คือตอนนี้เรารู้สึกว่าคนที่มีฐานะว่าเป็นแม่ของเรา ก็เป็นแค่ผู้หญิงคนนี่ที่ให้กำเนิดเรามา และเลี้ยงดูเราช่วงที่เรายังไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เรามีกับผู้หญิงคนนี้ คือ รู้สึกแค่ว่าเป็นผู้หญิงคนนึง
คำถามหรือปัญหาที่เราอยากจะถามคนที่อ่าน คือ เราเป็นลูกที่อกตัญญูไหมจากการที่คุณได้อ่าน หรือมีแนวคิดแบบไหนที่อยากจะแชร์ให้เราได้อ่าน ก็พิมพ์มาได้เลยนะครับ ตรง ๆ เลยก็ได้เราไม่ว่าอะไร (เหตุการอยู่ต่อจากนี้นะครับ)
(จากนี้จะเป็นแค่เรื่องเรียนนะครับ)
เราขอเล่าตั้งแต่ช่วงที่เราเรียนอยู่ประถมนะครับ ช่วงนั้นเราก็เป็นเด็กที่ซนมาก ๆ และชอบโกหกเรื่องของเล่นที่เราซื้อมา ว่าเอาของเพื่อนมาเล่นบ้าง บลาๆ แต่จริง ๆ เราเป็นคนซื้อเองทั้งหมด และมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนรวมห้องบ้าง เพราะตัวผมเองมักจะเป็นคนที่โดนลังแก แต่ก็เอาคืนให้หนักกว่าที่โดน เช่น โดนต่อยท้องจนจุก น้ำหูน้ำตาไหล ผมเอาคืนโดยการเอามีดแกะสลักไปกีดแขนคนที่ต่อยผม จนเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
แต่พอขึ้น ม.ต้น ก็ย้าย รร. ได้เจอกับเพื่อนใหม่ ๆ รอบนี้เปลี่ยนจากเรื่องทะเลาะวิวาทมาเป็นเรื่องติดเกมแทน แต่ก็ไม่เสียการเรียนนะครับ เกรดเฉลี่ยประมาณ 2.60 (ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง แต่เก่งกิจกรรม) นับตั้งแต่ผมขึ้น ม.ต้น มาก็ส่งตัวเองเรียนมาตลอด เพราะพ่อแม่หย่ากัน ยังดีที่ช่วง ม.ต้นยังเป็นช่วงที่รัฐบาลยังให้เรีนนฟรีอยู่เพราะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน การใช้จ่ายส่วนใหญ่เลยจะเป็นแค่พวกชุดนักเรียน รองเท้า ค่ากิจกรรมต่าง ๆ (งานที่ทำช่วง ม.ต้น ก็จะเป็นพวกล้างจานตามร้านข้างทางอะไรประมาณนี้ครับ ทำหลังเลิกเรียนและ ส.อา. เงินที่ได้ก็ประมาณ 100-200/วัน ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่เข้า เลิกงาน 22.00 น.)
แต่พอผมขึ้น ม.ปลาย ค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น เพราะต้องจ่ายค่าเทอมด้วย ก็เลยต้องหางานที่ดีกว่าช่วง ม.ต้น ก็เลยไปทำงาน 7 บ้าง Swensan's บ้าง เปลี่ยนงานก็ 1-2 ปีต่องานโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ได้ รายได้ช่วงนั้นก็จะได้แบบคิดเป็นรายชั่วโมงละ 40 บาท ได้ต่อเดือนก็ 6000-7000/เดือน (บางเดือนก็โดนให้หยุดเยอะมาก เพราะเราเป็นพนักงาน Parttime) แต่รายจ่ายก็ค่อยค่าที่จะเยอะเมื่อเทียบกับรายได้ ค่าเทอม 2500 ส่วนค่าข้าวก็กินที่ รร. จานละ 20 บาท/มื้อ ค่าน้ำขวดละ 5 บาท คิดง่าย ๆ 1 เดือนเรียน 20 วัน ก็ 1500 บาท ค่าเดินทาง ไปกลับ รร. ต้องขึ้นรถ 3 ต่อ รวม ๆ ไปกลับ 60 บาท/วัน 1200 บาท/เดือน ยังไม่รวมค่ากิจกรรมที่จะมีบางเทอม ค่าชุด ค่ารองเท้า ค่าหนังสือ รวม ๆ แล้วค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 5200 บาท/เดือน จนผมที่อยากเรียน รด.ก็ไม่ได้เรียน เพราะต้องใช้เงินก้อนเพื่อซื้อชุด รด. 1800 บาท ที่ทาง รร.จัดมาให้ ณ ตอนนั้น ผมก็เลยเอาดีเรื่องกีฬา จนได้เป็นนักกีฬา รร. เล่นบาสเกตบอล โดยที่ค่าชุดก็ต้องจ่ายเอง รองเท้าบาสไม่มีเงินซื้อก็ใช้รองเท้านักเรียนแข่ง (เรื่องการบริหารเงิน เรายอมรับว่าตอนนั้นเราเก็บเงินไม่อยู่เลย บริหารเงินได้ห่วยแตกมาก)
