สภาวะการณ์ที่สตรีเพศถูกรังแกข่มเหงนั้น มีมาก่อนอุดมการณ์ที่เรียกว่า
"อารยธรรมในปัจจุบัน" ความโหดร้ายทารุณต่อเพศหญิงและเด็กกำพร้าในสังคมของชาวอรับทะเลทราย รวมทั้งทางเอเซียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงประเทศจีนและประเทศอินเดียมีมาตั้งแต่ สมัยพุทธกาล ว่าผู้ที่มีอำนาจปฏิบัติต่อสตรีเพศอย่างโหดร้ายทารุณ ผู้มีอำนาจจะฉุดคร่า, ภรรยา, คนรัก, และ ลูกสาว ของผู้อื่น มาสมสู่สนองอารมณ์ใคร่ ซึ่งเป็นที่โหดร้ายทารุณและทรมาณจิตใจของพ่อแม่ สามีญาติพี่น้องของสตรีที่ถูกฉุดกระชาก พรากไปจากครอบครัวของไพร่ฟ้าประชาชน เพื่อสนองอารมณ์ใคร่ของผู้มีอำนาจ อย่างขาดความเมตตาและเข้าใจถึงความทุกข์ทางใจของครอบครัวของหญิงที่ถูกพรากไปเหล่านั้น เราลองนึกถึงสภาพทางใจของเราถ้าในปัจจุบันเราต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ความจริงข้อนี้ เป็นเหตุหนึ่งที่พระพุทธองค์ ทรงนำเบญจศีลมาใช้ในพุทธศาสนา
จะเห็นได้ว่าในสมัยพุทธกาลนั้นพระพุทธองค์ได้มองเห็นในเรื่องความโหดร้ายทารุณของการพรากลูกพรากเมียของผู้อื่นมาเป็นนางสนมนางบำเรอ มันเป็นบาป พระพุทธองค์เลยรับเอาเบญจศีลของพระเจ้าจักรพรรดิที่ตรัสสอนประชาชนมาบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งในพระธรรมของพุทธศาสนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ความผิดประเวณีในลูกเมียเขา อันเกิดจากปัญญามืดบอด หลงผิดมัวเมา บ้าในกาม หลงในกาม เจตนาทำรับโทษหนัก เป็นความชั่วที่สมบูรณ์แบบ ถ้าการประพฤติผิดในกามเช่นนี้ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะนําไปเกิดในนรกอบายภูมิ จึงถูกนำมาใช้ในสมัยพุทธกาล) การมีนางบำเรอมากในสมัยพุทธกาลนั้นเราทราบได้จากคัมภีร์พระไตรปิฏกและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนา
แม้ว่าอายุที่หญิงจะแต่งงานแตกต่างกันและมันก็หายากสำหรับเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 12 ปีที่จะแต่งงานในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตามเจ้าสาว เริ่มมีอายุน้อยลงมีจำนวนมากขึ้นในยุคกลางและมันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น
สำหรับเด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าหกหรือแปดปี ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะแต่งงานในสังคมอินเดีย เราจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แต่ในสังคมอรับเมื่อ 1400 กว่าปีเท่านั้นที่นิยมแต่งงานหรือมีเมียเด็ก
แต่ในอินเดียก็เช่นกันการแต่งงานหรือการมีเมียเด็กในราว 6-8 ขวบนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยกลาง (500-1500 CE)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้However, the age at which the girl was to be married differed and it was rare for girls younger than 12 to be married in antiquity. Nevertheless, girl brides became younger towards the Medieval period, and it became increasingly common for girls as young as six or eight to be married in Indian society.
ในสมัยต่อมาถึงสมัยของท่านศาสดามูฮัมมัดประกาศศาสนาอิสลามท่านศาสดาได้รับโองการจากประเจ้าและเริ่มประกาศศาสนาอิสลาม ในณะที่อรับเผ่าต่างๆยังกราบไหว้บูชาเจว็ด ในระหว่างสงคราม สตรีเพศถูกข่มเหงรังแกและเอาเปรียบจากชาย ซึ่งเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงจากการบูชาเจว็ดมาสู่อิสลามโองการอัลกุรอานบทบัญญํติเกี่ยวกับการยกฐาณะสตรีให้เท่าเทียมเพศชายก็ได้ถูกประทานมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
يَا أَيُّهَا النَّاسُ اتَّقُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ مِنْ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ وَخَلَقَ مِنْهَا زَوْجَهَا وَبَثَّ مِنْهُمَا رِجَالًا كَثِيرًا وَنِسَاءً ۚ وَاتَّقُوا اللَّهَ الَّذِي تَسَاءَلُونَ بِهِ وَالْأَرْحَامَ ۚ إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلَيْكُمْ رَقِيبًا {1}
[Shakir 4:1] O people! be careful of (your duty to) your Lord, Who created you from a single being and created its mate of the same (kind) and spread from these two, many men and women; and be careful of (your duty to) Allah, by Whom you demand one of another (your rights), and (to) the ties of relationship; surely Allah ever watches over you.
