
1. เรียบ / อาวุธ After a Long Walk , He Stands still โดย กันตาภัทร พุทธสุวรรณ
เป็นตอนที่เล่าถึงความบัดซบระบบโครงสร้างที่มีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม สะท้อนภาพมืดของระบบราชการได้สะเทือนใจและช่างอดสูยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมปัจจุบันจึงเป็นอาชีพที่ไม่น่าเคารพในสายตาประชาชน การเข้ามาแทรกแซงทุกอย่างเกินหน้าที่ส่งผลทำให้ประเทศย่อยยับแค่ไหน หนังเล่าเรื่องมีความเป็นระหว่าง Documentary ถ่ายทอดเรื่องราวในรั้วทหารว่ากิจวัตรประจำวันทำอะไร ผสมกับความเป็น Fiction สำรวจชีวิตของตัวเอกซึ่งสมัครเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายทหารแห่งหนึ่งพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งครูฝึก , รุ่นพี่ รวมถึง เพื่อนพ้องในรั้วแห่งนี้ กับ Part ที่ตัวเอกนั่งพูดคุยกับแม่ที่มาเยี่ยมเยียนในช่วงท้าย กึ่ง ๆ เสียดสีโฆษณาชวนเชื่อโปรโมตละครคุณธรรมเกี่ยวกับชายชาติทหารที่ดินแดนคนดีย์ชอบทำกัน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงภาพที่คนทั่วไปไม่ค่อยเห็นก้นลึกเบื้องหลังชีวิตในรั้วเหล่านั้น ถ้าคนที่เคยเป็นมาจะเข้าใจได้มากกว่า รวมถึงยังมีคำถามมากมายในหัวผ่าน Dialogue ของบทสนทนาหรือกฎระเบียบมากมายที่ถูกปฏิบัติสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นด้วยระบบ Sotus , เลียแข้งเกาะโต๊ะ หรือ พวกพ้องเส้นสาย ให้คิดตามอยู่ตลอดว่าที่ตั้งกฎขึ้นมานี้ ทำทำไม ? ทำเพื่ออะไร ? ทำแล้วได้อะไร ? ไปตั้งแต่ต้นจนจบจนนำไปสู่บทสรุปที่เป็นคำถามปลายเปิดตลกร้ายต่อสังคมอีกครั้งว่า ตกลงแล้ว ทหารมีหน้าที่อะไรกันแน่ ?

2. คืนพิพากษ์ The Reproduction of a Catastrophic Reminiscence โดย กุลพัทธ์ เอมมาโนชญ์
เป็นตอนที่สั้นที่สุด มาไวเคลมไวแล้วผ่านไปไวราวกับ The Flash มีความเป็น Crime ผสม Fim-Noir การเมืองที่เล่นกับสถานที่เดียวท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองในเรื่องที่แทบไม่ต่างจากสถานที่ปิดตายออกมาได้น่าสนใจ เปิดเรื่องมามีชายคนนึงกำลังเคาะประตูหน้าบ้านอย่างเร่งรีบแล้วจากนั้นมีชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในบ้านเปิดประตูต้อนรับชายคนนั้นเข้ามาก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงทั้งคู่ก็จัดฉากบรรเลงเพลง Rap ประชันฝีปากราวกับหนัง Action ให้เรานั่งลุ้นอยู่กับที่ไม่ให้พักหายใจกันบ้าง ด้วย Dialogue ที่เต็มไปด้วยการวิพากษ์สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นอย่างที่เรารับทราบอย่างดุเดือดแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ด้วยจุดยืนของแต่ละคนว่าใครอยู่ฝั่งไหน รวมถึงปมในอดีตที่ถูกคุ้ยขึ้นมาผ่านปากเปล่า ด้วยเวลาที่มีอันน้อยนิดแต่ผู้กำกับให้พื้นที่แก่ตัวละครหลัก ๆ มีกันแค่ 2 คน ปล่อยของได้อิสระต่างคนต่างรีบพูดกลัวว่าจะลืมบทจนรู้สึกอินเนอร์ของทั้งคู่ที่ส่งให้คนดูมันสามารถแบกหนังได้ตลอดเรื่องมาก แม้บางช่วงคำพูดของตัวละครคนนึงจะดูประดิษฐ์จนดูไม่เป็นธรรมชาติแต่ให้อภัยได้ รู้กัน ที่ขัดใจนิดเดียวคือตรงที่ช่วงท้าย ๆ เล่นท่ามากไปนิดด้วยการใส่ภาพ Neon ผสมลงไป โอเคว่ามันดู Fantasy ที่ดูเป็นส่วนเกินเกือบจะหลุดโทนเดิมที่วางไว้แถมดันยื้อเวลาเพิ่มไปอีก แอบคิดในใจว่าจะใส่มาเพื่ออะไร ? ถ้าจบตอนนั้นไปเลยจะดีกว่า

