สังเกตกันไหมคะว่าช่วงนี้คนรอบ ๆ ตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะมาก (และบ่อยมาก) พอเจอรีวิวเยอะ ๆ เข้า ก็เหมือนโดนสะกดจิตให้ตกหลุมรักญี่ปุ่นผ่านหน้าจอไปซะแล้ว ที่กินเอย ที่เที่ยวเอย วิวก็ดีไปหมด แถมยังเดินทางสะดวกอีก พอเอาหลาย ๆ เหตุผลมามัดรวมกัน ทำให้ใคร ๆ ต่างก็เทใจ ยกให้เป็นประเทศในฝันที่พูดได้เต็มปากเลยว่าต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่าง
กรุงโตเกียวที่ติดโผที่เที่ยวญี่ปุ่นเป็นอันดับต้น ๆ ตลอด แถมยังมีพิกัดฮิต ๆ แทบจะทุกย่าน อย่างถ้าเป็นที่ที่ป๊อปสุด ๆ ของโตเกียวก็เช่น
โตเกียวโดมซิตี้ในย่านบุงเกียว
พิพิธภัณฑ์สตูดิโอจิบลิ และ
ซานริโอ พูโรแลนด์ในย่านทามะ ย่านช็อปปิ้งเด็ด ๆ อย่าง
ชินจุกุหรือ
ชิบูย่า ย่าน
คาบุกิโจสำหรับสายท่องราตรีเน้น ๆ หรือจะเป็น
ศาลเจ้าเมจิในย่านฮาราจูกุที่เป็นทั้งที่พึ่งทางใจและที่พักผ่อนหย่อนใจ โตเกียวจึงถือได้ว่าเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวมาแวะเวียนกันไม่ขาดสาย ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นน่ะไปกี่รอบก็ไม่พอหรอก ใครที่คิดถึงญี่ปุ่นหรือห่างหายจากญี่ปุ่นไปนาน วันนี้เราจะขอมา
อัปเดตคู่มือเที่ยวโตเกียวฉบับปี 2023 พร้อมที่เที่ยวญี่ปุ่นกันให้หายคิดถึงไปเลย ไปญี่ปุ่น-โตเกียวทริปนี้ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แลกเงินที่ไหน ใช้ซิมการ์ดแบบไหนดี การเดินทางในโตเกียวจะยากรึเปล่า แล้วตอนนี้มีที่เที่ยวญี่ปุ่นที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง มาอัปเดตไปพร้อม ๆ กันเล้ย Let’s go!
Mini Update Guide คู่มือ (เตรียม) เที่ยวโตเกียวฉบับรวบรัด
เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
เอาละ ก่อนออกสตาร์ทไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน อันดับแรกที่ต้องมีคือตั๋วเครื่องบิน จะจองกับเว็บฯ ของสายการบินโดยตรงเลยก็ได้ หรือจะจองผ่าน Agent ก็สะดวกดีเหมือนกัน หลังจากได้ตั๋วมาแล้ว ก็ขยับสเต็ปมาเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางกันต่อเลย
• จองที่พักให้เหมาะกับแพลนเที่ยว : หลังจากจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ถ้าได้ที่พักทำเลดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งทำเลที่น่าสนใจในโตเกียว ส่วนใหญ่จะเป็นย่านชินจูกุ ชิบูย่า อิเคะบุคุโระ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าย่านใจกลางเมืองแบบนี้ราคาที่พักอาจจะสูงหน่อย แต่ก็แลกมากับความสะดวกในการเดินทาง ช็อปเหนื่อยก็แวะมาพัก ดร็อปของแล้วก็ออกไปตะลุยกันต่อได้ แต่ถ้าเน้นราคากลาง ๆ แบบไม่เกินงบ จะเลือกทำเลในย่านใกล้เคียงก็ย่อมได้ ใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกที่พักราคาเท่าไหร่ เน้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟให้เดินทางง่ายไว้ก่อนจะดีที่สุด
ซึ่งการจองที่พัก ก็มีทั้งแบบจองกับที่พักโดยตรง กับจองผ่านตัวแทน หรือ Agent ถ้าอยากได้ความสะดวก เลือกดูราคาได้ตามโจทย์แบบไม่ต้องเทียบราคาทีละโรงแรม หรือจะจองเที่ยวบินพร้อมกับจองที่พักด้วยในครั้งเดียวแบบสบายสุด ๆ แนะนำว่าใช้บริการเว็บไซต์ Traveloka โลด เข้าเว็บเดียวเดียว พร้อมเที่ยวได้เลย ดูรายละเอียดหรือ
จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ได้ที่นี่เลย
• เช็กข้อมูลสถานที่ + แพลนที่เที่ยวให้พร้อม : มาถึงที่เที่ยวกันบ้าง เพื่อความชัวร์ว่าไปถึงที่ญี่ปุ่นแล้วแพลนจะไม่ล่ม ให้เราทำลิสต์ที่เที่ยวญี่ปุ่นที่เราอยากไป และเช็ก วันเวลา เปิด-ปิด ของสถานที่นั้น ๆ ไว้ก่อนเลย เผื่อวันชนกัน หรือที่เที่ยวบางแห่ง/ บางงานจัดแสดงอาจจะไม่ได้เปิดถาวร มีเปิดเป็นแค่ช่วง ๆ ตามซีซัน ถ้ารู้ก่อนก็จะได้เปลี่ยนแพลนได้ทันก่อนจองตั๋ว อย่าลืมเช็กเรื่องการจองตั๋วที่เที่ยว-ตั๋วรถไฟใด ๆ ที่ต้องจองล่วงหน้าให้พร้อมก่อนออกเดินทางด้วยน้า เพราะบางทีถ้าไปรอซื้อหน้างาน ตั๋วอาจจะหมด หรือต้องเสียเวลารอคิวเป็นชั่วโมงกันเลย
• เช็กสภาพอากาศในช่วงที่วางแผนจะไป : ตั๋วเครื่องบินก็มีแล้ว ที่พักก็จองแล้ว ที่เที่ยวก็เช็กข้อมูลเรียบร้อยแล้ว การเช็กสภาพอากาศก่อนไปก็เป็นอีกสเต็ปที่สำคัญมาก เพราะแต่ละช่วงที่เราไปจะส่งผลกับการเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่ต้องพกติดตัวไปด้วย มาดูกันดีกว่าว่า ฤดูกาลต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น มีอะไร และต้องเตรียมเสื้อผ้ายังไงบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิ (2°C - 24°C)
เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม : อากาศยังคงเย็นสบาย ในช่วงนี้แนะนำให้สวมสเวตเตอร์ หรือเสื้อโค้ตบาง ๆ พอเริ่มขยับเข้าสู่เดือนพฤษภาคมก็อาจจะใส่เสื้อแขนสั้นหรือเสื้อผ้าที่มีความทะมัดทะแมงมากขึ้น
ฤดูร้อน (16°C - 30°C)
เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม : ต้นเดือนมิถุนายนจะเริ่มต้นด้วยหน้าฝน จากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่อนข้างมีความอบอ้าว แนะนำให้สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน และอย่าลืมพกน้ำดื่มและร่มติดตัวไปด้วยเสมอ
ฤดูใบไม้ร่วง (7°C - 27°C)
เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน : อากาศเริ่มกลับมาเย็น แต่อาจมีพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำเป็นช่วง ๆ และอุณหภูมิจะลดลงในช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันแนะนำให้สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ระบายอากาศได้ดี และอาจจะทับด้วยสเวตเตอร์ ส่วนกลางคืนควรสวมเสื้อคลุมหนา ๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ฤดูหนาว (-6°C - 20°C)
เดือนธันวาคมถึงมีนาคม : ช่วงเดือนธันวาคมอากาศจะเย็นลง และจะหนาวไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ บางพื้นที่อุณหภูมิจะลดลงถึง -6°C ในช่วงกลางคืนและในช่วงเช้า พื้นที่ทั่วไปที่ไม่มีหิมะ แนะนำให้สวมสเวตเตอร์หรือเสื้อโค้ตบาง ๆ ส่วนในพื้นที่ที่มีหิมะ ให้สวมเสื้อโค้ตหนาหรือเสื้อโค้ตกันลมกันหิมะ (ให้เตรียมรองเท้า ถุงมือ และที่ปิดหูไปด้วย)
การแลกเงิน
เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการแลกเงินตราต่างประเทศ เราต้องไปใช้บริการกันที่ธนาคาร หรือร้านรับแลกเงิน แต่ละที่ก็มีเรตราคาที่ต่างกันออกไป (ก่อนแลกเงิน อย่าลืมเช็กอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินอยู่ตลอด ๆ ด้วยนะ) แต่เมื่อโลกการเดินทางง่ายขึ้น สะดวกขึ้น การแลกเงินก็ถูกทำให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย ด้วยบัตร
