สามีแบ่งเงินประกันให้น้องสามี 30% เราต้องรู้สึกยังไง

เราแต่งงานกับสามีมา7 ปี มีลูก 1 คน 1 ขวบ 
วันนี้เราถามเขาว่า ถ้าเกิดวันนึงเทอตาย ประกันตกเป็นของใคร (เราอยู่ในประเทศที่ผช เป็นใหญ่ ซึ่งน้องชายจะต้องเข้ามาจัดการทุกอย่างถ้าสามีตาย)
สามี : 50/50 ไม่ก็70/30 กับน้องชาย 
เราอึ้งไปเลย เพราะตอนนี้เราเป็นแม่บ้าน แสดงว่าเขาไม่ได้คิดถึงอนาคตเราและลูกในตอนที่ไม่มีเขา ถูกไหมค่ะ 

ใช่เราอาจจะหวังเรื่องเงิน เพราะเราไม่ได้ทำงานเราไม่มีเงิน
ตอนนี้ใช้กระเป๋าตังเดียวกัน เพราะเราไม่ได้คิดมาก 
อีกอย่างเราอยากได้อะไร ซื้ออะไรก็ได้ 
แต่เรารู้สึกไม่โอเค กับคำตอบที่เขาให้มา 
*เขาบอกว่าน้องชายเขาไม่เอาหรอก 
เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดี 

เราต้องทำยังไงดีคะ
--------------------------------------
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นนะคะ
เราต้องขอประทานโทษ ไม่คิดว่าทุกคนจะตอบกันเยอะมากมายขนาดนี้ 
ขอบคุณคนที่เม้นกันอย่างสุภาพทั้งที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน บางครั้งเราแค่ต้องการกำลังใจหรือหาทางออก มันเป็นอารมณ์โมโหผัวล้วนๆ แต่สามีก็โทรมาเคลียร์ส่งเอกสารมาให้ดูแล้วว่าเป็นเราและลูก 
ต้องขอบคุณ คุณโอซามุไค007 มากนะคะ และอีกหลายคอมเม้นที่ไม่ได้เอ่ยถึง สุดท้ายเราสามีภรรยาต้องคุยกัน ตอนนี้สามีก็เพิ่มเงินเดือนและเงินก้อน อิอิ เราสบายใจแล้วครัช รักทุกคนนะคะ 

เราตามไปอ่านคอมเม้น คอมเม้นนึงถูกใจเรามาก คุณ nungning 
เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ มันอาจทำให้เรารู้สึกสับสนและไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองได้ครับ เรื่องของการจัดการทางการเงินหลังจากการจากไปของคู่ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญที่คู่สามีภรรยาควรจะนั่งลงมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกสบายใจและมั่นใจในอนาคตของตนเองและลูกๆ ครับ
การที่สามีแบ่งเงินประกันให้น้องชาย 30% อาจสะท้อนถึงความสำคัญที่เขาให้กับครอบครัวเดิมของเขา แต่ในฐานะภรรยาและแม่ของลูก คุณก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ หากคิดว่าการจัดสรรนี้อาจไม่เป็นธรรมหรือไม่เพียงพอสำหรับคุณและลูกในอนาคต ในสถานการณ์แบบนี้ครับ สิ่งที่ควรทำคือ:
1. การสื่อสารที่เปิดเผย: นั่งคุยกับสามีอย่างจริงจังเกี่ยวกับความกังวลของคุณ และว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าการจัดสรรเงินประกันในลักษณะนี้อาจไม่เหมาะสม
2. การวางแผนทางการเงินร่วมกัน: พยายามหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าเป็นธรรมและสบายใจ อาจรวมถึงการทำประกันชีวิตหรือการวางแผนการเงินอื่นๆ เพื่อความมั่นคงในอนาคต
3. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากจำเป็น ควรปรึกษากับทนายความหรือนักวางแผนการเงินเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสม
ในท้ายที่สุด การตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรเงินประกันควรจะสะท้อนถึงความต้องการและความรับผิดชอบที่คุณทั้งสองมีต่อกันและต่อครอบครัวของคุณครับ การพูดคุยและคำนึงถึงอนาคตร่วมกันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ทั้งคุณและสามีรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความมั่นคงของครอบครัวครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
แก้ไขยาก เข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ
แต่ถ้าคุณมีงาน มีเงินเป็นของตัวเอง คุณก็จะไม่ทุกข์ขนาดนี้ครับ

การใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งคนอื่น 100% ก็แบบนี้ละครับ
เสียงก็ไม่ดัง เรียกร้องอะไรก็ไม่มีน้ำหนักครับ
ความคิดเห็นที่ 3
มองว่าสมเหตุสมผล คุณ 70 น้อง 30 ภรรยาไม่จำเป็นต้อง 100 ไม่เกี่ยวว่ารักมากหรือรักน้อย สามีภรรยา เลิกกันก็เป็นคนอื่น พี่น้องยังไงก็เป็นพี่น้อง ตัดกันไม่ขาดต้องพึ่งพากันอยู่ดี (คหสต)
ความคิดเห็นที่ 5
มันเงินประกันเขา ชีวิตเขา เขาจะให้ใครมันก็เป็นสิทธิของเขา เขาอาจมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น อย่างผม ผมแต่งงานใหม่ๆก็ไม่ไว้ใจเมียหรอกครับ บอกกันตรงๆ ผมไว้ใจแม่ และพี่ชาย พี่สาวมากกว่าอีก ทำประกันก็คนในบ้านรับผลประโยชน์ครับ เมียไม่เกี่ยว

ซึ่งผมบอกเลย เมียผมทำประกันเขาก็ใช้ชื่อแม่เขาเช่นกัน ผมก็ไม่ได้ไปเอี่ยวอะไร ซึ่งเมียทำก่อนผมซะอีก ผมก็ไม่แคร์อะไร ตังเขา สิทธิเขา ผมไม่ได้อยากได้ตังเขา

เมื่อเวลาผ่านไป ความไว้ใจกันมันถึงเกิด อีกเป็น10ปี กว่าผมจะมีทำประกันใหม่ใช้ชื่อเมียเป็นผู้รับผลประโยชน์คนละครึ่งกับแม่ ซึ่งผมบอกเลยนะ แม่ผมก็ไม่เอาหรอก แม่ตาย มรดกมันก็มาอยู่ที่ผม/ลูกผมอยู่ดี แต่ที่ต้องใส่ 2 ชื่อ เพราะถ้าคนในชื่อผู้เอาประกันไม่อยู่แล้ว มันต้องมาแก้ไข การใส่ชื่อหลายคนที่เราไว้ใจเผื่อไว้ มันดีกว่า (เน้นว่าไว้ใจนะ)

ดังนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เขาแค่ต้องแบ่งความเสี่ยง
ความคิดเห็นที่ 23
70/30 ถือว่าโอเค ดูคำตอบของคุณ คุณยังแบ่งครึ่งๆระหว่างคุณกับแม่เลย

ประเทศนี้ไม่ได้เป็นประเทศที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่เป็นประเทศที่คนหาเงินเป็นใหญ่ เพราะประเทศเราเศรษฐกิจไม่ได้ร่ำรวย คนรวยน้อยคนจนเยอะ ถ้าอยากได้ความแฟร์ คุณคงต้องทำงาน
ความคิดเห็นที่ 1
อย่าคิดมากให้ตัวเองเป็นทุกข์เลยค่ะ
น้องของเขาที่มาก่อนคุณเขาอาจจะรักน้องเป็นห่วงน้องมากจึงคิดจะแบ่งเงินประกันให้น้องถ้าเขาตายลงไป
น้องชายของเขาก็คือคนในครอบครัวของเขาค่ะ
ฉะนั้นเมื่อลูกพอช่วยเหลือตัวเองได้คุณควรหางานทำจะได้มีเงินเป็นของตัวเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่