พิธา ขึ้นเวที ฝากฝัง ชัยธวัช ขอให้รักเหมือนกัน ลั่นครั้งหน้า ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7882212
“พิธา” กำชับสมาชิก รักพิธาอย่างไร ขอให้รัก “ชัยธวัช” อย่างนั้น ลั่น หัวหน้าชุดใหม่ ไม่ใช่ผู้นำขัดตาทัพ แม้ใครออกไป แต่แกนกลางยังคงอยู่ เป็นอำนาจประชาชน บอกเราเหมือนสายธารที่ใกล้ดิน สื่อถึงใกล้ชิดประชาชน โว นำเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้มา 151 รอบหน้าไม่ต่ำกว่า 300 ย้ำ 3 กลยุทธ์ แข่ง-ขยับ-ขยาย จนกว่าจะถึงเส้นชัย “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2566 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกทม. (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ในกิจกรรม “
ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ช่วงสุดท้าย นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นบรรยายในหัวข้อ “
ยุทธศาสตร์ก้าวไกลก่อนถึงวันเข้าทำเนียบ”
นาย
พิธา กล่าวต่อว่า พี่น้องสมาชิกพรรคก้าวไกลที่เคารพรักทุกท่าน ถึงแม้ว่าเราจะลาจากกันแต่ขอบอกกับทุกท่านว่าจากกันไม่ตลอดไป เพราะจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม 3 ปีกับ 185 วัน เป็นการเดินทางของพวกเราที่ตนจะไม่มีวันลืม ตนเต็มใจกับสิ่งที่ได้ทำร่วมกันมาทุกๆวันที่เราทำร่วมกัน มันคือการจุดไฟกลางสายลม การจุดไฟกลางสายลมนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่เรากำลังร่วมกันสำเร็จแล้ว
นาย
พิธา ระบุว่า ไม่ว่าท่านจะหวังสมหวังหรือผิดหวัง แต่ในเมื่อไฟที่จุดติดกลางสายลมแล้ว อย่าให้มันดับโดยเด็ดขาด กลับมาเมื่อไหร่ จุดไฟเหมือนเดิมแน่นอน บอกกับพี่น้องแล้วว่าจากกันไม่ตลอดไป กลับมาอีกครั้ง ก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน แต่พี่น้องอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อย่าไปฟังนักวิชาการ อย่าไปฟังกูรูการเมืองที่บอกว่าถึงแม้ผู้นำชุดใหม่จะเป็นผู้นำชั่วคราว แต่เขาไม่ใช่ชุดผู้นำขัดตาทัพแต่อย่างใด เขาคือผู้นำตัวจริงเสียงจริงของพรรคก้าวไกล
“
พรรคก้าวไกลไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล พวกเราคือผู้คนและการเดินทาง ถึงแม้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่อยู่ ต้องลาออก ต้องโดนตัดสิทธิ์ ย้ายพรรค แต่แกนกลางนั้นยังอยู่ นั่นก็คืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราคือสายธารแห่งความหวัง เราคือสายธารของความเป็นไปได้ เราคือสายธารของความศรัทธา เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เข้าใจผิดว่าหัวหน้าพรรคคนเมื่อกี้ เป็นแค่หัวหน้าพรรคขัดตาทัพ เขาเข้าใจผิด เพราะเขาผู้นั้นคือตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายประชาธิปไตย” นาย
พิธา กล่าว
“
ท่านรักพิธาอย่างไร ต้องรักชัยธวัช อย่างนั้น อย่างที่ผมบอกกับพี่น้องไว้ว่าพรรคก้าวไกลของเราคือผู้คนและการเดินทางมันคือสายธาร” นาย
พิธา กล่าว
นาย
พิธา ย้ำว่า เราเป็นสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ แม้จะมีอุปสรรค เราก็สามารถที่จะไหลไปเรื่อยๆ สายน้ำที่อยู่ใกล้ดิน หมายถึงใกล้ชิดประชาชน น้ำไหลจากบนลงล่างเสมอ หมายถึงความถ่อมตัว ไม่มีหรอก ฝนตกขึ้นฟ้า ฝนต้องตกลงดิน แต่เมื่อสายธาร สายน้ำถูกบีบกระทบ โดนดันมากๆ สายน้ำก็พร้อมที่จะพังทลายเหมือนผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นาย