Travel Card ซึ่งก็คือบัตรเดบิต/ บัตรเครดิตที่สามารถแลกสกุลเงินต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารนั้น ๆ ได้เลย ตอนไหนเรตแลกเงินคุ้มก็ค่อย ๆ ทยอยแลกเก็บไว้ได้ ข้อดีของบัตรแบบนี้คือไม่ทำให้กระทบเงินเก็บ ยิ่งถ้ามีแพลนล่วงหน้า ค่อย ๆ ทยอยแลกไว้ยิ่งดี พอถึงวันเดินทางก็ใช้บัตรรูดจ่ายสินค้า/ บริการ หรือใช้กดเงินสดจากตู้ ATM ได้
อย่างถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็สามารถใช้บัตร Travel Card กดเงินจากตู้ ATM ที่นั่นได้เลย อาจจะมีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าสะดวกดี ใครที่ไม่อยากพกบัตรเครดิต และไม่อยากไปรอแลกเงิน ตัวเลือกนี้ตอบโจทย์มาก แต่จะไม่เตรียมพกเงินสดไปเลยก็ไม่ได้ เพราะบางสถานที่ก็รับเฉพาะเงินสดเท่านั้น และบางครั้งพอไปถึงที่นู่นแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ ขอแนะนำให้
แลกเงินสดพกติดตัวมาด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหนึ่งทริป จะเตรียมเงินไปเท่าไหร่ดีนะ อาจจะฟันธงแบบเป๊ะ ๆ ได้ยากมาก ฮ่า ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน แต่หลัก ๆ แล้ว ค่าอาหาร ค่าเดินทางเฉลี่ย หนึ่งวันหนึ่งคน จะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 เยน ไปกี่วันก็คูณตามจำนวน ก็พอจะได้งบประมาณที่ต้องเตรียมไปแบบคร่าว ๆ
ซิมการ์ด
เช็กลิสต์ต่อมาที่ไม่เตรียมไม่ได้ก็คือเรื่องซิมการ์ดหรือซิมต่างประเทศ ปกติแล้วการใช้อินเทอร์เน็ตที่ต่างประเทศจะมีอยู่ 2 แบบ คือ Pocket WiFi กับ ซิมการ์ด ถ้าเป็นเจ้าตัว Pocket WiFi ก็จะเป็นแบบเช่า-ยืม เหมาะกับกรุ๊ปที่ไปเที่ยวกันแบบยกก๊วนเพราะเชื่อมเน็ตได้หลายคน แค่อยู่ใกล้ ๆ กันไว้ก็อัปโซเชียลได้ไม่สะดุดเพราะสัญญาณค่อนข้างเสถียร แต่ด้วยความที่ต้องเกาะกลุ่มติดหนึบกันไว้นี่แหละ เลยอาจจะไม่ตอบโจทย์คนที่ต้องการความคล่องตัว อยากแยกกันเที่ยวบ้าง ถ้าชอบความอิสระ อยากใช้เน็ตใครใช้เน็ตมันโดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องสัญญาณ ก็เลือกใช้เป็นซิมต่างประเทศ หรือซื้อแพ็กเกจโรมมิ่งแทนได้
ถ้าเลือกใช้
ซิมต่างประเทศ (Roaming Sim) แต่ละซิมก็จะมีให้เลือกแบบแยกใช้เฉพาะประเทศหรือโซนทวีป อย่างเช่นถ้าจะไปญี่ปุ่น ก็มีซิมต่างประเทศสำหรับทริปญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แต่ถ้าไม่อยากซื้อซิมใหม่มาใช้ ก็สามารถเลือกซื้อ
แพ็กเกจโรมมิ่งต่างประเทศจากค่ายมือถือเดิมที่ใช้อยู่ได้เช่นเดียวกัน แต่ข้อควรระวังของคนที่ใช้เบอร์เดิมแล้วเลือกซื้อแพ็กเกจเสริมก็คือ ถ้าเผลอกดรับสายหรือกดตัดสายทิ้ง ต้องเสียค่าโรมมิ่งเพิ่มด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แนะนำว่าให้โทรสอบถามคอลเซ็นเตอร์ของค่ายมือถือนั้น ๆ อีกครั้งก่อนเดินทาง จะได้มั่นใจว่าเงินทองไม่รั่วไหล ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นยอดดี
[BR] อยากไปเที่ยวโตเกียว ต้องเตรียมตัวยังไง พิกัดไหนน่าแวะ มาอัปเดตคู่มือที่เที่ยวญี่ปุ่น-โตเกียว 2023 กัน
โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียวที่ติดโผที่เที่ยวญี่ปุ่นเป็นอันดับต้น ๆ ตลอด แถมยังมีพิกัดฮิต ๆ แทบจะทุกย่าน อย่างถ้าเป็นที่ที่ป๊อปสุด ๆ ของโตเกียวก็เช่น โตเกียวโดมซิตี้ในย่านบุงเกียว พิพิธภัณฑ์สตูดิโอจิบลิ และซานริโอ พูโรแลนด์ในย่านทามะ ย่านช็อปปิ้งเด็ด ๆ อย่างชินจุกุหรือชิบูย่า ย่านคาบุกิโจสำหรับสายท่องราตรีเน้น ๆ หรือจะเป็นศาลเจ้าเมจิในย่านฮาราจูกุที่เป็นทั้งที่พึ่งทางใจและที่พักผ่อนหย่อนใจ โตเกียวจึงถือได้ว่าเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวมาแวะเวียนกันไม่ขาดสาย ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นน่ะไปกี่รอบก็ไม่พอหรอก ใครที่คิดถึงญี่ปุ่นหรือห่างหายจากญี่ปุ่นไปนาน วันนี้เราจะขอมาอัปเดตคู่มือเที่ยวโตเกียวฉบับปี 2023 พร้อมที่เที่ยวญี่ปุ่นกันให้หายคิดถึงไปเลย ไปญี่ปุ่น-โตเกียวทริปนี้ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แลกเงินที่ไหน ใช้ซิมการ์ดแบบไหนดี การเดินทางในโตเกียวจะยากรึเปล่า แล้วตอนนี้มีที่เที่ยวญี่ปุ่นที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง มาอัปเดตไปพร้อม ๆ กันเล้ย Let’s go!
เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
เอาละ ก่อนออกสตาร์ทไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน อันดับแรกที่ต้องมีคือตั๋วเครื่องบิน จะจองกับเว็บฯ ของสายการบินโดยตรงเลยก็ได้ หรือจะจองผ่าน Agent ก็สะดวกดีเหมือนกัน หลังจากได้ตั๋วมาแล้ว ก็ขยับสเต็ปมาเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางกันต่อเลย
• จองที่พักให้เหมาะกับแพลนเที่ยว : หลังจากจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ถ้าได้ที่พักทำเลดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งทำเลที่น่าสนใจในโตเกียว ส่วนใหญ่จะเป็นย่านชินจูกุ ชิบูย่า อิเคะบุคุโระ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าย่านใจกลางเมืองแบบนี้ราคาที่พักอาจจะสูงหน่อย แต่ก็แลกมากับความสะดวกในการเดินทาง ช็อปเหนื่อยก็แวะมาพัก ดร็อปของแล้วก็ออกไปตะลุยกันต่อได้ แต่ถ้าเน้นราคากลาง ๆ แบบไม่เกินงบ จะเลือกทำเลในย่านใกล้เคียงก็ย่อมได้ ใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกที่พักราคาเท่าไหร่ เน้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟให้เดินทางง่ายไว้ก่อนจะดีที่สุด
ซึ่งการจองที่พัก ก็มีทั้งแบบจองกับที่พักโดยตรง กับจองผ่านตัวแทน หรือ Agent ถ้าอยากได้ความสะดวก เลือกดูราคาได้ตามโจทย์แบบไม่ต้องเทียบราคาทีละโรงแรม หรือจะจองเที่ยวบินพร้อมกับจองที่พักด้วยในครั้งเดียวแบบสบายสุด ๆ แนะนำว่าใช้บริการเว็บไซต์ Traveloka โลด เข้าเว็บเดียวเดียว พร้อมเที่ยวได้เลย ดูรายละเอียดหรือ จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ได้ที่นี่เลย
• เช็กข้อมูลสถานที่ + แพลนที่เที่ยวให้พร้อม : มาถึงที่เที่ยวกันบ้าง เพื่อความชัวร์ว่าไปถึงที่ญี่ปุ่นแล้วแพลนจะไม่ล่ม ให้เราทำลิสต์ที่เที่ยวญี่ปุ่นที่เราอยากไป และเช็ก วันเวลา เปิด-ปิด ของสถานที่นั้น ๆ ไว้ก่อนเลย เผื่อวันชนกัน หรือที่เที่ยวบางแห่ง/ บางงานจัดแสดงอาจจะไม่ได้เปิดถาวร มีเปิดเป็นแค่ช่วง ๆ ตามซีซัน ถ้ารู้ก่อนก็จะได้เปลี่ยนแพลนได้ทันก่อนจองตั๋ว อย่าลืมเช็กเรื่องการจองตั๋วที่เที่ยว-ตั๋วรถไฟใด ๆ ที่ต้องจองล่วงหน้าให้พร้อมก่อนออกเดินทางด้วยน้า เพราะบางทีถ้าไปรอซื้อหน้างาน ตั๋วอาจจะหมด หรือต้องเสียเวลารอคิวเป็นชั่วโมงกันเลย