จนเราเรียน ป.ตรี (ต้องดรอปเรียนไป 2 ปี เพราะต้องเก็บค่าเทอม + ค่าแรกเข้าเองประมาณ 15,000 และเก็บเงินไปซื้อรถมือ 2 มา) เราเลือกที่จะมาเรียน ส.อา. เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย โชคดีที่ที่เราเรียนเขาไม่ซีเรียสเรื่องการแต่งตัว เลยใส่ชุดธรรมดาไปเรียนได้ ส่วนเพื่อนรวมชั้นก็เป็นคนที่ต่างอายุกันค่อนข้างมาก บางคนเป็นรุ่นพ่อแม่เราก็มี เลยได้แลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ กันมาบ้าง แต่เราก็ไม่อยากที่จะเอาปัญหาที่เรามีไปถามเขามาก ๆ ส่วนเรื่องงานเราก็เปลี่ยนงานมาก็ค่อนข้างที่ตะเยอะ หลัก ๆ ก็เรื่องเงินที่ได้เยอะกว่าที่เดิม จนตอนนี้เราได้งานที่ 45 บาท/ชม. ค่าคอม 50 บาท/วัน รวม ๆ ก็ได้ 8000-9000 บาท/เดือน ทำงาน 5 วัน จ.-ศ. เป็นพนักงาน Parttime ค่าเทอมหลังจากช่วงแรกเข้าก็ 10000 บาท/เทอม เราเรียน 1 เทอมประมาณ 4 เดือน แปลว่าเราจะต้องเก็บเงินเดือนละ 2500 บาท/เดือน ค่าอาหารวันละ 150 บาท/วัน หรือ 4500 บาท/เดือน ค่าน้ำมันตกเดือนละ 1500 บาท/เดือน (ไปกลับจากบ้านไปมหาลัย 30 โลและไปกลับจากที่ทำงาน 40 โล 1500 คือยังไม่รวมที่ขับไปนอกเหนือจากนั้นนะครับ) ค่าเน็ตโทรศัพท์ 299 บาท/เดือน ค่า Netflix จากตอนแรก 412 บาท/เดือน หารกับพี่สาวตกคนละ 200 แต่ตอนนี้ไม่ได้เพราะกฏใหม่ เลยต้องเปลี่ยนมาจ่ายคนเดียว 349 บาท/เดือน (กะจะสมัครจ่ายที่ใช้ดูในโทรศัพท์อย่างเดียว แต่แม่จะดูด้วยเลยต้องสมัครแพ็กเกจนี้)
(เรื่องของครอบครัวครับ)
คือแม่กับผมอยู่ด้วยกัน 2 คน (แม่ผมมีลูก 3 คน เป็นลูกคนละพ่อกัน และผมเป็นคนที่ 3 และพี่ผมก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน) คำพูดที่แม่มักจะพูดกับผมเสมอ คือ "อยากได้อะไรเก็บเงินซื้อเองนะลูก" แต่พอผมซื้ออะไรที่อยากได้มากก็จะโดนบ่นตลอด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามตั้งแต่เด็กบอกผมว่าอย่ากินเหล้ากินเบียร์นะลูก แต่ตัวเองก็กินเอง พอเมาละก็ชอบมาสั่งให้ทำโน่นนี่ พอไม่ทำก็โมโหอีก บอกผมว่าเปิด TV แล้วจะเล่นโทรศัพท์ทำไม แต่ตัวเองก็ทำ ชอบเอาผมไปเทีบนกับคนโน่นคนนี้ในรุ่นเดียวกัน เช่น "เพื่อนที่เรียนด้วยกันมามันจบแล้วนะ เราไม่อายบ้างหรอ" "เพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนประถม เรียนจบไปเป็นครูแล้วนะ" "ลูกข้างบ้านเขาไปเป็นเชพแล้วนะ" แล้วจะต่อด้วยว่า "แล้วแกละ เมื่อไหรจะจบ ฉันจะเกษียณแล้วนะ" ยังมีคำพูดในเชิงของการเปลียบเทียบอีกเยอะมาก และคำดูถูกต่าง ๆ ที่ผมโดนมาจากคนที่มีฐานะเป็นแม่ เช่น ใช้ให้ผมไปเอาของในบ้าน และผมหาไม่เจอ แต่เขามาหาแปปเดียวก็เจอ เลยด่าผมสารพัด "แค่หาของยังทำไม่ได้ แม่ตายไปคงจะตายตามใช่ไหม" ไล่ผมออกจากบ้านทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พร้อมกับคำว่า "ไม่ใช่ลูกกู" "ไอ้ลูก