พิธา กล่าวว่า จงเป็นสายน้ำ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ไม่ว่าจะอยู่ใน product แบบไหน ก็สามารถที่จะปรับตัวได้ จะเป็นน้ำแข็งก็ได้ จะเป็นไอน้ำก็ได้ ตราบใดที่อุดมการณ์เรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่หลักการเรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่เนื้อหาของพวกเรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่เรายังมีความฝันและมีเป้าหมายเดียวกัน
“
ความฝันที่ไม่มีเป้าหมายก็เป็นแค่ความฝันใช่หรือไม่ เป้าหมายของเรา ในการทำงานการเมืองที่ถึงแม้จะเป็นฝ่ายค้าน ก็คือฝ่ายค้านเชิงรุก ก่อนที่จะขึ้นมาเมื่อวานได้ไปเจอนักข่าวต่างประเทศเขาถามผมว่าแล้วพรรคก้าวไกลจะเอาอย่างไรต่อ ชนะแล้วบริหารไม่ได้ พี่น้องรู้ไหมครับว่าผมตอบว่าอย่างไร … ผมนำเลือกตั้งครั้งแรก ได้มา 151 จาก 50 เป็น 150 เดี๋ยวเลือกตั้งครั้งต่อไป เทียบบัญญัติไตรยางค์ก็รู้แล้วว่าจาก 150 จะกลายเป็นเท่าไหร่” นาย
พิธา กล่าว
นาย
พิธา กล่าวว่า แล้วเมื่อความฝันมีเป้าหมาย ชนะเลือกตั้งขนาดนั้น ไม่ได้ปกครองต่อไปให้มันรู้ไป เราจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ก็คงมีคำถามต่อว่าแล้วฝ่ายค้านเชิงรุกเป็นอย่างไร แตกต่างจากฝ่ายค้านทั่วไปอย่างไร ผมก็ต้องบอกพี่น้องภายในหนึ่งประโยคหวังว่าพี่น้องจำได้แล้วเอาไปประชาสัมพันธ์ต่อ พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านที่ไม่ได้จ้องจะค้านรัฐบาลอย่างเดียว จะเป็นฝ่ายค้านพี่อยู่ข้างประชาชน จะเป็นฝ่ายค้านที่จะสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของคนไทย ด้วยกลยุทธ์ แข่ง ขยับ และขยาย
1) เราพร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี 4 สนามใหญ่ เกิดก้าวไกลทั่วประเทศแน่นอน ปีที่หนึ่ง อบจ. ปีที่สองเทศบาล ปีที่สาม ผู้ว่าฯกทม. ปีที่สี่ เลือกตั้งใหญ่แล้วเจอกัน
2) แข่งเสร็จแล้วไม่พอ เราต้องขยับด้วย ตอนนี้เรามี สส. เขต บัญชีรายชื่อ มีท้องถิ่น มีส้มจี๊ด มีมูลนิธิ เวลาเราขยับมันไม่ขยับคนเดียว ไม่ใช่แค่ประธานไม่ใช่แค่หัวหน้าขยับ เวลาขยับกันทีขยับกันเป็นองคาพยพ ไม่สะเทือนให้มันรู้ไป
3) สุดท้ายเราต้องขยาย ตนมีความมั่นใจเหลือเกินว่าพรรคก้าวไกลจะขยายสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 80,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นเดือนละ 10,000 คน สักวันหนึ่ง อีกไม่นาน พรรคก้าวไกลจะขยายฐานสมาชิก และเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แล้วอีกไม่นานความฝันที่เรามีร่วมกันจะกลายเป็นความจริงของพวกเราที่พวกเราภูมิใจร่วมกัน
“
อย่าลืมสิ่งที่พวกเราได้ทำร่วมกันมา เราชนะในกติกาที่เขาเขียน เราชนะในช่วงที่ไม่มีใครคิดว่าเราจะชนะได้ เราชนะในการเลือกตั้งที่มีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขอให้พากันออกไปจนกว่าจะถึงเส้นชัยของพวกเรา จะก้าวอย่างไร ต้องก้าวด้วยกัน เพื่อที่จะก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” นาย
พิธา กล่าว
เดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศ! “ไอติม” ร่ายยาวแผน "ก้าวไกล" งัดกลไกสภาขับเคลื่อนความฝันปชช.ทลาย 5 มายาคติ
https://siamrath.co.th/n/479809
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคก้าวไกล ได้จัดกิจกรรม “
ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” พร้อมเปิดตัว นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนใหม่ รวมถึงเชิญบุคคลที่เป็นเฉพาะสมาชิกพรรคทั่วประเทศ มารับฟังยุทธศาสตร์ของพรรค พร้อมเริ่มวงเสวนาโดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า นาย
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พิธีกร, นาย
อธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์, ก่อนนาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคคนใหม่ ปิดท้ายด้วยบรรยายยุทธศาสตร์พรรค ก่อนถึงวันเข้าทำเนียบ โดย นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่สนามกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง
ด้าน นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล(ก.ก.) กล่าวปราศรัยระบุว่า วันนี้ตนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะได้รับมอบหมายจากพรรคให้มาเสนอแผนการทำงานของพวกเราในสภาต่อหน้าเจ้าของพรรค ซึ่งแน่นอนว่าพรรคก้าวไกลมีเจ้าของคือสมาชิก 70,000 กว่าคน ตนเชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้พวกเราทุกคนตัดสินใจมาเป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน ก็เพราะความฝัน และความเชื่อ ที่เรามีตรงกันว่า ประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ประชาธิปไตยไทยเข้มแข็งกว่านี้ได้ เศรษฐกิจไทยไปได้ไกลกว่านี้ และสังคมไทยน่าอยู่กว่านี้ได้ อีกทั้งยังเชื่อว่า พวกเราเห็นตรงกันว่าถ้าเราอยากให้ความฝันของพวกเราเป็นจริง เราก็ต้องมาร่วมกันสร้าง ร่วมกันกำหนดทิศทาง และร่วมกันขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยมียานพาหนะที่มีชื่อว่าพรรคก้าวไกล
“
วันนี้พรรคก้าวไกลเรามีผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตจาก 28 จังหวัดทั่วประเทศ ครบทุกภูมิภาค หรือแม้กระทั่งในคืนวันก่อนเลือกตั้งที่แม้จะมีประชาชนมารวมกันหลายหมื่นคน แต่ก็ยังมีคนตั้งคำถามว่า พรรคก้าวไกลจะมีผู้แทนราษฎรเกิน 100 คน จะเป็นจริงได้หรือ แต่ในวันนี้เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกล เราสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองที่รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและเชื่อว่าวันนี้หลายคนอาจมีความรู้สึกผิดหวัง ที่เราไม่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในฐานะรัฐบาลได้ แต่ท่ามกลางคำสบประมาทว่า เมื่อเป็นฝ่ายค้านแล้ว เราจะทำอะไรได้ ตนหวังว่าสี่ปีข้างหน้านี้ จะเป็นสี่ปีที่เรามาร่วมกันพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า เป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้
นาย
พริษฐ์ กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้านเราตั้งใจจะใช้กลไกของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ผ่านการพูดถึงมายาคติทางการเมืองทั้งหมด 5 มายาคติที่เราต้องการเข้าไปทลาย ได้แก่
1. มายาคติ “ฝ่ายค้านจะเสนอกฎหมายไปทำไม เพราะอย่างไรก็ไม่มีวันผ่าน” หลายคนคงได้เห็นแล้วถึงความพยายามของพรรคก้าวไกลในการผลักดัน “
ชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศ” ผ่านกลไกนิติบัญญัติ โดยตั้งแต่สภาชุดนี้เปิดมาเป็นเวลา 3 เดือน พรรคก้าวไกลได้เตรียมร่างกฎหมายไว้ 50 กว่าร่าง และได้ยื่นเข้ากระบวนการสภาไปแล้ว 27 ร่าง ซึ่งอยู่ในช่วงของกระบวนการรับฟังความเห็นอีก 14 ร่าง แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่า ในเมื่อพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน มีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา แล้วจะเสนอกฎหมายเหล่านี้ไปทำไม ตนขอยืนยันว่าเป้าหมายการเสนอกฎหมายของพรรคก้าวไกล คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงใน 2 สมรภูมิรบสำคัญ ดังนี้ สมรภูมิแรกคือสมรภูมิในสภา โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนกฎหมาย แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเสียงข้างน้อยในสภา แต่คณิตศาสตร์พื้นฐานก็บอกเราว่า หาก สส. รัฐบาล 100 คนขึ้นไปเห็นชอบกับกฎหมายฉบับใดที่สอดคล้องกับนโยบายและจุดยืนของเขา กฎหมายฉบับนั้นก็ผ่านสภาได้ และหากย้อนไปในวันที่พรรคก้าวไกลมี สส.