อยากแชร์ประสบการณ์ผ่าตัดฝีคัณฑสูตร ริดสีดวง และติ่งเนื้อที่รูทวาร (ผ่าทั้งหมดในรอบเดียว) เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกันค่ะ เราเพิ่งผ่าไปในวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง และจะเข้ามาอัพเดทเรื่อยๆ (ถ้าไม่ลืม เพราะปกติไม่ค่อยได้ login)
เริ่มเรื่องเลยคือเรามีปัญหาด้านการขับถ่ายแต่เด็ก (ตอนนี้เรา 30+) น่าจะตั้งแต่ม.ต้นเลยที่จำได้ว่าอุจจาระแข็ง ทำให้เจ็บตอนเบ่งและบางครั้งมีเลือดออก เราเป็นคนไม่ค่อยกินผักและดิ่มน้ำน้อยด้วย แต่คิดว่ากรรมพันธ์ก็มีส่วนเพราะมีญาติสนิทที่มีปัญหาด้านขับถ่ายและเป็นมะเร็งลำไส้มากกว่า 1 คน
พอโตขึ้นก็เริ่มกินผักผลไม้และดื่มน้ำเยอะขึ้น แต่เจ้าริดซี่ (ซึ่งน่าจะเริ่มมีหัวโผล่ตอนเราอายุ17-18) ก็ยังเป็นๆหายๆ แต่เราก้ไม่เคยหาหมอเพราะอาย เลยหายาเหน็บมาใช้เองตอนมันเริ่มเจ็บมาก และกินเพชรสังฆาต ซึ่งก็ช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่ถ่ายก้อจะมีหัวริดซี่โผล่มา แต่ก็ดันกลับได้ เราเลยรุสึกว่าเราอยู่กับมันได้ ตราบใดที่มันไม่เจ็บมาก (ซึ่งจริงๆใครเป็นแบบนี้แนะนำพบแพทย์นะคะ อย่าปล่อยไว้นานแบบเรา) พอเวลาผ่านไป มันเริ่มมีติ่งเนื้อนิ่มๆโผล่มาด้วย ซึ่งมันดันกลับไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เจ็บเลย เราก็เลยปล่อยไว้เหมือนกัน
จนมาถึงปีนี้ 2566 จำได้เลยว่าเป็นช่วงมกรา เราก็ถ่ายตามปกติ ซึ่งอุจจาระไม่ได้แข็งเลย แทบไม่ต้องเบ่งแต่พอซับก้นละมันมีเลือดติดมา ความแปลกคือเลือดมันออกที่บริเวณที่ไม่ใช่รูทวาร คือเลยขึ้นไปในแนวแก้มก้น เลยลองเอามือจับดูก็รู้สึกเหมือนมีหัวสิว เจ็บๆคันๆนิดหน่อย ตอนนั้นก็คิดว่าเออเป็นสิวมั๊ง ก็ไม่ได้ทำไรกะมันคิดว่าเดี๋ยวมันแห้งไปเอง แต่ปรากฏว่ามันไม่หายไป เลือดและหนองยังออกทุกครั้งที่เช็ด แต่พอมันไม่ได้เจ็บอะไร เราก็ปล่อยมันไว้อีก คิดไว้ว่าเดี๋ยวหายเอง แค่อย่าปล่อยให้ท้องผูก ละเช็ดนำเกลือเพื่อไม่ให้มันอักเสบ จนกระทั่งเดือนสิงหา เริ่มรุสึกว่าเลือดมันออกเยอะขึ้นแบบแทบจะต้องใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา มันไม่เจ็บนะ แต่ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะคิดว่ามันไม่ปกติแล้วจริงๆ (ซึ่งจิงๆไม่ปกติตั้งแต่ริดซี่และติ่งเนื้อละ55)