" "จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป" แต่พอผมออกไป และไปนอนบ้านเพื่อนก็ไปตามผมกลับบ้าน แต่ไม่ใช่มาตามกลับแบบดี ๆ มาด่าผมถึงบ้านเพื่อนโดยที่พ่อแม่เพื่อนก็รับรู้ทุกอย่าง ผมเจอแบบนี้มา 20 กว่ารอบ จนตอนนี้เท่าที่ผมสังเกตตัวเอง ผมกลายเป็นคนที่ดื้อเงียบ ไม่พูดไม่จา ผมสามารถนับบทสนทนาต่อวันยังได้ ไม่เกิน 4 ประโยค/วัน (เพราะพูดอะไรไป ก็จะโดนหาว่าเถียง) จนตอนนี้ผมเป็นโรคซึมเศร้า ขนาดมีใบรับรองแพทย์เขายังไม่เชื่อ หาว่าผมเพ้อเจ้อ แล้วตอนนี้ที่ผมต้องเจอเพิ่ม คือ ถ้าผมเงียบไม่ตอบเขา เขาจะด่าผมแบบลอย ๆ เช่น "จะเอาชนะกุให้ได้เลยใช้ไหม ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ" "ผมชอบดูคนอื่นเล่นเกม ก็หาว่าผมเล่นเกมอีก ทั้ง ๆ ที่มือผมก็ไม่ได้จับอะไร" พอผมพูดดี ๆ ด้วยที่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมดูคนอื่นเล่นเกม "ผมไม่ได้เล่นเกม ผมแค่ดู" ก็หาว่าผมเถียงอีก จนผมโมโห เลยพูดกับไปด้วยเสียงที่โมโหมาก "แม่ดูหนังดูละคร แม่เล่นละครไง ก็ไม่ได้เล่นนิ ผมก็เหมือนกัน ผมแค่ดู ไม่ได้เล่น" จนสุดท้ายก็ไล่ผมออกจากบ้านพร้อมกับคำว่า "มันไม่ใช่ลูกกุ อีกเด็ก

"
จากเรื่องทั้งหมดที่ผมเจอมา มันเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนที่ชินชากับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต ความสุขที่ผมเคยสำผัสครั้งสุดท้ายคือตอนไหนก็จำไม่ได้ ซึ่งความฝันของผมคือการตามหาว่าความสุขนั้นมันเป็นยังไง รู้สึกแบบไหน ผมลองอะไรหลาย ๆ อย่างมากทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ไม่ว่าจะกินเหล้า สูบบุหรี่ ดูดยา one night FWB BDSM LGBTQ+ การเป็นชู้ ไปทำบุญ ไปทำจิตอาสา ไปเที่ยวคนเดียว ฯลฯ ผมก็ยังหาความสุขที่ผมต้องการไม่เจอ
*ถ้าคุณอ่านเรื่องร่าวที่เราเจอมาทั้งหมด และแชร์คิดเห็นกับเรา เราขอบคุณมาก ๆ จากใจ
หมดความรู้สึกกับคนเป็นแม่ และบ้านก็ไม่ใช่ Seva zone
คำถามหรือปัญหาที่เราอยากจะถามคนที่อ่าน คือ เราเป็นลูกที่อกตัญญูไหมจากการที่คุณได้อ่าน หรือมีแนวคิดแบบไหนที่อยากจะแชร์ให้เราได้อ่าน ก็พิมพ์มาได้เลยนะครับ ตรง ๆ เลยก็ได้เราไม่ว่าอะไร (เหตุการอยู่ต่อจากนี้นะครับ)
(จากนี้จะเป็นแค่เรื่องเรียนนะครับ)
เราขอเล่าตั้งแต่ช่วงที่เราเรียนอยู่ประถมนะครับ ช่วงนั้นเราก็เป็นเด็กที่ซนมาก ๆ และชอบโกหกเรื่องของเล่นที่เราซื้อมา ว่าเอาของเพื่อนมาเล่นบ้าง บลาๆ แต่จริง ๆ เราเป็นคนซื้อเองทั้งหมด และมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนรวมห้องบ้าง เพราะตัวผมเองมักจะเป็นคนที่โดนลังแก แต่ก็เอาคืนให้หนักกว่าที่โดน เช่น โดนต่อยท้องจนจุก น้ำหูน้ำตาไหล ผมเอาคืนโดยการเอามีดแกะสลักไปกีดแขนคนที่ต่อยผม จนเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