4:1} โอ้ ปวงมนุษย์! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเธอ ที่ได้บังเกิดพวกเธอมาจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น ได้ทรงบังเกิดคู่ครองของมัน และจากทั้งสองนั้น ได้ทรงบันดาลให้เหล่าผู้ชายและผู้หญิงอันมากมายแพร่ขยาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺ ที่พวกเธอต่างขอร้องต่อกันด้วย(การอ้างพระนามของ)พระองค์ และจงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูแลพวกเธออยู่เสมอ
وَآتُوا الْيَتَامَىٰ أَمْوَالَهُمْ ۖ وَلَا تَتَبَدَّلُوا الْخَبِيثَ بِالطَّيِّبِ ۖ وَلَا تَأْكُلُوا أَمْوَالَهُمْ إِلَىٰ أَمْوَالِكُمْ ۚ إِنَّهُ كَانَ حُوبًا كَبِيرًا {2}
[Shakir 4:2] And give to the orphans their property, and do not substitute worthless (things) for (their) good (ones), and do not devour their property (as an addition) to your own property; this is surely a great crime.
{4:2} และแก่ลูกกำพร้า จงส่งมอบทรัพย์สมบัติของพวกเขา และจงอย่าเอาของเลวไปแลกเปลี่ยนด้วยของดี และจงอย่ากินทรัพย์สินของพวกเขาร่วมกับทรัพย์สินของพวกเธอ แท้จริงมันเป็นบาปอันยิ่งใหญ่
وَإِنْ خِفْتُمْ أَلَّا تُقْسِطُوا فِي الْيَتَامَىٰ فَانْكِحُوا مَا طَابَ لَكُمْ مِنَ النِّسَاءِ مَثْنَىٰ وَثُلَاثَ وَرُبَاعَ ۖ فَإِنْ خِفْتُمْ أَلَّا تَعْدِلُوا فَوَاحِدَةً أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُكُمْ ۚ ذَٰلِكَ أَدْنَىٰ أَلَّا تَعُولُوا {3}
[Shakir 4:3] And if you fear that you cannot act equitably towards orphans, then marry such women as seem good to you, two and three and four; but if you fear that you will not do justice (between them), then (marry) only one or what your right hands possess; this is more proper, that you may not deviate from the right course.
{4:3} และหากพวกเธอเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในบรรดาเด็กกําพร้าได้ ก็จงสมรสกับสตรีอื่นที่เหมาะสมสำหรับพวกเธอ สองคน หรือสามคน หรือสี่คน และถ้าพวกเธอเกรงว่าพวกเธอจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีเพียงแค่คนเดียว หรือไม่ก็หญิงที่มือขวาของพวกเธอครอบครองอยู่ นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับการที่พวกเธอจะไม่ลําเอียง
อัลกุรอานบทสตรีนี้ถูกประทานมาในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อของอรับผู้บูชาเจว็ดกับการเข้ารับศาสนาอิสลาม สังคมอรับในสมัยนั้นยังป่าเถื่อน สตรีเพศถูกจับเป็นทาสและนางบำเรอ เด็กหญิงกำพร้าผู้ปกครอง, ภรรยากำพร้าสามีเนื่องจากการสู้รบในสงครามระหว่างอรับเผ่าต่างๆ
ในสังคมอรับทะเลทรายก็เช่นกันสภาพที่น่าสังเวชได้แพร่หลายไปใน โลกอรับก่อนที่จะมีศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานบทบัญญํติ ที่เกี่ยวกับสตรีเพศ ก็ได้ถูกประทานมาตามลำดับ ในช่วงเวลาสงคราม เป็นที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่าผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมมักจะนำเอาเรื่องมุสลิมอนุมัติให้มีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน มาล้อเลียนสมาชิกมุสลิมในที่นี้อยู่เสมอมา พอจะเดาได้ว่าคำถามเหล่านี้เกิดจากผู้ถามขาดความรู้ที่แท้จริงของประเพณีของมนุษย์ ในสังคมต่างๆที่เพศชายข่มเหงรังแกเพศหญิงรวมทั้งผู้ที่ไร้การศึกษาในสังคมไทยเรา พากันกล่าวประณามเรื่องการที่ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีเมียได้ไม่เกิน 4 คน โดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลที่เชื่อมโยงกับสังคมมนุษย์ในยุคที่บัญญํติอัลกุรอานในเรื่องนี้ถูกประทานมา