หมอ (ได้หมอเฉพาะทางพอดี) ก็ตรวจโดยใช้เรื่องมืออะไรซักอย่างแหวกๆตรงก้น ซึ่งไม่ได้เจ็บนะคะ และก็แจ้งเลยว่าเราเป็นหลายอย่างเลยนะ ทั้งฝีคัณฑสูตร ริดสีดวง (หมอแจ้งว่าระยะที่ 3-4) และติ่งเนื้อที่รูทวาร ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่า และควรผ่าให้เร็วเพราะฝีจะลุกลามไปเรื่อยๆ ไม่มียาไหนแก้ไขได้ ต้องผ่าเท่านั้น เราก็อึ้งกันไป พอทำใจได้ก็คุยเรื่องราคาต่อกับพยาบาล แล้วก็แจ้งว่าต้องคุยกับประกันและจะบอกได้ว่าประกันจะครอบคลุมเท่าไหร่ภายใน 5-7 วัน
พอกลับบ้านเราก็เสิร์จหาเรื่องฝีต่อเลย อ่านรีวิวพันทิปไปเยอะเหมือนกัน55 ก็เห็นคนแนะนำคุณหมออรุณ ว่าเชี่ยวชาญเรื่องฝีคัณฑสูตรมาก เลยตัดสินใจนัดคุยกะคุณหมอที่รพ.บำรุงราษฎร์ ในสัปดาถัดไป พอไปเจอก็คุยเรื่องอาการและหมอก็ตรวจดูเล็กน้อย คอนเฟิร์มว่าเป็นฝี ต้องผ่า ซึ่งก็จะเอาริดซี่กะติ่งเนื้อออกไปด้วย ทีนี้เราก็นัดผ่าอีกสามสัปดาห์เพราะต้องเคลียร์งานและให้ไม่ตรงกับช่วงมีปจด. อันนี้เราไม่รีบมากเพราะไม่ได้มีอาการอักเสบหรือปวดอะไรเลย ถ้าใครมีอาการมากหมออาจแนะให้ผ่าทันทีนะ สำหรับราคาเคสเราก็ประมาณ 120k ประกันกลุ่มออกให้ได้เกือบหมด (ถึงตอนนั้นคิดว่าถ้าประกันไม่คลุมก็ยอมจ่ายเองนะเพราะถ้าได้หมอไม่เก่งจริง อาจเลาะท่อฝีไม่หมดหรือผ่ากระทบหูรูดได้)
วันผ่าจริง
งดน้ำและอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อนผ่า ไปรพ. 7 โมงเช้า พยาบาลมาตรวจความดันต่างๆ แล้วก็ให้สวนอุจจาระ (ไม่เจ็บเลยแต่ทรมาณนิดนึงตรงต้องอั้นไว้ 15 นาทีเพื่อให้ยาทำงานเต็มที่) ประมาณสิบโมงก็ถูกพาไปรอห้องก่อนผ่าตัด มีพยาบาลเข้ามาเช็คเป็นระยะ และคุยกับวิสัญญี ตอนแรกที่นัดกันคือดมยา แต่เราดันเป็นหวัดนิดหน่อยวันผ่า มีเสมหะกะน้ำมูก หมอเลยไม้ให้ดมยา แต่เปลี่ยนเป็นบล็อคหลังกะให้ยาเพื่อให้หลับแทน
11 โมงก็ถูกเข็นไปห้องผ่าตัด วิสัญญีก็มาฉีดยา หลังจากนั้นให้นอนคว่ำ แล้วภาพก็ตัด55 รู้สึกตัวอีกทีคือยังอยู่ในห้องผ่าตัดแต่ทำเสร็จแล้ว (น่าจะทำประมาณ 1 ชม.) ส่วนล่างไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น พยาบาลก็พลิกตัว แล้วก็เข็นไปห้องพักฟื้น 2 ชม. หลังจากนั้นก็เข็นเข้าห้องพัก (สบายมาก โชคดีได้ห้องติดสวนลอยด้วย) เราเริ่มหิวก็เลยขอกินข้าว