https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/34
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๓๔
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. โอชะ คืออาหารที่เรารับประทาน มีรสชาติไหม มีอ่อนมีแข็งไหม นั่นคือธาตุดิน แล้วก็มีธาตุไฟธาตุน้ำธาตุลมรวมอยู่ด้วย อาหารที่รับประทานเข้าไปมีประโยชน์หรือเปล่า ส่วนที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เกิดรูปต่อไป เป็นอาหาร เป็นโอชะ ภาษาไทยเอามาใช้ว่าอร่อย แต่อร่อยนี้คือรสที่เราชอบ แต่ไม่ใช่โอชะ รสคือรส แต่ในอาหารจะมีธาตุดินน้ำไฟลมจะมีส่วนที่เป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่จะทำให้เกิดรูปต่อไป อันนั้นคือโอชะ พระธรรมนั้นทำให้เราเข้าใจทุกอย่างถูกต้อง ต้องศึกษา ไม่มีใครเลยที่จะมีสติปัญญารู้อะไรไปหมดโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทาง เข้าใจอะไรก็เข้าใจผิดทั้งนั้นถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม
ถ. ต้นไม้ทุกๆ ต้นนี้ใหญ่ขึ้นก็มีโอชารูปไหม
ส. ไม่ใช่ (ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้น) เพราะอุตุความเย็นความร้อน นี้ต้องแยกกัน คือ สมุฏฐานทั้ง ๔ นี้ไม่เหมือนกันเลย ในร่างกายของเรามีรูปซึ่งเกิดจากกรรม มีรูปซึ่งเกิดจากจิต มีรูปซึ่งเกิดจากอุตุความเย็นความร้อน มีรูปซึ่งเกิดจากอาหาร แต่นอกร่างกายแล้วทั้งหมดมีแต่เพียงรูปที่เกิดจากอุตุเท่านั้น ไม่มีรูปที่เกิดจากกรรม ไม่มีรูปที่เกิดจากจิต ไม่มีรูปที่เกิดจากอาหาร ไม่มีการบริโภคอาหารเลย เพราะฉะนั้นต้นไม้ใบหญ้าเจริญเติบโตด้วยอุตุ ปุ๋ยต่างๆ นี้คืออุตุทั้งนั้น ความเย็นความร้อน และส่วนผสมของธาตุดินน้ำไฟลม ทุกอย่างในอะไรก็ตามซึ่งอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นมหาภูตรูป ต้องมีอีก ๔ รูปรวมกันอยู่ด้วย คือต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชะ
ถ. ถ้าอย่างนั้นที่กล่าวว่า รูปที่มีใจครองกับรูปที่ไม่มีใจครอง อย่างต้นไม้เรียกว่าเป็นรูปที่ไม่มีใจครองได้ไหม
ส. เก้าอี้ โต๊ะ ไม่มีใจครองทั้งนั้น
ถ. ในรูป ๒๘ รูป มีลักขณรูป…
ส. อันนั้นหมายความถึงต้องเกิดดับ รูปทั้งหมดต้องเกิดดับ ทุกรูปที่เกิดต้องดับ อันนี้ลืมไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกิดแล้วต้องดับอย่างเร็วด้วยไม่รอช้าเลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเก่า ทุกอย่างเสื่อม เพราะการเกิดดับอย่างเร็วมาก
ถ. ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม้นี้ก็เป็นอาหาร ดิฉันเคยสงสัยว่า รูปที่ไม่มีใจครองก็เป็นอาหาร สงสัยว่ามันจะเป็นอาหารอย่างไร พอท่านอาจารย์บอกว่า ปลวกกินไม้ ไม่เข้าใจว่า ตัวของมันเองก็ต้องเป็นอาหาร
ส. เราต้องเข้าใจหลักว่า ต้องมีธาตุดินน้ำไฟลม ๔ เป็นมหาภูตรูปแล้วยังไม่พอ เมื่อมีมหาภูตรูปแล้วต้องมีอีก ๔ รูป เกิดร่วมด้วยทุกครั้งไป รวม ๘ รูปแยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะหมดความสงสัย ไม่ว่าไม้นี่ก็ต้องมีอาหาร ทุกอย่างที่มีธาตุดินน้ำไฟลมต้องมีโอชะ
ถ. ท่านอาจารย์กล่าวว่า อุปาทายรูป