3. สันดานกรุง Bangkok Tradition โดย ฐามุยา ทัศนานุกุลกิจ
เป็นตอนที่ยาวที่สุด ชอบที่สุด มีความต่างจากตอนอื่นตรงที่มีความเป็นหนัง Fiction ให้อรรถรสความบันเทิงเต็มตัว โดยหนังนำเสนอในเหตุการณ์ช่วงยุค 80-90 ที่ set เมืองหลวงฟ้าอมรอย่างกรุงเทพให้มีบรรยากาศความเป็น Film-noir ยุคมืดในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ภาพหม่น ๆ ไฟสลัว ๆ Sounds ที่บิ๊วท์อารมณ์ได้เข้ากับโทนเรื่อง อุปกรณ์เครื่องใช้จะมีเครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์ตั้งโต๊ะ หรือ วิทยุ เป็นต้น ในอีกมุมนึงหนังถ่ายทอดถึงความสกปรกของชนชั้น Elite ความโสมมของคนมีสีที่เป็นตัวแทนของอำนาจมืดที่ลอยอยู่เหนือความศิวิไลซ์จากตึกสูง ๆ แฟลตเก่า ๆ ผับบาร์ข้างทางไว้ล่อลวงคนที่แสวงหาโอกาสเข้ามาติดกับผ่านรูปแบบการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ได้อย่างแยบยลโดยไม่แคร์กฎหมาย ภาพรวมการดำเนินเรื่องสนุกมาก น่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีช่วงน่าเบื่อแม้แต่น้อย มีการปูบท วางปม ซ่อนหมากไว้ตามข้างทางโดยมีตัวเอกสาวซึ่งเป็นพนักงานในหนังสือกำลังสืบคดีเกี่ยวกับคนหายอยู่ชวนให้เราคิดและสงสัยตามตัวเอกว่าใครเป็นคนร้าย รวมถึงเสียดสีชนชั้นเจ้านายกับลูกน้องแล้วยังวิพากษ์สภาพเศรษฐกิจในรัฐบาลยุคนั้นด้วย ซึ่งส่วนนี้หนังทำได้ดีมาก หลังจากนั้นหนังเสมือนเราเป็นตัวเอกสาวลงพื้นที่หาข่าวคราวจากคนโน้นสืบสาวราวเรื่องจนถึงตัวนักร้องคาราโอเกะซึ่งเป็น Keywords สำคัญของปมแล้วแกะรอยไปทีละนิดไม่เร่งรีบจนถึงบทสรุปทำเอาผมสตั๊นท์ไปชั่วครู่ เดาไม่ถูก คาดไม่ถึงว่าจะหักมุมซ่อนในมุมอีกอะไรขนาดนั้น ซึ่งตรงนี้ผู้กำกับเก่งมากในการนำเสนอเรื่องราวลับลมคมในได้ฉลาดหลักแหลมเหมือนนั่งหนังดูหนังสืบสวน สอบสวน ระทึกขวัญของต่างประเทศยังไงยังนั้น

4. แดนฝันสลาย Fatherland โดย ปัญญา ชู
ตอนแรกกะว่าจะมองข้ามไปแล้ว เพราะตอนที่แล้วทำไว้ดีมาก บวกกับเปิดเรื่องมายังเป็นแค่เกริ่นนำเท้าความว่าใครเป็นใครเลยยังไม่ทำงานกับความรู้สึกของผมจนกระทั่งดูไปสักพักเริ่มสังเกตเห็น Details อะไรบางอย่างขึ้นมาผ่านมุมมองของคนละ Gen ระหว่างแม่ผู้รอความหวังให้สามีกลับมากับลูกชายผู้มีฝันอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ที่ดันไปถูกใจผมให้รู้สึกติดตามต่อหมือนนั่งมองดูตัวเองยังไงยังงั้น มันจิกกัดวิพากษ์ลงไปถึงระบบโครงสร้างทางสังคมที่มีส่วนสำคัญที่ทำลาย Lifestyle ของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันโดยเฉพาะชนชั้นกลางลงไปขั้นล่างอย่างเลือดเย็นโดยเฉพาะในตอนที่ลูกชายยืนแจกใบปลิวแล้วพูดกับคนที่ผ่านมาว่า บ้านแสนสุขอยู่สบาย ชีวิตครบครัน เห็นแล้วเป็นอะไรที่สะเทือนใจสุด ๆ เมื่อมองกับโลกของความเป็นจริงที่ตีกรอบระเบียบ กฎเกณฑ์ ตั้งแง่อะไรมากมายจนไม่ได้ตั้งคำถามหรือมองกลับมาที่เหตุผลแถมไปก้าวล่วงจนคนเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แม้กระทั่งฝันก็ไม่มีสิทธิ์ แล้วใช้มาเป็นเครื่องมือในการกำหนดโน้นนั่นนี่รั้งไว้ก็เพื่อควบคุมให้คนที่มีฝันให้อยู่ในกฎในกรอบที่ถูกวางไว้ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางอีก คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือถ้าตั้งคำถามไม่ได้หรือเลือกเดินออกจากกรอบเดิมเพื่อต้องการทำในสิ่งที่อยากทำมันผิดด้วยหรือ ? ซึ่งจากที่ดูทุกตอนที่ผ่านมาสำหรับผมตอนนี้ Real ที่สุดเข้าใจทุกอิริยาบถทุก Shot จนเอาตีนก่ายหน้าผาก แม้การเดินเรื่องภาพรวมค่อนข้างช้าเกือบจะไปแบนราบเป็นหน้าเดียว แต่เนื้อในกลับสื่อมุมมองที่แตกต่างของคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นใหม่ได้น่าสนใจมีมิติที่จับต้องได้กับความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างเห็นได้ชัด มีลูกผสม Horror + Mystery ลงไปเล่นหน่อย ๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสของเรื่องให้ไม่จืดจางขึ้นมาหน่อย มี scene นึงทำเอาสะดุ้งตกใจได้อยู่แต่ก็ลืมเลือนไป ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ Part นี้เท่าไหร่ ถามว่าดูเหนือจริงมั้ย ? ไม่ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนมายาวนานจนชินแต่ชอบการตั้งคำถามกับประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมมากกว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] 64.) Voice of The New Gens : เสียงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของ 4 พลัง New Gens
1. เรียบ / อาวุธ After a Long Walk , He Stands still โดย กันตาภัทร พุทธสุวรรณ
เป็นตอนที่เล่าถึงความบัดซบระบบโครงสร้างที่มีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม สะท้อนภาพมืดของระบบราชการได้สะเทือนใจและช่างอดสูยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมปัจจุบันจึงเป็นอาชีพที่ไม่น่าเคารพในสายตาประชาชน การเข้ามาแทรกแซงทุกอย่างเกินหน้าที่ส่งผลทำให้ประเทศย่อยยับแค่ไหน หนังเล่าเรื่องมีความเป็นระหว่าง Documentary ถ่ายทอดเรื่องราวในรั้วทหารว่ากิจวัตรประจำวันทำอะไร ผสมกับความเป็น Fiction สำรวจชีวิตของตัวเอกซึ่งสมัครเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายทหารแห่งหนึ่งพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งครูฝึก , รุ่นพี่ รวมถึง เพื่อนพ้องในรั้วแห่งนี้ กับ Part ที่ตัวเอกนั่งพูดคุยกับแม่ที่มาเยี่ยมเยียนในช่วงท้าย กึ่ง ๆ เสียดสีโฆษณาชวนเชื่อโปรโมตละครคุณธรรมเกี่ยวกับชายชาติทหารที่ดินแดนคนดีย์ชอบทำกัน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงภาพที่คนทั่วไปไม่ค่อยเห็นก้นลึกเบื้องหลังชีวิตในรั้วเหล่านั้น ถ้าคนที่เคยเป็นมาจะเข้าใจได้มากกว่า รวมถึงยังมีคำถามมากมายในหัวผ่าน Dialogue ของบทสนทนาหรือกฎระเบียบมากมายที่ถูกปฏิบัติสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นด้วยระบบ Sotus , เลียแข้งเกาะโต๊ะ หรือ พวกพ้องเส้นสาย ให้คิดตามอยู่ตลอดว่าที่ตั้งกฎขึ้นมานี้ ทำทำไม ? ทำเพื่ออะไร ? ทำแล้วได้อะไร ? ไปตั้งแต่ต้นจนจบจนนำไปสู่บทสรุปที่เป็นคำถามปลายเปิดตลกร้ายต่อสังคมอีกครั้งว่า ตกลงแล้ว ทหารมีหน้าที่อะไรกันแน่ ?