เพียง 50 กว่าคน หลายกฎหมายก็ยังเกือบผ่านสภาได้ เมื่อวันนี้เรามี สส. เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า แล้วทำไมเราจะไม่กล้าพยายามผลักดันกฎหมายให้ผ่านให้ได้ สมรภูมิรบที่สองที่สำคัญเช่นกัน คือ สมรภูมินอกสภา ที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนความคิดผู้คน แม้จะแพ้โหวตในสภา แต่การได้ใช้สภาเป็นเวทีในการนำเสนอหลักการและเหตุผลของเรา จะเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเพิ่มผู้คนที่หันมาเห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้น จนทำให้หลายวาระที่อาจดูเป็นไปได้ยาก กลายมาเป็นวาระที่ทุกฝ่ายทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น ไม่ว่าเราจะสำเร็จในการเปลี่ยนตัวบทกฎหมายหรือไม่ แต่การหว่านเมล็ดพันธ์ุทางความคิดให้กับสังคมก็มีความสำคัญเช่นกัน
2.
มายาคติ “คณะกรรมาธิการในสภามีไว้เพื่อผลาญงบ” แม้กลไกของคณะกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) 35 คณะ จะเป็นกลไกที่ประชาชนหลายส่วนตั้งข้อสงสัย แต่พรรคก้าวไกลเชื่อว่ากลไก กมธ. สามารถถูกใช้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะการพยายามวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบสำหรับ กมธ. ที่มีประธานจากพรรคก้าวไกล เช่น การทำให้กระบวนการในการจัดทำงบประมาณมีความโปร่งใสตั้งแต่ต้น โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล การทำงานเชิงรุกในการสร้างความตื่นตัวและระดมความเห็นจากประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือร่างกฎหมายที่ยกระดับประชาธิปไตย เป็นต้น
JJNY : 5in1 พิธาฝากฝังชัยธวัช│“ไอติม” ร่ายยาว│ณัฐวุฒิส่งกำลังใจ‘อานนท์’│เจ๊งยับรับปีใหม่│ฟิลิปปินส์ประณามจีนตั้งแนวกั้น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7882212
“พิธา” กำชับสมาชิก รักพิธาอย่างไร ขอให้รัก “ชัยธวัช” อย่างนั้น ลั่น หัวหน้าชุดใหม่ ไม่ใช่ผู้นำขัดตาทัพ แม้ใครออกไป แต่แกนกลางยังคงอยู่ เป็นอำนาจประชาชน บอกเราเหมือนสายธารที่ใกล้ดิน สื่อถึงใกล้ชิดประชาชน โว นำเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้มา 151 รอบหน้าไม่ต่ำกว่า 300 ย้ำ 3 กลยุทธ์ แข่ง-ขยับ-ขยาย จนกว่าจะถึงเส้นชัย “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2566 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกทม. (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ในกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ช่วงสุดท้าย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นบรรยายในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ก้าวไกลก่อนถึงวันเข้าทำเนียบ”
นายพิธา กล่าวต่อว่า พี่น้องสมาชิกพรรคก้าวไกลที่เคารพรักทุกท่าน ถึงแม้ว่าเราจะลาจากกันแต่ขอบอกกับทุกท่านว่าจากกันไม่ตลอดไป เพราะจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม 3 ปีกับ 185 วัน เป็นการเดินทางของพวกเราที่ตนจะไม่มีวันลืม ตนเต็มใจกับสิ่งที่ได้ทำร่วมกันมาทุกๆวันที่เราทำร่วมกัน มันคือการจุดไฟกลางสายลม การจุดไฟกลางสายลมนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่เรากำลังร่วมกันสำเร็จแล้ว