โอ้ ปวงมนุษย์! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเธอ ที่ได้บังเกิดพวกเธอมาจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น ได้ทรงบังเกิดคู่ครองของกันและกัน และจากทั้งสองนั้น ได้ทรงบันดาลให้บังเกิดชายและ หญิงแพร่ขยายอย่างมากมาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺ ผู้ที่พวกเธอต่างขอร้องสิทธิของกันและกัน และจงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูแลพวกเธออยู่เสมอ
ภรรยานอกจาก การใชัทรัพย์สินของพวกเจ้าเอง การเอาเปรียบทรัพย์สินของเด็กกำพร้า หรือ ภรรยาเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ ดี สอง, สาม และ สี่คน ถ้าคุณกลัวว่าคุณไม่สามารถปฏิบัติต่อหญิงกำพร้าได้อย่างยุติธรรม ในระหว่างเหล่าภรรยาได้ ดังนั้น ก็แต่งงาน เพียงหนึ่งเท่านั้น หรือแต่งงานกับหญิงทาสของคุณ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้คุณเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ถูกต้อง"
อุดมการณ์ที่เรียกว่า"อารยธรรมในปัจจุบัน" ที่ชาวยุโรปตั้งขึ้นเป็นกฏหมายสากล ให้ชายมีภรรยาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ก็เนื่องจากการเกิดความอับอายที่อิสลามเป็นผู้ที่ให้สิทธิแก่สตรี และขจัดการมีนางบำเรอและเมียลับได้อย่างเด็ดขาด ผู้ที่ไร้การศึกษาในสังคมไทยเราพากันกล่าวประณามเรื่องการที่ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีเมียได้ 4 คนจากการเปรียบเทียบกับกฏหมายสากล โดยที่ไม่คำนึงถึงความโหดร้ายทารุณต่อเพศหญิงและเด็กกำพร้าในสังคม อรับทะเลทราย รวมทั้งทางเอเซียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงประเทศจีนและประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล
"อิสลาม" หยุดยั้ง "ฮาเร็ม" และ "สถาบันนางบำเรอ" ในสังคม ให้สิทธิเพศหญิง 1400 ปี ก่อน "อารยธรรมในปัจจุบัน"
จะเห็นได้ว่าในสมัยพุทธกาลนั้นพระพุทธองค์ได้มองเห็นในเรื่องความโหดร้ายทารุณของการพรากลูกพรากเมียของผู้อื่นมาเป็นนางสนมนางบำเรอ มันเป็นบาป พระพุทธองค์เลยรับเอาเบญจศีลของพระเจ้าจักรพรรดิที่ตรัสสอนประชาชนมาบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งในพระธรรมของพุทธศาสนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ความผิดประเวณีในลูกเมียเขา อันเกิดจากปัญญามืดบอด หลงผิดมัวเมา บ้าในกาม หลงในกาม เจตนาทำรับโทษหนัก เป็นความชั่วที่สมบูรณ์แบบ ถ้าการประพฤติผิดในกามเช่นนี้ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะนําไปเกิดในนรกอบายภูมิ จึงถูกนำมาใช้ในสมัยพุทธกาล) การมีนางบำเรอมากในสมัยพุทธกาลนั้นเราทราบได้จากคัมภีร์พระไตรปิฏกและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนา
แม้ว่าอายุที่หญิงจะแต่งงานแตกต่างกันและมันก็หายากสำหรับเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 12 ปีที่จะแต่งงานในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตามเจ้าสาว เริ่มมีอายุน้อยลงมีจำนวนมากขึ้นในยุคกลางและมันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น สำหรับเด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าหกหรือแปดปี ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะแต่งงานในสังคมอินเดีย เราจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แต่ในสังคมอรับเมื่อ 1400 กว่าปีเท่านั้นที่นิยมแต่งงานหรือมีเมียเด็ก แต่ในอินเดียก็เช่นกันการแต่งงานหรือการมีเมียเด็กในราว 6-8 ขวบนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยกลาง (500-1500 