แล้วก็กินน้ำค่อนข้างเยอะ พอตอนเย็นพยาบาลก็พาไปฉี่ แต่ต้องหิ้วปีกไปนั่งรถเข็นนะ เพราะยังเดินไม่ได้ ขายังชาอยู่ แต่ปรากฏว่าฉี่ไม่ออก พยาบาลก้เอาผ้าก็อตที่อยู่ในก้นออกให้ ซึ่งโชคดีมากที่เอาออกตอนนี้ที่ส่วนล่างยังไม่รู้สึกเพราะผ้ามันยัดค่อนข้างลึกละเหนียว ถ้าเอาออกตอนยาชาหมดฤทธิ์อาจกรี๊ดได้55 เสร็จแล้วพยาบาลบอกถ้ายังฉี่ไม่ออกต้องสวน เราพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่ออก ขนาดดื่มน้ำไปเป็นลิตร สรุปก็สวนแล้วฉี่ออกมา 1.2 ลิตร เยอะมาก555 ตอนสวนก็ไม่เจ็บเลยพยาบาลมือเบามากๆ หลังจากนั้นก็ให้สวมกางเกงใน (ที่เราเอามาเอง) และใส่ผ้าอนามัยเพื่อให้ซับเลือดและหนองจากแผลต่อ
พอตอนค่ำหายชาและเดินไปฉี่เองได้แล้ว พอซับแผลก็จะมีเลือดติดทิชชู่มาบ้าง อีกอย่างคือความเจ็บแสบที่แผลเริ่มมา แต่เจ็บขนาดที่ยาแก้ปวดเม็ดเดียวเอาอยู่ ไม่ถึงกับต้องฉีดแก้ปวดอะไร กินแก้ปวดทุกๆ 6 ชม. ระหว่างนั้น พยาบาลก็เข้ามาวัดความดันเรื่อยๆ ละก็ให้กินยาฆ่าเชื้อ วันรุ่งขึ้นตื่นมาก็ยังปวดเท่าเดิม ไม่ได้มากขึ้น เดินได้ปกติเลย เจ็บน้อยกว่าตอนนั่งอีก หมอก็มีเข้ามาคุยแปปนึงว่าจะเจ็บแผลช่วงแรกๆ แต่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องงดอาหารอะไร แผลก็ใช้น้ำประปาล้างทำความสะอาดได้เลย ละซับให้แห้งทุกครั้ง นัดเจอกันอีกที 1 สัปดาห์ พอตอนบ่ายๆพยาบาลก็เอายาสำหรับกลับบ้านมาให้ (มียาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ และยาระบายก่อนนอน) แนะนำให้เลี่ยงพวกเนื้อสัตว์กะอาหารเผ็ดในช่วงแรก พอเคลียร์ประกันกะค่าใช้จ่ายที่เหลือเสร็จก็ออกจากโรงบาลได้ รพ.มีรถไปส่งให้ที่บ้านด้วย ดีมากเลย
พอถึงบ้านเราก็นอนพัก แอบมึนๆละเจ็บแผลมากขึ้นเพราะตอนนั่งรถแผลมันก็ถูกกระทบ (ถนนบ้านเราก็ไม่ได้เรียบอะเนอะ ละนั่งนานเพราะบ้านอยู่ไกลรพ.) ตอนค่ำก็กินข้าวตามปกติ กินน้ำผักปั่นด้วยจะได้ถ่ายง่าย วันรุ่งขึ้นก้อยังเจ็บแผลอยู่นะ ก็กินยาแก้ปวดกันไป ส่วนอาหารจริงๆเราไม่ได้เลี่ยงอะไรมาก แค่ขอให้ไม่เผ็ดมาก กับกินน้ำผักปั่นช่วย ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆด้วย