ส. ได้แก่รูปใดก็ตามที่ไม่ใช่มหาภูตรูป รูปอื่นทั้งหมดเป็น อุปาทายรูป ในความถึงรูปที่อาศัยเกิดจากมหาภูตรูป รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป เป็นมหาภูตรูป ๔ เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นรูปที่เหลือเป็นอุปาทายรูปทั้งหมด คือไม่ใช่มหาภูตรูปนั่นเอง ทีนี้เวลารับประทานอาหารเราก็รู้ได้เลยว่าเรารับประทานทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทั้งสีทั้งกลิ่นทั้งรสทั้งโอชะ แต่เฉพาะโอชะเท่านั้นที่ทำให้ร่างกายทรงอยู่ ดำรงอยู่ได้ หรือเจริญเติบโตขึ้น
ถ. เรื่องอาโปธาตุ ที่อาจารย์บอกว่าน้ำในแก้วไม่ใช่อาโป หมายความว่ามีส่วนผสมทุกธาตุอยู่ในน้ำ
ส. เราเรียกว่า น้ำ แล้วเราก็แปล อาโป ว่า ธาตุน้ำ แต่ไม่ใช่หมายความว่าน้ำในแก้ว
ธาตุน้ำคือธาตุซึ่งเกาะกุมรูปอื่นซึ่งเกิดรวมกัน เวลาหลับตาแล้วเอามือสัมผัสน้ำ จะรู้ไหมว่าเป็นน้ำ จำได้ไหม อาจจะมีลักษณะที่เหลวที่เบาก็ทำให้ทรงจำได้ว่าเป็นน้ำ
แต่จริงๆ แล้วกำลังกระทบสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน อย่างน้ำร้อนนี้จับดูก็ร้อนกระทบดูก็ร้อน
ลักษณะของธาตุน้ำหายไปไหน มีแต่ลักษณะของธาตุไฟที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าไม่แยกจากกัน แล้วแต่ว่าอันไหนจะเป็นใหญ่พอที่จะให้เราสามารถเทียบเคียงรู้ลักษณะนั้นได้ เช่นที่เราเรียกว่า น้ำ ก็คือธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งเหลวและก็ไหลได้ และกระทบสัมผัสเราก็เรียกลักษณะอาการนั้นว่าน้ำ แต่ต้องมีอ่อนหรือแข็งเวลาที่กระทบสัมผัส
ถ. น้ำเลือด น้ำหนอง …
ส. เหมือนกันหมดทุกชนิด จะน้ำอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น
คือต้องไม่ขาดธาตุดินน้ำไฟลม แล้วแต่ว่าส่วนผสมของอะไรมากกว่า
ถ. ส่วนธาตุไฟที่มีอยู่ในกาย จะทำงานโดยย่อยอาหาร นอกจากนั้นแล้วจะเป็นอะไร
ส. ก็บำรุงร่างกายให้อบอุ่น ถ้ามากไปก็ป่วยไข้
ถ. ธาตุลม ลมหายใจและกิริยาที่เราเคลื่อนไหว เพราะว่ามีธาตุลมอยู่
ส. ไหวไปด้วยอาการของธาตุลม ที่เกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร มองดูแล้วก็คือธาตุ ไม่น่าจะเป็นของเราเลยใช่ไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ถ้าลึกลงไปจริงๆ ที่ปัญญาเราสามารถจะรู้ได้เห็นความจริงได้ นี่แสดงให้เห็นระดับของปัญญาที่ต่างกัน ระดับนี้ยุคนี้แสดงเรื่องรูป ๒๘ รูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังเป็นตัวเราเป็นของเรา แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามากๆ จะรู้เลย สามารถที่จะแทงตลอดในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เวลาที่กระทบสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงฟังสามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ ถึงการเกิดขึ้นและดับไปด้วย
ถ. ถึงขั้นพระโสดาบันหรือไม่
ส. ก่อนขั้นพระโสดาบัน วิปัสสนาญาณต้องเกิด สติปัฏฐานต้องเกิด ปัญญาที่ค่อยๆ อบรมไป สติต้องระลึกรู้ทีละเล็กทีละน้อย การเป็นพระอริยบุคคลนั้นเป็นด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ แล้วก่อนปัญญาจะเกิดถึงความเป็นพระอริยะ ปัญญานั้นต้องมาจากการสะสมทีละเล็กทีละน้อย ไม่อย่างนั้นพระอริยะก็เต็มบ้านเต็มเมือง
ถ. หมายความว่าต้องประจักษ์
ส. แต่ก่อนที่จะประจักษ์ ต้องมีหนทางที่จะทำให้ประจักษ์
เวลาหลับตาแล้วเอามือสัมผัสน้ำ มือกำลังกระทบธาตุน้ำ หรือว่ากำลังกระทบธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม?
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/34
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๓๔
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. โอชะ คืออาหารที่เรารับประทาน มีรสชาติไหม มีอ่อนมีแข็งไหม นั่นคือธาตุดิน แล้วก็มีธาตุไฟธาตุน้ำธาตุลมรวมอยู่ด้วย อาหารที่รับประทานเข้าไปมีประโยชน์หรือเปล่า ส่วนที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เกิดรูปต่อไป เป็นอาหาร เป็นโอชะ ภาษาไทยเอามาใช้ว่าอร่อย แต่อร่อยนี้คือรสที่เราชอบ แต่ไม่ใช่โอชะ รสคือรส แต่ในอาหารจะมีธาตุดินน้ำไฟลมจะมีส่วนที่เป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่จะทำให้เกิดรูปต่อไป อันนั้นคือโอชะ พระธรรมนั้นทำให้เราเข้าใจทุกอย่างถูกต้อง ต้องศึกษา ไม่มีใครเลยที่จะมีสติปัญญารู้อะไรไปหมดโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทาง เข้าใจอะไรก็เข้าใจผิดทั้งนั้นถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม
ถ. ต้นไม้ทุกๆ ต้นนี้ใหญ่ขึ้นก็มีโอชารูปไหม
ส. ไม่ใช่ (ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้น) เพราะอุตุความเย็นความร้อน นี้ต้องแยกกัน คือ สมุฏฐานทั้ง ๔ นี้ไม่เหมือนกันเลย ในร่างกายของเรามีรูปซึ่งเกิดจากกรรม มีรูปซึ่งเกิดจากจิต มีรูปซึ่งเกิดจากอุตุความเย็นความร้อน มีรูปซึ่งเกิดจากอาหาร แต่นอกร่างกายแล้วทั้งหมดมีแต่เพียงรูปที่เกิดจากอุตุเท่านั้น ไม่มีรูปที่เกิดจากกรรม ไม่มีรูปที่เกิดจากจิต ไม่มีรูปที่เกิดจากอาหาร ไม่มีการบริโภคอาหารเลย เพราะฉะนั้นต้นไม้ใบหญ้าเจริญเติบโตด้วยอุตุ ปุ๋ยต่างๆ นี้คืออุตุทั้งนั้น ความเย็นความร้อน และส่วนผสมของธาตุดินน้ำไฟลม ทุกอย่างในอะไรก็ตามซึ่งอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นมหาภูตรูป ต้องมีอีก ๔ รูปรวมกันอยู่ด้วย คือต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชะ
ถ. ถ้าอย่างนั้นที่กล่าวว่า รูปที่มีใจครองกับรูปที่ไม่มีใจครอง อย่างต้นไม้เรียกว่าเป็นรูปที่ไม่มีใจครองได้ไหม
ส. เก้าอี้ โต๊ะ ไม่มีใจครองทั้งนั้น
ถ. ในรูป ๒๘ รูป มีลักขณรูป…
ส. อันนั้นหมายความถึงต้องเกิดดับ รูปทั้งหมดต้องเกิดดับ ทุกรูปที่เกิดต้องดับ อันนี้ลืมไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกิดแล้วต้องดับอย่างเร็วด้วยไม่รอช้าเลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเก่า ทุกอย่างเสื่อม เพราะการเกิดดับอย่างเร็วมาก
ถ. ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม้นี้ก็เป็นอาหาร ดิฉันเคยสงสัยว่า รูปที่ไม่มีใจครองก็เป็นอาหาร สงสัยว่ามันจะเป็นอาหารอย่างไร พอท่านอาจารย์บอกว่า ปลวกกินไม้ ไม่เข้าใจว่า ตัวของมันเองก็ต้องเป็นอาหาร
ส. เราต้องเข้าใจหลักว่า ต้องมีธาตุดินน้ำไฟลม ๔ เป็นมหาภูตรูปแล้วยังไม่พอ เมื่อมีมหาภูตรูปแล้วต้องมีอีก ๔ รูป เกิดร่วมด้วยทุกครั้งไป รวม ๘ รูปแยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะหมดความสงสัย ไม่ว่าไม้นี่ก็ต้องมีอาหาร ทุกอย่างที่มีธาตุดินน้ำไฟลมต้องมีโอชะ
ถ. ท่านอาจารย์กล่าวว่า อุปาทายรูป
ส. ได้แก่รูปใดก็ตามที่ไม่ใช่มหาภูตรูป รูปอื่นทั้งหมดเป็น อุปาทายรูป ในความถึงรูปที่อาศัยเกิดจากมหาภูตรูป รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป เป็นมหาภูตรูป ๔ เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นรูปที่เหลือเป็นอุปาทายรูปทั้งหมด คือไม่ใช่มหาภูตรูปนั่นเอง ทีนี้เวลารับประทานอาหารเราก็รู้ได้เลยว่าเรารับประทานทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทั้งสีทั้งกลิ่นทั้งรสทั้งโอชะ แต่เฉพาะโอชะเท่านั้นที่ทำให้ร่างกายทรงอยู่ ดำรงอยู่ได้ หรือเจริญเติบโตขึ้น
ถ. เรื่องอาโปธาตุ ที่อาจารย์บอกว่าน้ำในแก้วไม่ใช่อาโป หมายความว่ามีส่วนผสมทุกธาตุอยู่ในน้ำ
ส. เราเรียกว่า น้ำ แล้วเราก็แปล อาโป ว่า ธาตุน้ำ แต่ไม่ใช่หมายความว่าน้ำในแก้ว ธาตุน้ำคือธาตุซึ่งเกาะกุมรูปอื่นซึ่งเกิดรวมกัน เวลาหลับตาแล้วเอามือสัมผัสน้ำ จะรู้ไหมว่าเป็นน้ำ จำได้ไหม อาจจะมีลักษณะที่เหลวที่เบาก็ทำให้ทรงจำได้ว่าเป็นน้ำ แต่จริงๆ แล้วกำลังกระทบสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน อย่างน้ำร้อนนี้จับดูก็ร้อนกระทบดูก็ร้อน ลักษณะของธาตุน้ำหายไปไหน มีแต่ลักษณะของธาตุไฟที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าไม่แยกจากกัน แล้วแต่ว่าอันไหนจะเป็นใหญ่พอที่จะให้เราสามารถเทียบเคียงรู้ลักษณะนั้นได้ เช่นที่เราเรียกว่า น้ำ ก็คือธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งเหลวและก็ไหลได้ และกระทบสัมผัสเราก็เรียกลักษณะอาการนั้นว่าน้ำ แต่ต้องมีอ่อนหรือแข็งเวลาที่กระทบสัมผัส
ถ. น้ำเลือด น้ำหนอง …
ส. เหมือนกันหมดทุกชนิด จะน้ำอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น คือต้องไม่ขาดธาตุดินน้ำไฟลม แล้วแต่ว่าส่วนผสมของอะไรมากกว่า
ถ. ส่วนธาตุไฟที่มีอยู่ในกาย จะทำงานโดยย่อยอาหาร นอกจากนั้นแล้วจะเป็นอะไร
ส. ก็บำรุงร่างกายให้อบอุ่น ถ้ามากไปก็ป่วยไข้
ถ. ธาตุลม ลมหายใจและกิริยาที่เราเคลื่อนไหว เพราะว่ามีธาตุลมอยู่
ส. ไหวไปด้วยอาการของธาตุลม ที่เกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร มองดูแล้วก็คือธาตุ ไม่น่าจะเป็นของเราเลยใช่ไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ถ้าลึกลงไปจริงๆ ที่ปัญญาเราสามารถจะรู้ได้เห็นความจริงได้ นี่แสดงให้เห็นระดับของปัญญาที่ต่างกัน ระดับนี้ยุคนี้แสดงเรื่องรูป ๒๘ รูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังเป็นตัวเราเป็นของเรา แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามากๆ จะรู้เลย สามารถที่จะแทงตลอดในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เวลาที่กระทบสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงฟังสามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ ถึงการเกิดขึ้นและดับไปด้วย
ถ. ถึงขั้นพระโสดาบันหรือไม่
ส. ก่อนขั้นพระโสดาบัน วิปัสสนาญาณต้องเกิด สติปัฏฐานต้องเกิด ปัญญาที่ค่อยๆ อบรมไป สติต้องระลึกรู้ทีละเล็กทีละน้อย การเป็นพระอริยบุคคลนั้นเป็นด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ แล้วก่อนปัญญาจะเกิดถึงความเป็นพระอริยะ ปัญญานั้นต้องมาจากการสะสมทีละเล็กทีละน้อย ไม่อย่างนั้นพระอริยะก็เต็มบ้านเต็มเมือง
ถ. หมายความว่าต้องประจักษ์
ส. แต่ก่อนที่จะประจักษ์ ต้องมีหนทางที่จะทำให้ประจักษ์