผู้มีพรหมจรรย์ทันที
แล้วคำสอนจากพระไตรปิฎกมันกลายพันธ์ไปได้ยังไง สืบเนื่องจากคนไทยรับเอาวัฒนธรรมทุกชาติทุกภาษาเข้ามา คำสอนศาสนาอื่นๆสอนให้นับพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศทั้งนั้น ต่างจากศาสนาพุทธเช่นดังอธิบายไปแล้ว
เรื่องการถือพรหมจรรย์ที่เยื่อของอวัยวะเพศเลยเกิดมาจากเรื่องแบบนี้แหละครับ และความเชื่อแบบนี้ก็เชื่อกันทั้งโลก ส่วนคนสมัยให้ที่เชื่อวิทยาศาตร์มากกว่าจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะมันคือเยื่อของอวัยวะเพศเท่านั้นเอง
คำสอนมากลายพันธ์เอาเมื่อยุคร้อยสองร้อยปีมานี้เองครับ เนื่องจากประเทศสยามต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมของโลกตะวันตก เราจึงสร้างประเพณีต่างๆขึ้นมา มีการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นมา มีการเขียนตำราจารีตประเพณีต่างๆขึ้นมา และทำการปฏิบัติรักษาสืบต่อกันมา กลายเป็นประเพณีกลายเป็นวัฒนธรรมกลายเป็นกฏหมาย กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับและเชื่อถือ
ชาวพุทธไทยไม่ควรให้ค่ากับเยื่อของอวัยวะเพศ มันเป็นเรื่องที่คนไทยเมื่อร้อยสองร้อยปีที่แล้วกำหนดขึ้นมาใหม่ ยุคนั้นมีการใช้คำว่าหญิงพรหมจรรย์ หมายถึงผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพัธ์มาก่อน แล้วก็สอนให้รักนวลสงวนตัว คนไทยในยุคก่อนหน้านั้นเช่นในสมัยอยุธยาเขาไม่คิดเรื่องนี้กันครับ ภาพเขียนทางประวัติศาตร์ตามผนังวัดเก่าๆบางภาพแสดงให้เห็นว่าคนเสพสังวาสกันเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันลามกน่าเกลียดเขาคงไม่ให้เขียนที่ผนังโบสถ์เมื่อ300ปีที่แล้วครับ การเสพสังวาสแค่มีที่ปิดบังหรืออยู่บนเรือนตัวเองก็ไม่ได้น่าเกลียดอันใด มันเป็นเรื่องที่คนยุคนั้นมองว่าเป็นวิถีชีวิตปกติแค่นั้นเอง
ในศาสนาพุทธ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้มีพรหมจรรย์ได้ทุกคน ในพระไตรปิฎกไม่เคยมีคำสอนให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศแม้แต่บรรทัดเดียวครับ ไม่เชื่อไปหาอ่านดูเลยครับ พระไตรปิฎกฉบับหลวง45เล่ม และพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถา91เล่ม ไม่มีซักบรรทัดที่ให้รักษาเยื่อพรหมจรรย์ของอวัยวะเพศ
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ก่อนนั้นท่านก็เคยแต่งงานมีเมียมีลูกมาแล้ว หากร่างกายไม่ซิงแล้วท่านเป็นผู้มีที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ยังไง ลองคิดดู พรหมจรรย์ตามคำสอนของพระพุทธไม่ได้นับที่เยื่อของอวัยวะเพศครับ
สิ่งที่ละครทำออกมาถือว่าตรงกับความเป็นจริงในยุคสมัยนั้นครับ ไม่ได้เซ็กส์จัดอันใด คนเป็นผัวเมียกันถ้ายังรักกันและยังมีร่างกายแข็งแรง สามารถเสพสังวาสโล้สำเภากันได้ทุกเวลาครับ และคนในบ้านเขาก็ไม่คิดคิดอะไรมากกับการเสพสังวาสในเรือน หรือในยามกลางวัน หากมีที่กั้นที่บังไว้ไม่ให้เห็นถือว่าเหมาะสมแล้ว สมัยโบราณครอบครัวแต่ละครอบครัวอยู่กันเป็นเรือนใหญ่ บ่าวทาสมุ้งไม่มีกางคลุมแค่ผ้าผวย นอนที่ใครที่มันใครเสพสังวาสกันก็รู้หมดแหละ แต่เขาไม่สนใจเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนสมัยนั้น เจ้านายขุนนางมีห้องส่วนตัวเสพสังวาสกันบ่าวทาสก็รับรู้หมดว่าทำอะไรกัน คนยุคนั้นเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายอันใด
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของยุคสมัยนั้น บางเรื่องเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานกับยุคนี้ไม่ได้นะครับ
เพียงแค่อยากจะเล่าว่าคนในยุคสมัยนั้นเขาใช้ชีวิตกันเช่นไร มีแนวความคิดกันเช่นไร
เป็นเรื่องราวที่เอาไว้อ่านเพื่อเพิ่มอรรถรสในการดูละครเท่านั้นครับ
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะผมดูละครแล้วอินกับเนื้อเรื่อง ผมแท็กแต่ละคร2เรื่องนี้พอ
เพราะผมไม่อยากตอบคำถาม และไม่ต้องการโต้แย้งใดๆจากท่านผู้รู้ทั้งหลายที่อยู่ห้องศาสนา
หากใครเห็นว่าถูกต้องก็รับเอาความรู้นี้ไป หากใครเห็นว่าไม่ถูกต้องผมจะไม่โต้แย้งใดๆครับ
และผมตั้งเป็นกระทู้คำถามเพื่อให้ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้