เราถ่ายหลังผ่าตัดวันที่ 3 (พยาบาลแจ้งว่าปกติ) ซึ่งแอบทรมานอยู่ ไม่ใช่เพราะเจ็บนะ แต่มันออกยากมาก คือเหมือนอุจจาระมันเหนียวละติดอยู่ที่ปากทาง เบ่งมากก้ไม่ได้กลัวแผลปริ เรานั่งส้วมอยู่ครึ่งชม.ปวดขาไปหมด แต่พอผ่านมาได้ก็รู้สึกโล่งมาก โชคดีคือไม่ได้เจ็บมากกว่าปกติ และไม่ได้มีเลือดหรือหนองปนออกมาตอนถ่าย (มีติดเป็นสีชมพูๆที่ทิชชู่ตอนซับแห้ง) พอถ่ายวันถัดไปก็คือออกได้ปกติแล้ว ดีใจมากๆ
อาการตอนนี้
ผ่านมา 5 วันแล้ว เจ็บน้อยลงเยอะ หนองกะเลือดแทบไม่มีเลย แต่ยังใส่ผ้าอนามัยอยู่ตลอดเวลา และเปลี่ยนบ่อยๆถึงแม้จะไม่ค่อยมีเลือดเพื่อความสะอาด อีกอย่างคือหลังฉี่กะถ่ายเสร็จทุกครั้งเราใช้น้ำเกลือ (Normal Saline) ฉีดที่แผลหลังล้างด้วยน้ำประปา เพราะคิดไปว่ายังไงแผลก็น่าจะหายเร็วกว่าไม่ใช้ (หมอบอกน้ำเกลือไม่จำเป็นแต่เราอยากใช้เอง55)
สรุป
ตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ว่าจะหาย 100% มั้ย เพราะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่วัน แต่จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าคิดถูกมากที่ไปปรึกษาหมอและทำการผ่าตัดซึ่งผ่านไปได้ด้วยดีและยังไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ
หลังจากนี้จะเข้ามาอัพเดทเรื่อยๆ (ถ้าไม่ลืมอย่างที่บอก) ใครสงสัยอะไร ถามทิ้งไว้ได้นะคะ จะพยายามเข้ามาตอบให้
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดฝีคัณฑสูตร ริดสีดวง และติ่งเนื้อที่รูทวาร
เริ่มเรื่องเลยคือเรามีปัญหาด้านการขับถ่ายแต่เด็ก (ตอนนี้เรา 30+) น่าจะตั้งแต่ม.ต้นเลยที่จำได้ว่าอุจจาระแข็ง ทำให้เจ็บตอนเบ่งและบางครั้งมีเลือดออก เราเป็นคนไม่ค่อยกินผักและดิ่มน้ำน้อยด้วย แต่คิดว่ากรรมพันธ์ก็มีส่วนเพราะมีญาติสนิทที่มีปัญหาด้านขับถ่ายและเป็นมะเร็งลำไส้มากกว่า 1 คน
พอโตขึ้นก็เริ่มกินผักผลไม้และดื่มน้ำเยอะขึ้น แต่เจ้าริดซี่ (ซึ่งน่าจะเริ่มมีหัวโผล่ตอนเราอายุ17-18) ก็ยังเป็นๆหายๆ แต่เราก้ไม่เคยหาหมอเพราะอาย เลยหายาเหน็บมาใช้เองตอนมันเริ่มเจ็บมาก และกินเพชรสังฆาต ซึ่งก็ช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่ถ่ายก้อจะมีหัวริดซี่โผล่มา แต่ก็ดันกลับได้ เราเลยรุสึกว่าเราอยู่กับมันได้ ตราบใดที่มันไม่เจ็บมาก (ซึ่งจริงๆใครเป็นแบบนี้แนะนำพบแพทย์นะคะ อย่าปล่อยไว้นานแบบเรา) พอเวลาผ่านไป มันเริ่มมีติ่งเนื้อนิ่มๆโผล่มาด้วย ซึ่งมันดันกลับไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เจ็บเลย เราก็เลยปล่อยไว้เหมือนกัน
จนมาถึงปีนี้ 2566 จำได้เลยว่าเป็นช่วงมกรา เราก็ถ่ายตามปกติ ซึ่งอุจจาระไม่ได้แข็งเลย แทบไม่ต้องเบ่งแต่พอซับก้นละมันมีเลือดติดมา ความแปลกคือเลือดมันออกที่บริเวณที่ไม่ใช่รูทวาร คือเลยขึ้นไปในแนวแก้มก้น เลยลองเอามือจับดูก็รู้สึกเหมือนมีหัวสิว เจ็บๆคันๆนิดหน่อย ตอนนั้นก็คิดว่าเออเป็นสิวมั๊ง ก็ไม่ได้ทำไรกะมันคิดว่าเดี๋ยวมันแห้งไปเอง แต่ปรากฏว่ามันไม่หายไป เลือดและหนองยังออกทุกครั้งที่เช็ด แต่พอมันไม่ได้เจ็บอะไร เราก็ปล่อยมันไว้อีก คิดไว้ว่าเดี๋ยวหายเอง แค่อย่าปล่อยให้ท้องผูก ละเช็ดนำเกลือเพื่อไม่ให้มันอักเสบ จนกระทั่งเดือนสิงหา เริ่มรุสึกว่าเลือดมันออกเยอะขึ้นแบบแทบจะต้องใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา มันไม่เจ็บนะ แต่ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะคิดว่ามันไม่ปกติแล้วจริงๆ (ซึ่งจิงๆไม่ปกติตั้งแต่ริดซี่และติ่งเนื้อละ55)
หมอ (ได้หมอเฉพาะทางพอดี) ก็ตรวจโดยใช้เรื่องมืออะไรซักอย่างแหวกๆตรงก้น ซึ่งไม่ได้เจ็บนะคะ และก็แจ้งเลยว่าเราเป็นหลายอย่างเลยนะ ทั้งฝีคัณฑสูตร ริดสีดวง (หมอแจ้งว่าระยะที่ 3-4) และติ่งเนื้อที่รูทวาร ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่า และควรผ่าให้เร็วเพราะฝีจะลุกลามไปเรื่อยๆ ไม่มียาไหนแก้ไขได้ ต้องผ่าเท่านั้น เราก็อึ้งกันไป พอทำใจได้ก็คุยเรื่องราคาต่อกับพยาบาล แล้วก็แจ้งว่าต้องคุยกับประกันและจะบอกได้ว่าประกันจะครอบคลุมเท่าไหร่ภายใน 5-7 วัน
พอกลับบ้านเราก็เสิร์จหาเรื่องฝีต่อเลย อ่านรีวิวพันทิปไปเยอะเหมือนกัน55 ก็เห็นคนแนะนำคุณหมออรุณ ว่าเชี่ยวชาญเรื่องฝีคัณฑสูตรมาก เลยตัดสินใจนัดคุยกะคุณหมอที่รพ.บำรุงราษฎร์ ในสัปดาถัดไป พอไปเจอก็คุยเรื่องอาการและหมอก็ตรวจดูเล็กน้อย คอนเฟิร์มว่าเป็นฝี ต้องผ่า ซึ่งก็จะเอาริดซี่กะติ่งเนื้อออกไปด้วย ทีนี้เราก็นัดผ่าอีกสามสัปดาห์เพราะต้องเคลียร์งานและให้ไม่ตรงกับช่วงมีปจด. อันนี้เราไม่รีบมากเพราะไม่ได้มีอาการอักเสบหรือปวดอะไรเลย ถ้าใครมีอาการมากหมออาจแนะให้ผ่าทันทีนะ สำหรับราคาเคสเราก็ประมาณ 120k ประกันกลุ่มออกให้ได้เกือบหมด (ถึงตอนนั้นคิดว่าถ้าประกันไม่คลุมก็ยอมจ่ายเองนะเพราะถ้าได้หมอไม่เก่งจริง อาจเลาะท่อฝีไม่หมดหรือผ่ากระทบหูรูดได้)