2. คืนพิพากษ์ The Reproduction of a Catastrophic Reminiscence โดย กุลพัทธ์ เอมมาโนชญ์
เป็นตอนที่สั้นที่สุด มาไวเคลมไวแล้วผ่านไปไวราวกับ The Flash มีความเป็น Crime ผสม Fim-Noir การเมืองที่เล่นกับสถานที่เดียวท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองในเรื่องที่แทบไม่ต่างจากสถานที่ปิดตายออกมาได้น่าสนใจ เปิดเรื่องมามีชายคนนึงกำลังเคาะประตูหน้าบ้านอย่างเร่งรีบแล้วจากนั้นมีชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในบ้านเปิดประตูต้อนรับชายคนนั้นเข้ามาก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงทั้งคู่ก็จัดฉากบรรเลงเพลง Rap ประชันฝีปากราวกับหนัง Action ให้เรานั่งลุ้นอยู่กับที่ไม่ให้พักหายใจกันบ้าง ด้วย Dialogue ที่เต็มไปด้วยการวิพากษ์สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นอย่างที่เรารับทราบอย่างดุเดือดแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ด้วยจุดยืนของแต่ละคนว่าใครอยู่ฝั่งไหน รวมถึงปมในอดีตที่ถูกคุ้ยขึ้นมาผ่านปากเปล่า ด้วยเวลาที่มีอันน้อยนิดแต่ผู้กำกับให้พื้นที่แก่ตัวละครหลัก ๆ มีกันแค่ 2 คน ปล่อยของได้อิสระต่างคนต่างรีบพูดกลัวว่าจะลืมบทจนรู้สึกอินเนอร์ของทั้งคู่ที่ส่งให้คนดูมันสามารถแบกหนังได้ตลอดเรื่องมาก แม้บางช่วงคำพูดของตัวละครคนนึงจะดูประดิษฐ์จนดูไม่เป็นธรรมชาติแต่ให้อภัยได้ รู้กัน ที่ขัดใจนิดเดียวคือตรงที่ช่วงท้าย ๆ เล่นท่ามากไปนิดด้วยการใส่ภาพ Neon ผสมลงไป โอเคว่ามันดู Fantasy ที่ดูเป็นส่วนเกินเกือบจะหลุดโทนเดิมที่วางไว้แถมดันยื้อเวลาเพิ่มไปอีก แอบคิดในใจว่าจะใส่มาเพื่ออะไร ? ถ้าจบตอนนั้นไปเลยจะดีกว่า
3. สันดานกรุง Bangkok Tradition โดย ฐามุยา ทัศนานุกุลกิจ
เป็นตอนที่ยาวที่สุด ชอบที่สุด มีความต่างจากตอนอื่นตรงที่มีความเป็นหนัง Fiction ให้อรรถรสความบันเทิงเต็มตัว โดยหนังนำเสนอในเหตุการณ์ช่วงยุค 80-90 ที่ set เมืองหลวงฟ้าอมรอย่างกรุงเทพให้มีบรรยากาศความเป็น Film-noir ยุคมืดในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ภาพหม่น ๆ ไฟสลัว ๆ Sounds ที่บิ๊วท์อารมณ์ได้เข้ากับโทนเรื่อง อุปกรณ์เครื่องใช้จะมีเครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์ตั้งโต๊ะ หรือ วิทยุ เป็นต้น ในอีกมุมนึงหนังถ่ายทอดถึงความสกปรกของชนชั้น Elite ความโสมมของคนมีสีที่เป็นตัวแทนของอำนาจมืดที่ลอยอยู่เหนือความศิวิไลซ์จากตึกสูง ๆ แฟลตเก่า ๆ ผับบาร์ข้างทางไว้ล่อลวงคนที่แสวงหาโอกาสเข้ามาติดกับผ่านรูปแบบการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ได้อย่างแยบยลโดยไม่แคร์กฎหมาย ภาพรวมการดำเนินเรื่องสนุกมาก น่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีช่วงน่าเบื่อแม้แต่น้อย มีการปูบท วางปม ซ่อนหมากไว้ตามข้างทางโดยมีตัวเอกสาวซึ่งเป็นพนักงานในหนังสือกำลังสืบคดีเกี่ยวกับคนหายอยู่ชวนให้เราคิดและสงสัยตามตัวเอกว่าใครเป็นคนร้าย รวมถึงเสียดสีชนชั้นเจ้านายกับลูกน้องแล้วยังวิพากษ์สภาพเศรษฐกิจในรัฐบาลยุคนั้นด้วย