รางวัลการจัดบริการและบริหารการศึกษาเป็นเลิศ ของ การอภิวัฒน์การศึกษา 2538-2540

กระทู้สนทนา
รางวัลการจัดบริการและบริหารการศึกษาเป็นเลิศ

บทคัดย่อ

บทความนี้ศึกษากระบวนการรับรางวัลจากองค์การ UNESCO ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับนโยบายการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 โดยนักปฏิรูปการศึกษา ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในหลายรัฐบาล

ทว่า กลับมีการส่งตัวแทนซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุรนารี ชื่อ วิจิตร ศรีสะอ้าน ไปรับรางวัลในนามประเทศไทย ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนในกระบวนการอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538–2540

บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดเรื่อง “การแย่งชิงเชิงสัญลักษณ์” และ “การจัดสรรเครดิต” ในระบบราชการไทย วิเคราะห์จากหลักฐานเอกสาร UNESCO อย่างเป็นทางการ (pf0000114483) เพื่อตั้งคำถามต่อกลไกการยอมรับจากเวทีนานาชาติ และเพื่อรื้อฟื้นบทบาทของผู้ขับเคลื่อนตัวจริงในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยให้ปรากฏชัดอีกครั้ง

บทนำ

การปฏิรูปการศึกษาไทยในช่วงกลางทศวรรษ 2530 ถึงปลายทศวรรษ 2540 ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์การบริหารการศึกษาไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส และกระแสโลกาภิวัตน์ที่ถาโถมเข้ามาในระบบราชการ โดยเฉพาะในกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในห้วงเวลาดังกล่าว คือ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ผลักดันนโยบายและแนวคิดใหม่ ๆ ภายใต้สิ่งที่บทความนี้เรียกว่า “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) อันสะท้อนถึงพลวัตเชิงนโยบายที่หลอมรวมวิสัยทัศน์ ความรู้เทคโนแครต และการบริหารจัดการในระดับมหภาคเข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะได้รับรางวัลจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี พ.ศ. 2540 ในด้านการจัดบริการและบริหารการศึกษาอย่างเป็นเลิศ แต่ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการเข้ารับรางวัลกลับไม่ใช่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการอภิวัฒน์การศึกษา หากแต่เป็นผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา คือ ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีในขณะนั้น ซึ่งบทความนี้เห็นว่าก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อ กลไกการจัดสรรเครดิตเชิงสัญลักษณ์ (symbolic credit allocation) และ ความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ (historical legitimacy) ภายใต้ระบบการเมืองไทย

บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบและวิพากษ์กระบวนการได้รับรางวัลจาก UNESCO ดังกล่าว ผ่านการวิเคราะห์หลักฐานเอกสารทางการ (รหัสเอกสาร pf0000114483) โดยตั้งคำถามว่า การยอมรับจากเวทีนานาชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นผู้ถูกยกย่องในนามของ “ประเทศ” และ การบิดเบือนประวัติศาสตร์การศึกษาไทย

การศึกษานี้จะใช้กรอบแนวคิดว่าด้วย “การแย่งชิงเชิงสัญลักษณ์” (symbolic appropriation) และ “การจัดสรรเครดิต” (credit distribution) ในบริบทระบบการเมืองแบบรวมศูนย์ เพื่อชี้ให้เห็นกลไกที่ทำให้ผู้มีบทบาทสำคัญทางนโยบายถูกแย่งชิง และบุคคลอื่นได้รับพื้นที่แทนที่ในระดับสากล อันเป็นการสะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจและการเมืองของการยอมรับในสังคมไทย

ในท้ายที่สุด บทความนี้มุ่งหวังจะเปิดพื้นที่ใหม่ในการศึกษาประวัติศาสตร์การศึกษาไทย โดยเน้นการคืนความชอบธรรมให้แก่เจ้าของผลงานจริง และตั้งคำถามต่อกระบวนการสร้างความหมายของ “ความเป็นเลิศ” ในระบบราชการที่ผูกพันกับภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ

วรรณกรรมปริทรรศน์

การศึกษาว่าด้วยการปฏิรูปการศึกษาไทยในช่วงทศวรรษ 2530–2540 มักเน้นไปที่โครงสร้างกฎหมาย พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ เช่น สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) หรือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มากกว่าการวิเคราะห์บทบาทเชิงนโยบายของบุคคลสำคัญในการผลักดันแนวคิดและยุทธศาสตร์ระดับชาติก่อนการตรากฎหมายฉบับดังกล่าว งานศึกษาของ อารี วิบูลย์พันธุ์ (2542) และ สมพงษ์ จิตระดับ (2543) ได้สะท้อนถึงกระบวนการมีส่วนร่วมภาคประชาชนและการเกิดขึ้นของ “แนวร่วมปฏิรูป” แต่กลับกล่าวถึงบทบาทของนักการเมืองเชิงนโยบาย เช่น ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล อย่างจำกัด

ในขณะที่งานของ Hall (1993) และ Kingdon (2003) เสนอกรอบแนวคิดว่าด้วย policy entrepreneurship และ policy windows ซึ่งสามารถนำมาใช้วิเคราะห์บทบาทของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพลในฐานะ “ผู้ประกอบการเชิงนโยบาย” (policy entrepreneur) ผู้ผลักดันโอกาสของการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่เหมาะสม (kairos) แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ประยุกต์ใช้กรอบนี้กับกรณีไทยโดยตรง

ด้านแนวคิดเกี่ยวกับ “การแย่งชิงเชิงสัญลักษณ์” (symbolic appropriation) และ “การจัดสรรเครดิต” (credit allocation) มีรากฐานมาจากทฤษฎีสังคมวิทยาการเมือง เช่น งานของ Bourdieu (1991) ที่เสนอว่าพื้นที่ทางอำนาจมักผลิตและควบคุม “ทุนเชิงสัญลักษณ์” (symbolic capital) ซึ่งส่งผลต่อการได้รับการยอมรับ ความชอบธรรม และความสามารถในการกำหนดความหมายของความสำเร็จ ในระบบการเมืองแบบรวมศูนย์ของไทย กลไกเหล่านี้มักปรากฏผ่านการแต่งตั้ง การเป็นตัวแทนในเวทีนานาชาติ และการเล่าเรื่องความสำเร็จในนามของ “ประเทศ”

งานศึกษาของ Connerton (1989) และ Trouillot (1995) ยังเน้นให้เห็นถึงการ บิดเบือนทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการจัดระเบียบความทรงจำแบบสถาบัน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีศึกษานี้ กล่าวคือ เมื่อบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์นโยบายถูกแทนที่ในระดับสัญลักษณ์ ย่อมส่งผลต่อการรับรู้ของสาธารณะและประวัติศาสตร์การศึกษาในระยะยาว

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง “การยอมรับจากเวทีนานาชาติ” (international legitimacy) โดยเฉพาะในกรอบของ UNESCO ยังสัมพันธ์กับมิติการทูตเชิงวัฒนธรรม (cultural diplomacy) และภาพลักษณ์ของรัฐ (state branding) ซึ่งมักถูกวิเคราะห์ในงานของ Nye (2004) เรื่อง soft power และ Anholt (2007) ว่าด้วย competitive identity อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานวิชาการที่ย้อนกลับไปตั้งคำถามว่า ใครได้เป็นตัวแทนของ “ประเทศ” ในกระบวนการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และด้วยเหตุผลเชิงโครงสร้างใด

จากการทบทวนวรรณกรรมจะเห็นได้ว่า ยังมีช่องว่างสำคัญในประเด็นว่าด้วย “การแย่งชิงเครดิตเชิงนโยบาย” ในระบบการเมืองไทย โดยเฉพาะในระดับความสัมพันธ์กับองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งบทความนี้เสนอให้พิจารณาผ่านกรณีศึกษาการรับรางวัล UNESCO ปี พ.ศ. 2540 ในฐานะจุดตัดของ นโยบาย, บุคคล, สัญลักษณ์, และ การเมืองของการจดจำ

ระเบียบวิธีวิจัย

บทความนี้ใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเน้นการวิเคราะห์เชิงเอกสาร (Documentary Analysis) และการตีความเชิงประวัติศาสตร์–นโยบาย (Historical–Policy Interpretation) เพื่อศึกษากระบวนการจัดสรรเครดิตทางสัญลักษณ์และการยอมรับจากเวทีนานาชาติผ่านกรณีการมอบรางวัล UNESCO ให้แก่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540