วันผ่าจริง
งดน้ำและอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อนผ่า ไปรพ. 7 โมงเช้า พยาบาลมาตรวจความดันต่างๆ แล้วก็ให้สวนอุจจาระ (ไม่เจ็บเลยแต่ทรมาณนิดนึงตรงต้องอั้นไว้ 15 นาทีเพื่อให้ยาทำงานเต็มที่) ประมาณสิบโมงก็ถูกพาไปรอห้องก่อนผ่าตัด มีพยาบาลเข้ามาเช็คเป็นระยะ และคุยกับวิสัญญี ตอนแรกที่นัดกันคือดมยา แต่เราดันเป็นหวัดนิดหน่อยวันผ่า มีเสมหะกะน้ำมูก หมอเลยไม้ให้ดมยา แต่เปลี่ยนเป็นบล็อคหลังกะให้ยาเพื่อให้หลับแทน
11 โมงก็ถูกเข็นไปห้องผ่าตัด วิสัญญีก็มาฉีดยา หลังจากนั้นให้นอนคว่ำ แล้วภาพก็ตัด55 รู้สึกตัวอีกทีคือยังอยู่ในห้องผ่าตัดแต่ทำเสร็จแล้ว (น่าจะทำประมาณ 1 ชม.) ส่วนล่างไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น พยาบาลก็พลิกตัว แล้วก็เข็นไปห้องพักฟื้น 2 ชม. หลังจากนั้นก็เข็นเข้าห้องพัก (สบายมาก โชคดีได้ห้องติดสวนลอยด้วย) เราเริ่มหิวก็เลยขอกินข้าว แล้วก็กินน้ำค่อนข้างเยอะ พอตอนเย็นพยาบาลก็พาไปฉี่ แต่ต้องหิ้วปีกไปนั่งรถเข็นนะ เพราะยังเดินไม่ได้ ขายังชาอยู่ แต่ปรากฏว่าฉี่ไม่ออก พยาบาลก้เอาผ้าก็อตที่อยู่ในก้นออกให้ ซึ่งโชคดีมากที่เอาออกตอนนี้ที่ส่วนล่างยังไม่รู้สึกเพราะผ้ามันยัดค่อนข้างลึกละเหนียว ถ้าเอาออกตอนยาชาหมดฤทธิ์อาจกรี๊ดได้55 เสร็จแล้วพยาบาลบอกถ้ายังฉี่ไม่ออกต้องสวน เราพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่ออก ขนาดดื่มน้ำไปเป็นลิตร สรุปก็สวนแล้วฉี่ออกมา 1.2 ลิตร เยอะมาก555 ตอนสวนก็ไม่เจ็บเลยพยาบาลมือเบามากๆ หลังจากนั้นก็ให้สวมกางเกงใน (ที่เราเอามาเอง) และใส่ผ้าอนามัยเพื่อให้ซับเลือดและหนองจากแผลต่อ
พอตอนค่ำหายชาและเดินไปฉี่เองได้แล้ว พอซับแผลก็จะมีเลือดติดทิชชู่มาบ้าง อีกอย่างคือความเจ็บแสบที่แผลเริ่มมา แต่เจ็บขนาดที่ยาแก้ปวดเม็ดเดียวเอาอยู่ ไม่ถึงกับต้องฉีดแก้ปวดอะไร กินแก้ปวดทุกๆ 6 ชม. ระหว่างนั้น พยาบาลก็เข้ามาวัดความดันเรื่อยๆ ละก็ให้กินยาฆ่าเชื้อ วันรุ่งขึ้นตื่นมาก็ยังปวดเท่าเดิม ไม่ได้มากขึ้น เดินได้ปกติเลย เจ็บน้อยกว่าตอนนั่งอีก หมอก็มีเข้ามาคุยแปปนึงว่าจะเจ็บแผลช่วงแรกๆ แต่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องงดอาหารอะไร