นายพิธา ระบุว่า ไม่ว่าท่านจะหวังสมหวังหรือผิดหวัง แต่ในเมื่อไฟที่จุดติดกลางสายลมแล้ว อย่าให้มันดับโดยเด็ดขาด กลับมาเมื่อไหร่ จุดไฟเหมือนเดิมแน่นอน บอกกับพี่น้องแล้วว่าจากกันไม่ตลอดไป กลับมาอีกครั้ง ก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน แต่พี่น้องอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อย่าไปฟังนักวิชาการ อย่าไปฟังกูรูการเมืองที่บอกว่าถึงแม้ผู้นำชุดใหม่จะเป็นผู้นำชั่วคราว แต่เขาไม่ใช่ชุดผู้นำขัดตาทัพแต่อย่างใด เขาคือผู้นำตัวจริงเสียงจริงของพรรคก้าวไกล
“พรรคก้าวไกลไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล พวกเราคือผู้คนและการเดินทาง ถึงแม้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่อยู่ ต้องลาออก ต้องโดนตัดสิทธิ์ ย้ายพรรค แต่แกนกลางนั้นยังอยู่ นั่นก็คืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราคือสายธารแห่งความหวัง เราคือสายธารของความเป็นไปได้ เราคือสายธารของความศรัทธา เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เข้าใจผิดว่าหัวหน้าพรรคคนเมื่อกี้ เป็นแค่หัวหน้าพรรคขัดตาทัพ เขาเข้าใจผิด เพราะเขาผู้นั้นคือตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายประชาธิปไตย” นายพิธา กล่าว
“ท่านรักพิธาอย่างไร ต้องรักชัยธวัช อย่างนั้น อย่างที่ผมบอกกับพี่น้องไว้ว่าพรรคก้าวไกลของเราคือผู้คนและการเดินทางมันคือสายธาร” นายพิธา กล่าว
นายพิธา ย้ำว่า เราเป็นสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ แม้จะมีอุปสรรค เราก็สามารถที่จะไหลไปเรื่อยๆ สายน้ำที่อยู่ใกล้ดิน หมายถึงใกล้ชิดประชาชน น้ำไหลจากบนลงล่างเสมอ หมายถึงความถ่อมตัว ไม่มีหรอก ฝนตกขึ้นฟ้า ฝนต้องตกลงดิน แต่เมื่อสายธาร สายน้ำถูกบีบกระทบ โดนดันมากๆ สายน้ำก็พร้อมที่จะพังทลายเหมือนผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นายพิธา กล่าวว่า จงเป็นสายน้ำ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ไม่ว่าจะอยู่ใน product แบบไหน ก็สามารถที่จะปรับตัวได้ จะเป็นน้ำแข็งก็ได้ จะเป็นไอน้ำก็ได้ ตราบใดที่อุดมการณ์เรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่หลักการเรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่เนื้อหาของพวกเรายังเหมือนเดิม ตราบใดที่เรายังมีความฝันและมีเป้าหมายเดียวกัน
“ความฝันที่ไม่มีเป้าหมายก็เป็นแค่ความฝันใช่หรือไม่ เป้าหมายของเรา ในการทำงานการเมืองที่ถึงแม้จะเป็นฝ่ายค้าน ก็คือฝ่ายค้านเชิงรุก ก่อนที่จะขึ้นมาเมื่อวานได้ไปเจอนักข่าวต่างประเทศเขาถามผมว่าแล้วพรรคก้าวไกลจะเอาอย่างไรต่อ ชนะแล้วบริหารไม่ได้ พี่น้องรู้ไหมครับว่าผมตอบว่าอย่างไร … ผมนำเลือกตั้งครั้งแรก ได้มา 151 จาก 50 เป็น 150 เดี๋ยวเลือกตั้งครั้งต่อไป เทียบบัญญัติไตรยางค์ก็รู้แล้วว่าจาก 150 จะกลายเป็นเท่าไหร่” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า แล้วเมื่อความฝันมีเป้าหมาย ชนะเลือกตั้งขนาดนั้น ไม่ได้ปกครองต่อไปให้มันรู้ไป เราจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ก็คงมีคำถามต่อว่าแล้วฝ่ายค้านเชิงรุกเป็นอย่างไร แตกต่างจากฝ่ายค้านทั่วไปอย่างไร ผมก็ต้องบอกพี่น้องภายในหนึ่งประโยคหวังว่าพี่น้องจำได้แล้วเอาไปประชาสัมพันธ์ต่อ พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านที่ไม่ได้จ้องจะค้านรัฐบาลอย่างเดียว จะเป็นฝ่ายค้านพี่อยู่ข้างประชาชน จะเป็นฝ่ายค้านที่จะสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของคนไทย ด้วยกลยุทธ์ แข่ง ขยับ และขยาย
1) เราพร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี 4 สนามใหญ่ เกิดก้าวไกลทั่วประเทศแน่นอน ปีที่หนึ่ง อบจ. ปีที่สองเทศบาล ปีที่สาม ผู้ว่าฯกทม. ปีที่สี่ เลือกตั้งใหญ่แล้วเจอกัน