แต่พอขึ้น ม.ต้น ก็ย้าย รร. ได้เจอกับเพื่อนใหม่ ๆ รอบนี้เปลี่ยนจากเรื่องทะเลาะวิวาทมาเป็นเรื่องติดเกมแทน แต่ก็ไม่เสียการเรียนนะครับ เกรดเฉลี่ยประมาณ 2.60 (ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง แต่เก่งกิจกรรม) นับตั้งแต่ผมขึ้น ม.ต้น มาก็ส่งตัวเองเรียนมาตลอด เพราะพ่อแม่หย่ากัน ยังดีที่ช่วง ม.ต้นยังเป็นช่วงที่รัฐบาลยังให้เรีนนฟรีอยู่เพราะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน การใช้จ่ายส่วนใหญ่เลยจะเป็นแค่พวกชุดนักเรียน รองเท้า ค่ากิจกรรมต่าง ๆ (งานที่ทำช่วง ม.ต้น ก็จะเป็นพวกล้างจานตามร้านข้างทางอะไรประมาณนี้ครับ ทำหลังเลิกเรียนและ ส.อา. เงินที่ได้ก็ประมาณ 100-200/วัน ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่เข้า เลิกงาน 22.00 น.)
แต่พอผมขึ้น ม.ปลาย ค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น เพราะต้องจ่ายค่าเทอมด้วย ก็เลยต้องหางานที่ดีกว่าช่วง ม.ต้น ก็เลยไปทำงาน 7 บ้าง Swensan's บ้าง เปลี่ยนงานก็ 1-2 ปีต่องานโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ได้ รายได้ช่วงนั้นก็จะได้แบบคิดเป็นรายชั่วโมงละ 40 บาท ได้ต่อเดือนก็ 6000-7000/เดือน (บางเดือนก็โดนให้หยุดเยอะมาก เพราะเราเป็นพนักงาน Parttime) แต่รายจ่ายก็ค่อยค่าที่จะเยอะเมื่อเทียบกับรายได้ ค่าเทอม 2500 ส่วนค่าข้าวก็กินที่ รร. จานละ 20 บาท/มื้อ ค่าน้ำขวดละ 5 บาท คิดง่าย ๆ 1 เดือนเรียน 20 วัน ก็ 1500 บาท ค่าเดินทาง ไปกลับ รร. ต้องขึ้นรถ 3 ต่อ รวม ๆ ไปกลับ 60 บาท/วัน 1200 บาท/เดือน ยังไม่รวมค่ากิจกรรมที่จะมีบางเทอม ค่าชุด ค่ารองเท้า ค่าหนังสือ รวม ๆ แล้วค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 5200 บาท/เดือน จนผมที่อยากเรียน รด.ก็ไม่ได้เรียน เพราะต้องใช้เงินก้อนเพื่อซื้อชุด รด. 1800 บาท ที่ทาง รร.จัดมาให้ ณ ตอนนั้น ผมก็เลยเอาดีเรื่องกีฬา จนได้เป็นนักกีฬา รร. เล่นบาสเกตบอล โดยที่ค่าชุดก็ต้องจ่ายเอง รองเท้าบาสไม่มีเงินซื้อก็ใช้รองเท้านักเรียนแข่ง (เรื่องการบริหารเงิน เรายอมรับว่าตอนนั้นเราเก็บเงินไม่อยู่เลย บริหารเงินได้ห่วยแตกมาก)
จนเราเรียน ป.ตรี (ต้องดรอปเรียนไป 2 ปี เพราะต้องเก็บค่าเทอม + ค่าแรกเข้าเองประมาณ 15,000 และเก็บเงินไปซื้อรถมือ 2 มา) เราเลือกที่จะมาเรียน ส.อา. เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย โชคดีที่ที่เราเรียนเขาไม่ซีเรียสเรื่องการแต่งตัว เลยใส่ชุดธรรมดาไปเรียนได้ ส่วนเพื่อนรวมชั้นก็เป็นคนที่ต่างอายุกันค่อนข้างมาก บางคนเป็นรุ่นพ่อแม่เราก็มี เลยได้แลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ กันมาบ้าง แต่เราก็ไม่อยากที่จะเอาปัญหาที่เรามีไปถามเขามาก ๆ ส่วนเรื่องงานเราก็เปลี่ยนงานมาก็ค่อนข้างที่ตะเยอะ หลัก ๆ ก็เรื่องเงินที่ได้เยอะกว่าที่เดิม จนตอนนี้เราได้งานที่ 45 บาท/ชม. ค่าคอม 50 บาท/วัน รวม ๆ ก็ได้ 8000-9000 บาท/เดือน ทำงาน 5 วัน จ.