แผลก็ใช้น้ำประปาล้างทำความสะอาดได้เลย ละซับให้แห้งทุกครั้ง นัดเจอกันอีกที 1 สัปดาห์ พอตอนบ่ายๆพยาบาลก็เอายาสำหรับกลับบ้านมาให้ (มียาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ และยาระบายก่อนนอน) แนะนำให้เลี่ยงพวกเนื้อสัตว์กะอาหารเผ็ดในช่วงแรก พอเคลียร์ประกันกะค่าใช้จ่ายที่เหลือเสร็จก็ออกจากโรงบาลได้ รพ.มีรถไปส่งให้ที่บ้านด้วย ดีมากเลย
พอถึงบ้านเราก็นอนพัก แอบมึนๆละเจ็บแผลมากขึ้นเพราะตอนนั่งรถแผลมันก็ถูกกระทบ (ถนนบ้านเราก็ไม่ได้เรียบอะเนอะ ละนั่งนานเพราะบ้านอยู่ไกลรพ.) ตอนค่ำก็กินข้าวตามปกติ กินน้ำผักปั่นด้วยจะได้ถ่ายง่าย วันรุ่งขึ้นก้อยังเจ็บแผลอยู่นะ ก็กินยาแก้ปวดกันไป ส่วนอาหารจริงๆเราไม่ได้เลี่ยงอะไรมาก แค่ขอให้ไม่เผ็ดมาก กับกินน้ำผักปั่นช่วย ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆด้วย
เราถ่ายหลังผ่าตัดวันที่ 3 (พยาบาลแจ้งว่าปกติ) ซึ่งแอบทรมานอยู่ ไม่ใช่เพราะเจ็บนะ แต่มันออกยากมาก คือเหมือนอุจจาระมันเหนียวละติดอยู่ที่ปากทาง เบ่งมากก้ไม่ได้กลัวแผลปริ เรานั่งส้วมอยู่ครึ่งชม.ปวดขาไปหมด แต่พอผ่านมาได้ก็รู้สึกโล่งมาก โชคดีคือไม่ได้เจ็บมากกว่าปกติ และไม่ได้มีเลือดหรือหนองปนออกมาตอนถ่าย (มีติดเป็นสีชมพูๆที่ทิชชู่ตอนซับแห้ง) พอถ่ายวันถัดไปก็คือออกได้ปกติแล้ว ดีใจมากๆ
อาการตอนนี้
ผ่านมา 5 วันแล้ว เจ็บน้อยลงเยอะ หนองกะเลือดแทบไม่มีเลย แต่ยังใส่ผ้าอนามัยอยู่ตลอดเวลา และเปลี่ยนบ่อยๆถึงแม้จะไม่ค่อยมีเลือดเพื่อความสะอาด อีกอย่างคือหลังฉี่กะถ่ายเสร็จทุกครั้งเราใช้น้ำเกลือ (Normal Saline) ฉีดที่แผลหลังล้างด้วยน้ำประปา เพราะคิดไปว่ายังไงแผลก็น่าจะหายเร็วกว่าไม่ใช้ (หมอบอกน้ำเกลือไม่จำเป็นแต่เราอยากใช้เอง55)
สรุป
ตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ว่าจะหาย 100% มั้ย เพราะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่วัน แต่จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าคิดถูกมากที่ไปปรึกษาหมอและทำการผ่าตัดซึ่งผ่านไปได้ด้วยดีและยังไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ
หลังจากนี้จะเข้ามาอัพเดทเรื่อยๆ (ถ้าไม่ลืมอย่างที่บอก) ใครสงสัยอะไร ถามทิ้งไว้ได้นะคะ จะพยายามเข้ามาตอบให้