ซึ่งส่วนนี้หนังทำได้ดีมาก หลังจากนั้นหนังเสมือนเราเป็นตัวเอกสาวลงพื้นที่หาข่าวคราวจากคนโน้นสืบสาวราวเรื่องจนถึงตัวนักร้องคาราโอเกะซึ่งเป็น Keywords สำคัญของปมแล้วแกะรอยไปทีละนิดไม่เร่งรีบจนถึงบทสรุปทำเอาผมสตั๊นท์ไปชั่วครู่ เดาไม่ถูก คาดไม่ถึงว่าจะหักมุมซ่อนในมุมอีกอะไรขนาดนั้น ซึ่งตรงนี้ผู้กำกับเก่งมากในการนำเสนอเรื่องราวลับลมคมในได้ฉลาดหลักแหลมเหมือนนั่งหนังดูหนังสืบสวน สอบสวน ระทึกขวัญของต่างประเทศยังไงยังนั้น
4. แดนฝันสลาย Fatherland โดย ปัญญา ชู
ตอนแรกกะว่าจะมองข้ามไปแล้ว เพราะตอนที่แล้วทำไว้ดีมาก บวกกับเปิดเรื่องมายังเป็นแค่เกริ่นนำเท้าความว่าใครเป็นใครเลยยังไม่ทำงานกับความรู้สึกของผมจนกระทั่งดูไปสักพักเริ่มสังเกตเห็น Details อะไรบางอย่างขึ้นมาผ่านมุมมองของคนละ Gen ระหว่างแม่ผู้รอความหวังให้สามีกลับมากับลูกชายผู้มีฝันอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ที่ดันไปถูกใจผมให้รู้สึกติดตามต่อหมือนนั่งมองดูตัวเองยังไงยังงั้น มันจิกกัดวิพากษ์ลงไปถึงระบบโครงสร้างทางสังคมที่มีส่วนสำคัญที่ทำลาย Lifestyle ของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันโดยเฉพาะชนชั้นกลางลงไปขั้นล่างอย่างเลือดเย็นโดยเฉพาะในตอนที่ลูกชายยืนแจกใบปลิวแล้วพูดกับคนที่ผ่านมาว่า บ้านแสนสุขอยู่สบาย ชีวิตครบครัน เห็นแล้วเป็นอะไรที่สะเทือนใจสุด ๆ เมื่อมองกับโลกของความเป็นจริงที่ตีกรอบระเบียบ กฎเกณฑ์ ตั้งแง่อะไรมากมายจนไม่ได้ตั้งคำถามหรือมองกลับมาที่เหตุผลแถมไปก้าวล่วงจนคนเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แม้กระทั่งฝันก็ไม่มีสิทธิ์ แล้วใช้มาเป็นเครื่องมือในการกำหนดโน้นนั่นนี่รั้งไว้ก็เพื่อควบคุมให้คนที่มีฝันให้อยู่ในกฎในกรอบที่ถูกวางไว้ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางอีก คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือถ้าตั้งคำถามไม่ได้หรือเลือกเดินออกจากกรอบเดิมเพื่อต้องการทำในสิ่งที่อยากทำมันผิดด้วยหรือ ? ซึ่งจากที่ดูทุกตอนที่ผ่านมาสำหรับผมตอนนี้ Real ที่สุดเข้าใจทุกอิริยาบถทุก Shot จนเอาตีนก่ายหน้าผาก แม้การเดินเรื่องภาพรวมค่อนข้างช้าเกือบจะไปแบนราบเป็นหน้าเดียว แต่เนื้อในกลับสื่อมุมมองที่แตกต่างของคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นใหม่ได้น่าสนใจมีมิติที่จับต้องได้กับความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างเห็นได้ชัด มีลูกผสม Horror + Mystery ลงไปเล่นหน่อย ๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสของเรื่องให้ไม่จืดจางขึ้นมาหน่อย มี scene นึงทำเอาสะดุ้งตกใจได้อยู่แต่ก็ลืมเลือนไป ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ Part นี้เท่าไหร่ ถามว่าดูเหนือจริงมั้ย ? ไม่ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนมายาวนานจนชินแต่ชอบการตั้งคำถามกับประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมมากกว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้