2) แข่งเสร็จแล้วไม่พอ เราต้องขยับด้วย ตอนนี้เรามี สส. เขต บัญชีรายชื่อ มีท้องถิ่น มีส้มจี๊ด มีมูลนิธิ เวลาเราขยับมันไม่ขยับคนเดียว ไม่ใช่แค่ประธานไม่ใช่แค่หัวหน้าขยับ เวลาขยับกันทีขยับกันเป็นองคาพยพ ไม่สะเทือนให้มันรู้ไป
3) สุดท้ายเราต้องขยาย ตนมีความมั่นใจเหลือเกินว่าพรรคก้าวไกลจะขยายสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 80,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นเดือนละ 10,000 คน สักวันหนึ่ง อีกไม่นาน พรรคก้าวไกลจะขยายฐานสมาชิก และเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แล้วอีกไม่นานความฝันที่เรามีร่วมกันจะกลายเป็นความจริงของพวกเราที่พวกเราภูมิใจร่วมกัน
“อย่าลืมสิ่งที่พวกเราได้ทำร่วมกันมา เราชนะในกติกาที่เขาเขียน เราชนะในช่วงที่ไม่มีใครคิดว่าเราจะชนะได้ เราชนะในการเลือกตั้งที่มีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขอให้พากันออกไปจนกว่าจะถึงเส้นชัยของพวกเรา จะก้าวอย่างไร ต้องก้าวด้วยกัน เพื่อที่จะก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” นายพิธา กล่าว
เดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศ! “ไอติม” ร่ายยาวแผน "ก้าวไกล" งัดกลไกสภาขับเคลื่อนความฝันปชช.ทลาย 5 มายาคติ
https://siamrath.co.th/n/479809
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคก้าวไกล ได้จัดกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” พร้อมเปิดตัว นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนใหม่ รวมถึงเชิญบุคคลที่เป็นเฉพาะสมาชิกพรรคทั่วประเทศ มารับฟังยุทธศาสตร์ของพรรค พร้อมเริ่มวงเสวนาโดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พิธีกร, นายอธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์, ก่อนนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคคนใหม่ ปิดท้ายด้วยบรรยายยุทธศาสตร์พรรค ก่อนถึงวันเข้าทำเนียบ โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่สนามกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง
ด้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล(ก.ก.) กล่าวปราศรัยระบุว่า วันนี้ตนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะได้รับมอบหมายจากพรรคให้มาเสนอแผนการทำงานของพวกเราในสภาต่อหน้าเจ้าของพรรค ซึ่งแน่นอนว่าพรรคก้าวไกลมีเจ้าของคือสมาชิก 70,000 กว่าคน ตนเชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้พวกเราทุกคนตัดสินใจมาเป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน ก็เพราะความฝัน และความเชื่อ ที่เรามีตรงกันว่า ประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ประชาธิปไตยไทยเข้มแข็งกว่านี้ได้ เศรษฐกิจไทยไปได้ไกลกว่านี้ และสังคมไทยน่าอยู่กว่านี้ได้ อีกทั้งยังเชื่อว่า พวกเราเห็นตรงกันว่าถ้าเราอยากให้ความฝันของพวกเราเป็นจริง เราก็ต้องมาร่วมกันสร้าง ร่วมกันกำหนดทิศทาง และร่วมกันขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยมียานพาหนะที่มีชื่อว่าพรรคก้าวไกล