แหล่งข้อมูลหลักของการศึกษา ได้แก่ เอกสารทางการจากองค์การ UNESCO ซึ่งสามารถสืบค้นได้จากคลังเอกสารออนไลน์ของ UNESCO (UNESCO Digital Library) โดยเฉพาะเอกสารรหัส pf0000114483 ซึ่งระบุถึงเหตุผลในการมอบรางวัลให้แก่ประเทศไทย รวมถึงรายชื่อหน่วยงานและบุคคลที่ได้รับการอ้างอิงในฐานะตัวแทนของประเทศ ข้อมูลดังกล่าวถูกนำมาวิเคราะห์ร่วมกับเอกสารอื่น ๆ เช่น บันทึกทางราชการ รายงานนโยบาย บทสัมภาษณ์ในสื่อ และงานเขียนทางวิชาการที่เกี่ยวข้องในช่วง พ.ศ. 2535–2545 เพื่อทำความเข้าใจบริบททางการเมือง การศึกษา และระบบการเมืองในขณะนั้น
ในการวิเคราะห์ข้อมูล บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดเรื่อง

การแย่งชิงเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Appropriation)

การจัดสรรเครดิต (Credit Allocation)

และ ทุนเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Capital) จากแนวคิดของ Pierre Bourdieu

ประกอบกับกรอบวิเคราะห์เรื่อง ความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ (Historical Legitimacy) และ การบิดเบือนประวัติศาสตร์  เพื่ออธิบายว่าบุคคลใดได้รับการมองเห็นหรือถูกทำให้ล่องหนในกระบวนการยอมรับจากเวทีนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงวิพากษ์ (Critical Content Analysis) เพื่อถอดรหัสความหมายแฝง (Implicit Meaning) และอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังการเลือกตัวแทนประเทศไทยในกระบวนการรับรางวัลดังกล่าว อันเป็นกระบวนการที่สะท้อนโครงสร้างอำนาจและลำดับชั้นในระบบการเมืองไทย

ด้วยระเบียบวิธีเช่นนี้ บทความนี้จึงไม่มุ่งหาความจริงแบบสมบรูณ์ แต่ตั้งใจเปิดพื้นที่ให้เกิดการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อกระบวนการรับรู้ความสำเร็จของ
ไทยในระดับนานาชาติ และการจัดเรียงประวัติศาสตร์การศึกษาที่มีผลต่อความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน

การวิเคราะห์

กรณีที่องค์การ UNESCO มอบรางวัล “การจัดบริการและบริหารการศึกษาเป็นเลิศ” ให้แก่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารอย่างเป็นทางการขององค์การ (UNESCO document code: pf0000114483) โดยระบุถึงความสำเร็จในการจัดระบบบริหารการศึกษาแบบบูรณาการและกระจายอำนาจ ซึ่งมีรากฐานจากการปฏิรูปการศึกษาช่วงปี พ.ศ. 2538–2540

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึง ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ผู้เป็นแกนนำสำคัญในการผลักดันการอภิวัฒน์การศึกษา หากแต่ยกย่องสถาบันการศึกษาและผู้บริหารระดับอุดมศึกษาบางแห่งแทน

การวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์จากเอกสารแสดงให้เห็นว่า ตัวแทนประเทศไทยที่เดินทางไปรับรางวัลในนามของชาติ คือ ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งไม่ปรากฏบทบาทในการร่างนโยบายหรือออกแบบโครงสร้างการบริหารการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของรางวัลดังกล่าว กลไกเช่นนี้สะท้อน “การแย่งชิงเชิงสัญลักษณ์” (symbolic appropriation) ที่เกิดระบบราชการการเมืองแบบรวมศูนย์ ซึ่งการได้รับการยอมรับจากเวทีนานาชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับบทบาทเชิงนโยบายจริง หากแต่อยู่ที่ตำแหน่ง ความใกล้ชิดกับโครงสร้างอำนาจ และการเป็นตัวแทนในทางสถาบัน

การที่ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล นักปฏิรูปการศึกษาและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในช่วงเวลาสำคัญของการอภิวัฒน์การศึกษา 2538-2540 กลับไม่ปรากฏชื่อในกระบวนการรับรางวัล แสดงให้เห็นกระบวนการ “บิดเบือนทางประวัติศาสตร์”  ต้องการทำให้ผู้ขับเคลื่อนเชิงนโยบายถูกผลักออกจากพื้นที่ความทรงจำสาธารณะในระดับสากล ทั้งที่งานของท่านได้วางรากฐานเชิงโครงสร้างที่เป็นเงื่อนไขของความสำเร็จของระบบการศึกษาไทยในยุคอภิวัฒน์การศึกษา 2538-2540
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่