-ศ. เป็นพนักงาน Parttime ค่าเทอมหลังจากช่วงแรกเข้าก็ 10000 บาท/เทอม เราเรียน 1 เทอมประมาณ 4 เดือน แปลว่าเราจะต้องเก็บเงินเดือนละ 2500 บาท/เดือน ค่าอาหารวันละ 150 บาท/วัน หรือ 4500 บาท/เดือน ค่าน้ำมันตกเดือนละ 1500 บาท/เดือน (ไปกลับจากบ้านไปมหาลัย 30 โลและไปกลับจากที่ทำงาน 40 โล 1500 คือยังไม่รวมที่ขับไปนอกเหนือจากนั้นนะครับ) ค่าเน็ตโทรศัพท์ 299 บาท/เดือน ค่า Netflix จากตอนแรก 412 บาท/เดือน หารกับพี่สาวตกคนละ 200 แต่ตอนนี้ไม่ได้เพราะกฏใหม่ เลยต้องเปลี่ยนมาจ่ายคนเดียว 349 บาท/เดือน (กะจะสมัครจ่ายที่ใช้ดูในโทรศัพท์อย่างเดียว แต่แม่จะดูด้วยเลยต้องสมัครแพ็กเกจนี้)
(เรื่องของครอบครัวครับ)
คือแม่กับผมอยู่ด้วยกัน 2 คน (แม่ผมมีลูก 3 คน เป็นลูกคนละพ่อกัน และผมเป็นคนที่ 3 และพี่ผมก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน) คำพูดที่แม่มักจะพูดกับผมเสมอ คือ "อยากได้อะไรเก็บเงินซื้อเองนะลูก" แต่พอผมซื้ออะไรที่อยากได้มากก็จะโดนบ่นตลอด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามตั้งแต่เด็กบอกผมว่าอย่ากินเหล้ากินเบียร์นะลูก แต่ตัวเองก็กินเอง พอเมาละก็ชอบมาสั่งให้ทำโน่นนี่ พอไม่ทำก็โมโหอีก บอกผมว่าเปิด TV แล้วจะเล่นโทรศัพท์ทำไม แต่ตัวเองก็ทำ ชอบเอาผมไปเทีบนกับคนโน่นคนนี้ในรุ่นเดียวกัน เช่น "เพื่อนที่เรียนด้วยกันมามันจบแล้วนะ เราไม่อายบ้างหรอ" "เพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนประถม เรียนจบไปเป็นครูแล้วนะ" "ลูกข้างบ้านเขาไปเป็นเชพแล้วนะ" แล้วจะต่อด้วยว่า "แล้วแกละ เมื่อไหรจะจบ ฉันจะเกษียณแล้วนะ" ยังมีคำพูดในเชิงของการเปลียบเทียบอีกเยอะมาก และคำดูถูกต่าง ๆ ที่ผมโดนมาจากคนที่มีฐานะเป็นแม่ เช่น ใช้ให้ผมไปเอาของในบ้าน และผมหาไม่เจอ แต่เขามาหาแปปเดียวก็เจอ เลยด่าผมสารพัด "แค่หาของยังทำไม่ได้ แม่ตายไปคงจะตายตามใช่ไหม" ไล่ผมออกจากบ้านทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พร้อมกับคำว่า "ไม่ใช่ลูกกู" "ไอ้ลูก
จากเรื่องทั้งหมดที่ผมเจอมา มันเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนที่ชินชากับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต ความสุขที่ผมเคยสำผัสครั้งสุดท้ายคือตอนไหนก็จำไม่ได้ ซึ่งความฝันของผมคือการตามหาว่าความสุขนั้นมันเป็นยังไง รู้สึกแบบไหน ผมลองอะไรหลาย ๆ อย่างมากทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ไม่ว่าจะกินเหล้า สูบบุหรี่ ดูดยา one night FWB BDSM LGBTQ+ การเป็นชู้ ไปทำบุญ ไปทำจิตอาสา ไปเที่ยวคนเดียว ฯลฯ ผมก็ยังหาความสุขที่ผมต้องการไม่เจอ
*ถ้าคุณอ่านเรื่องร่าวที่เราเจอมาทั้งหมด และแชร์คิดเห็นกับเรา เราขอบคุณมาก ๆ จากใจ