“วันนี้พรรคก้าวไกลเรามีผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตจาก 28 จังหวัดทั่วประเทศ ครบทุกภูมิภาค หรือแม้กระทั่งในคืนวันก่อนเลือกตั้งที่แม้จะมีประชาชนมารวมกันหลายหมื่นคน แต่ก็ยังมีคนตั้งคำถามว่า พรรคก้าวไกลจะมีผู้แทนราษฎรเกิน 100 คน จะเป็นจริงได้หรือ แต่ในวันนี้เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกล เราสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองที่รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและเชื่อว่าวันนี้หลายคนอาจมีความรู้สึกผิดหวัง ที่เราไม่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในฐานะรัฐบาลได้ แต่ท่ามกลางคำสบประมาทว่า เมื่อเป็นฝ่ายค้านแล้ว เราจะทำอะไรได้ ตนหวังว่าสี่ปีข้างหน้านี้ จะเป็นสี่ปีที่เรามาร่วมกันพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า เป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้านเราตั้งใจจะใช้กลไกของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ผ่านการพูดถึงมายาคติทางการเมืองทั้งหมด 5 มายาคติที่เราต้องการเข้าไปทลาย ได้แก่
1. มายาคติ “ฝ่ายค้านจะเสนอกฎหมายไปทำไม เพราะอย่างไรก็ไม่มีวันผ่าน” หลายคนคงได้เห็นแล้วถึงความพยายามของพรรคก้าวไกลในการผลักดัน “ชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศ” ผ่านกลไกนิติบัญญัติ โดยตั้งแต่สภาชุดนี้เปิดมาเป็นเวลา 3 เดือน พรรคก้าวไกลได้เตรียมร่างกฎหมายไว้ 50 กว่าร่าง และได้ยื่นเข้ากระบวนการสภาไปแล้ว 27 ร่าง ซึ่งอยู่ในช่วงของกระบวนการรับฟังความเห็นอีก 14 ร่าง แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่า ในเมื่อพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน มีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา แล้วจะเสนอกฎหมายเหล่านี้ไปทำไม ตนขอยืนยันว่าเป้าหมายการเสนอกฎหมายของพรรคก้าวไกล คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงใน 2 สมรภูมิรบสำคัญ ดังนี้ สมรภูมิแรกคือสมรภูมิในสภา โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนกฎหมาย แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเสียงข้างน้อยในสภา แต่คณิตศาสตร์พื้นฐานก็บอกเราว่า หาก สส. รัฐบาล 100 คนขึ้นไปเห็นชอบกับกฎหมายฉบับใดที่สอดคล้องกับนโยบายและจุดยืนของเขา กฎหมายฉบับนั้นก็ผ่านสภาได้ และหากย้อนไปในวันที่พรรคก้าวไกลมี สส.เพียง 50 กว่าคน หลายกฎหมายก็ยังเกือบผ่านสภาได้ เมื่อวันนี้เรามี สส. เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า แล้วทำไมเราจะไม่กล้าพยายามผลักดันกฎหมายให้ผ่านให้ได้ สมรภูมิรบที่สองที่สำคัญเช่นกัน คือ สมรภูมินอกสภา ที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนความคิดผู้คน แม้จะแพ้โหวตในสภา แต่การได้ใช้สภาเป็นเวทีในการนำเสนอหลักการและเหตุผลของเรา จะเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเพิ่มผู้คนที่หันมาเห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้น จนทำให้หลายวาระที่อาจดูเป็นไปได้ยาก กลายมาเป็นวาระที่ทุกฝ่ายทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น ไม่ว่าเราจะสำเร็จในการเปลี่ยนตัวบทกฎหมายหรือไม่ แต่การหว่านเมล็ดพันธ์ุทางความคิดให้กับสังคมก็มีความสำคัญเช่นกัน
2. มายาคติ “คณะกรรมาธิการในสภามีไว้เพื่อผลาญงบ” แม้กลไกของคณะกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) 35 คณะ จะเป็นกลไกที่ประชาชนหลายส่วนตั้งข้อสงสัย แต่พรรคก้าวไกลเชื่อว่ากลไก กมธ. สามารถถูกใช้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะการพยายามวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบสำหรับ กมธ. ที่มีประธานจากพรรคก้าวไกล เช่น การทำให้กระบวนการในการจัดทำงบประมาณมีความโปร่งใสตั้งแต่ต้น โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล การทำงานเชิงรุกในการสร้างความตื่นตัวและระดมความเห็นจากประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือร่างกฎหมายที่ยกระดับประชาธิปไตย เป็นต้น