CE)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในสมัยต่อมาถึงสมัยของท่านศาสดามูฮัมมัดประกาศศาสนาอิสลามท่านศาสดาได้รับโองการจากประเจ้าและเริ่มประกาศศาสนาอิสลาม ในณะที่อรับเผ่าต่างๆยังกราบไหว้บูชาเจว็ด ในระหว่างสงคราม สตรีเพศถูกข่มเหงรังแกและเอาเปรียบจากชาย ซึ่งเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงจากการบูชาเจว็ดมาสู่อิสลามโองการอัลกุรอานบทบัญญํติเกี่ยวกับการยกฐาณะสตรีให้เท่าเทียมเพศชายก็ได้ถูกประทานมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อัลกุรอานบทสตรีนี้ถูกประทานมาในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อของอรับผู้บูชาเจว็ดกับการเข้ารับศาสนาอิสลาม สังคมอรับในสมัยนั้นยังป่าเถื่อน สตรีเพศถูกจับเป็นทาสและนางบำเรอ เด็กหญิงกำพร้าผู้ปกครอง, ภรรยากำพร้าสามีเนื่องจากการสู้รบในสงครามระหว่างอรับเผ่าต่างๆ
ในสังคมอรับทะเลทรายก็เช่นกันสภาพที่น่าสังเวชได้แพร่หลายไปใน โลกอรับก่อนที่จะมีศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานบทบัญญํติ ที่เกี่ยวกับสตรีเพศ ก็ได้ถูกประทานมาตามลำดับ ในช่วงเวลาสงคราม เป็นที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่าผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมมักจะนำเอาเรื่องมุสลิมอนุมัติให้มีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน มาล้อเลียนสมาชิกมุสลิมในที่นี้อยู่เสมอมา พอจะเดาได้ว่าคำถามเหล่านี้เกิดจากผู้ถามขาดความรู้ที่แท้จริงของประเพณีของมนุษย์ ในสังคมต่างๆที่เพศชายข่มเหงรังแกเพศหญิงรวมทั้งผู้ที่ไร้การศึกษาในสังคมไทยเรา พากันกล่าวประณามเรื่องการที่ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีเมียได้ไม่เกิน 4 คน โดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลที่เชื่อมโยงกับสังคมมนุษย์ในยุคที่บัญญํติอัลกุรอานในเรื่องนี้ถูกประทานมา
โอ้ ปวงมนุษย์! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเธอ ที่ได้บังเกิดพวกเธอมาจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น ได้ทรงบังเกิดคู่ครองของกันและกัน และจากทั้งสองนั้น ได้ทรงบันดาลให้บังเกิดชายและ หญิงแพร่ขยายอย่างมากมาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺ ผู้ที่พวกเธอต่างขอร้องสิทธิของกันและกัน และจงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูแลพวกเธออยู่เสมอ ภรรยานอกจาก การใชัทรัพย์สินของพวกเจ้าเอง การเอาเปรียบทรัพย์สินของเด็กกำพร้า หรือ ภรรยาเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ ดี สอง, สาม และ สี่คน ถ้าคุณกลัวว่าคุณไม่สามารถปฏิบัติต่อหญิงกำพร้าได้อย่างยุติธรรม ในระหว่างเหล่าภรรยาได้ ดังนั้น ก็แต่งงาน เพียงหนึ่งเท่านั้น หรือแต่งงานกับหญิงทาสของคุณ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้คุณเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ถูกต้อง"
อุดมการณ์ที่เรียกว่า"อารยธรรมในปัจจุบัน" ที่ชาวยุโรปตั้งขึ้นเป็นกฏหมายสากล ให้ชายมีภรรยาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ก็เนื่องจากการเกิดความอับอายที่อิสลามเป็นผู้ที่ให้สิทธิแก่สตรี และขจัดการมีนางบำเรอและเมียลับได้อย่างเด็ดขาด ผู้ที่ไร้การศึกษาในสังคมไทยเราพากันกล่าวประณามเรื่องการที่ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีเมียได้ 4 คนจากการเปรียบเทียบกับกฏหมายสากล โดยที่ไม่คำนึงถึงความโหดร้ายทารุณต่อเพศหญิงและเด็กกำพร้าในสังคม อรับทะเลทราย รวมทั้งทางเอเซียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงประเทศจีนและประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล