JJNY : ก้าวไกลร้อง“ว่าที่ รมว.ยธ.” คืนสิทธิประกันตัว│พท.เสนอ แก้ ก.ม.│ส.อ.ท.หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น│ยูเครนหวังลุยกลับรัสเซีย

“ส.ส.ก้าวไกล” เรียกร้อง “ว่าที่ รมว.ยุติธรรม” คืนสิทธิประกันตัวให้นักโทษทางการเมือง ม.112
https://www.matichon.co.th/politics/news_4155932
 
 
“ส.ส.ก้าวไกล” เรียกร้อง “ว่าที่ รมว.ยุติธรรม” คืนสิทธิประกันตัวให้นักโทษทางการเมือง ม.112 ยก “วารุณี-เวหา” แลกชีวิตกับสิทธิพึงมีทางกฎหมาย

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล แถลงเรียกร้องคืนสิทธิการประกันตัวแก่นักโทษคดีทางการเมือง โดยเฉพาะคดีอาญา มาตรา 112 ว่า ขอส่งสารไปยังว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ เพื่อให้รู้ว่า ขณะนี้ยังมีคนอยู่ในเรือนจำ กำลังอดอาหารเพื่อแลกกับสิทธิที่เขาพึงมีแต่กลับถูกพรากไป เช่น กรณีของ “วารุณี – เวหา” ผู้ต้องขังทางการเมือง รวมถึงผู้ที่ถูกคุมขังคนอื่นๆ โดยกรณีของวารุณีนั้น ถูกควบคุมตัวมาแล้ว 65 วัน และเรียกร้องสิทธิการประกันตัวด้วยการอดอาหารตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และยกระดับด้วยการอดน้ำตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา
 
ล่าสุด ได้รับรายงานจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า เขาได้รับการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เนื่องจากอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ส่วนกรณีของเวหานั้น ขณะนี้ร่างกายก็เริ่มอ่อนเพลียเช่นเดียวกัน นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างของประชาชนที่กำลังต่อสู้เรื่อง มาตรา 112 และปัจจุบันมีผู้ถูกควบคุมตัวด้วยคดีทางการเมืองอย่างน้อย 7 คน
 
น.ส.ชลธิชา กล่าวอีกว่า กระบวนการยุติธรรมของบ้านเราต้องล้มเหลวขนาดไหน ที่ประชาชนถึงเอาชีวิตเข้ามาแลกกับสิทธิพึงมีทางกฎหมาย ซึ่งสิทธิในการประกันตัวถูกรับรองอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้ต้องหา หรือจำเลย ไม่มีความผิดก่อนจะมีคำพิพากษาอย่างที่สุด” หมายความว่า ศาลต้องให้สิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหารือจำเลยในระหว่างที่กำลังสู้คดีอยู่ ซึ่งกรณีของ วารุณี แม้ว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ จึงมีสิทธิที่จะได้รับการประกันตัว และต่อสู้ต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ต้องยอมรับว่า ประชาชนไม่อาจไว้วางใจให้กับกระบวนการยุติธรรม หรือเหตุใดสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาในคดี มาตรา 112 ถึงถูกเลือกปฏิบัติ และที่สำคัญยังมีการผลักภาระให้กับจำเลยในการยื่นประกันตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
เพื่อไม่ให้กระบวนการยุติธรรมไร้ความศรัทธาจากประชาชนไปมากกว่านี้ ในนามพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า จะผลักดันประเด็นนี้ต่อไปแน่นอน ดังนั้น การยื่นร่างแก้ไข มาตรา 112 จะเป็นเรื่องที่ดำเนินการอย่างแน่นอน” น.ส.ชลธิชา ระบุ

น.ส.ชลธิชา กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลได้มีการตั้งทีมทำงานแก้ไข ป.วิอาญา 108 และ 108/1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิการประกันตัวอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเดินหน้านโยบายการนิรโทษกรรม
 


สส.เพื่อไทย เสนอ แก้ ก.ม.ให้ผู้เสียหายจากการกระทำจนท.รัฐฟ้องคดีเองได้
https://www.thairath.co.th/news/politic/2721511

"ชูศักดิ์-ชลน่าน" นำ "สส.เพื่อไทย" เข้าชื่อร่วมกัน เสนอแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ เปิดทางผู้เสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐฟ้องคดีเอง เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ประชาชน ชี้ควรให้สิทธิผู้เสียหาย นำคดีขึ้นสู่ศาลได้ 
 
วันที่ 31 ส.ค. 2566 นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พร้อม สส. พรรคเพื่อไทย ได้เข้าชื่อร่วมกันยื่นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณา อันจะเป็นการเปิดทางให้ผู้เสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยการฟ้องคดีเพื่อพิสูจน์ความยุติธรรมได้
 
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า สส.พรรคเพื่อไทย ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีสาระสำคัญ คือ เราอยากให้สิทธิผู้เสียหายในการที่จะฟ้องคดีได้เอง ในกรณีที่ 
 
1. ป.ป.ช.สั่งไม่รับคำร้อง หรือ 
2. กรณี ป.ป.ช.สั่งว่าคดีไม่มีมูล 
 
ซึ่งเราก็คิดว่าเรื่องไม่น่าจะจบที่ ป.ป.ช.เท่านั้น ควรส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดไปพิจารณา หากอัยการสูงสุด เห็นว่า มีมูลก็ให้สามารถสั่งฟ้องได้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ในกรณีไม่มีคดีที่จะนำสู่ศาลได้ โดยสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งไม่รับคำร้อง หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ควรจะให้สิทธิผู้เสียหายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ เพื่อพิสูจน์ความยุติธรรม แสวงหาความเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยการฟ้องคดีได้เอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็จะทำให้กระบวนการยุติธรรมคุ้มครองผู้เสียหาย ไม่ใช่เพียงแค่ ป.ป.ช. สั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งไม่มีมูลแล้วยุติหรือสิ้นสุดเลยโดยผู้เสียหายก็ไม่ได้รับการเยียวยาโดยประการอื่นใด นอกจากนี้ยังเป็นการเสนอแก้ไขกฎหมายการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบคู่กัน เมื่อให้สิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีได้เองก็ควรให้สิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
  
ขณะที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เมื่อได้รับร่างแก้ไขกฎหมายมาแล้ว ก็จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความสมบูรณ์ของรายชื่อและข้อบังคับ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะเร่งบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม เป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ



ส.อ.ท. หวั่นภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ฉุดการลงทุนใหม่
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1086231

ส.อ.ท.เผยผลสำรวจผู้บริหาร FTI Poll กังวลแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ฉุดกำลังซื้อผู้บริโภค แตะเบรกเอกชนชะลอการลงทุนใหม่
 
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจผู้บริหาร FTI Poll ครั้งที่ 32 ในเดือนส.ค. 2566 ภายใต้หัวข้อ “อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” ว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ ค่อนข้างมีความกังวลมากกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2566 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 2.25% สูงสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
  
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก จากที่นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายปีนี้ และอาจกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องมีการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน 
 
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องกำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัว จากภาระดอกเบี้ยเงินกู้และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจเกิดแรงกดดันที่อาจส่งผลทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริงทำได้ยากขึ้น ตลอดจนต้องชะลอการลงทุนใหม่ออกไป 
 
ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ให้ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ มีการกำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง
 
รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้นและขอให้ ธปท. พิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อนในช่วงนี้ 
 
ขณะเดียวกัน ต้องหาแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงและกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาลยกระดับปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่การเข้ามาดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ เพื่อลดภาระให้ประชาชนมีเงินเหลือใช้มากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีรายได้จากการทำงาน 
 
การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี และส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐในการนำมาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจรต่อไป    
 
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 216 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 32 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
 
1.  กรณี ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.25% ต่อปี ท่านมีความกังวลมากน้อยอย่างไร?
อันดับที่ 1 : มาก  60.2% 
อันดับที่ 2 : ปานกลาง  33.3%
อันดับที่ 3 : น้อย  6.5%
 
2.  ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : กำลังซื้อสินค้าของประชาชนลดลงจากภาระอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น  64.8%
อันดับที่ 2 : ทำให้เกิดแรงกดดันที่อาจทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริง ทำได้ยากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 62.0%
อันดับที่ 3 : ชะลอการลงทุนใหม่ และมีการปรับลดกำลังการผลิตลงจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น   56.5%
อันดับที่ 4 : สถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ    46.8%

3.  ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการรับมืออัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 70.4%
อันดับที่ 2 : ชะลอการลงทุน ปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน    67.1%
อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างหนี้ให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความสามารถในการดำเนินธุรกิจ     42.6%
อันดับที่ 4 : หาแหล่งเงินทุนใหม่นอกเหนือจากการกู้เงินผ่านสถาบันการเงิน เช่น การระดมทุน  31.5%              
 
4.  ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs   68.5%
อันดับที่ 2 : กำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น  67.1%
อันดับที่ 3 : ธปท. ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย     58.8%
อันดับที่ 4 : ขยายระยะเวลามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ (ฟ้า-ส้ม) ออกไปอีก 2 ปี 36.1%
 
5.  ภาครัฐควรมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงอย่างไร (Multiple choices) 
อันดับที่ 1 : มาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น  67.6%
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ มีรายได้จากการทำงาน 61.6%
อันดับที่ 3 : มาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย การให้สิทธิประโยชน์เพิ่ม เป็นต้น    60.2%
อันดับที่ 4 : ส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ    58.3%
 
6.  คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายในสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ระดับใด 
อันดับที่ 1 : 2.25% ต่อปี 37.5%
อันดับที่ 2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่