• เช็กสภาพอากาศในช่วงที่วางแผนจะไป : ตั๋วเครื่องบินก็มีแล้ว ที่พักก็จองแล้ว ที่เที่ยวก็เช็กข้อมูลเรียบร้อยแล้ว การเช็กสภาพอากาศก่อนไปก็เป็นอีกสเต็ปที่สำคัญมาก เพราะแต่ละช่วงที่เราไปจะส่งผลกับการเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่ต้องพกติดตัวไปด้วย มาดูกันดีกว่าว่า ฤดูกาลต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น มีอะไร และต้องเตรียมเสื้อผ้ายังไงบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิ (2°C - 24°C)
เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม : อากาศยังคงเย็นสบาย ในช่วงนี้แนะนำให้สวมสเวตเตอร์ หรือเสื้อโค้ตบาง ๆ พอเริ่มขยับเข้าสู่เดือนพฤษภาคมก็อาจจะใส่เสื้อแขนสั้นหรือเสื้อผ้าที่มีความทะมัดทะแมงมากขึ้น
ฤดูร้อน (16°C - 30°C)
เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม : ต้นเดือนมิถุนายนจะเริ่มต้นด้วยหน้าฝน จากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่อนข้างมีความอบอ้าว แนะนำให้สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน และอย่าลืมพกน้ำดื่มและร่มติดตัวไปด้วยเสมอ
ฤดูใบไม้ร่วง (7°C - 27°C)
เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน : อากาศเริ่มกลับมาเย็น แต่อาจมีพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำเป็นช่วง ๆ และอุณหภูมิจะลดลงในช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันแนะนำให้สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ระบายอากาศได้ดี และอาจจะทับด้วยสเวตเตอร์ ส่วนกลางคืนควรสวมเสื้อคลุมหนา ๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ฤดูหนาว (-6°C - 20°C)
เดือนธันวาคมถึงมีนาคม : ช่วงเดือนธันวาคมอากาศจะเย็นลง และจะหนาวไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ บางพื้นที่อุณหภูมิจะลดลงถึง -6°C ในช่วงกลางคืนและในช่วงเช้า พื้นที่ทั่วไปที่ไม่มีหิมะ แนะนำให้สวมสเวตเตอร์หรือเสื้อโค้ตบาง ๆ ส่วนในพื้นที่ที่มีหิมะ ให้สวมเสื้อโค้ตหนาหรือเสื้อโค้ตกันลมกันหิมะ (ให้เตรียมรองเท้า ถุงมือ และที่ปิดหูไปด้วย)
การแลกเงิน
เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการแลกเงินตราต่างประเทศ เราต้องไปใช้บริการกันที่ธนาคาร หรือร้านรับแลกเงิน แต่ละที่ก็มีเรตราคาที่ต่างกันออกไป (ก่อนแลกเงิน อย่าลืมเช็กอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินอยู่ตลอด ๆ ด้วยนะ) แต่เมื่อโลกการเดินทางง่ายขึ้น สะดวกขึ้น การแลกเงินก็ถูกทำให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย ด้วยบัตร Travel Card ซึ่งก็คือบัตรเดบิต/ บัตรเครดิตที่สามารถแลกสกุลเงินต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารนั้น ๆ ได้เลย ตอนไหนเรตแลกเงินคุ้มก็ค่อย ๆ ทยอยแลกเก็บไว้ได้ ข้อดีของบัตรแบบนี้คือไม่ทำให้กระทบเงินเก็บ ยิ่งถ้ามีแพลนล่วงหน้า ค่อย ๆ ทยอยแลกไว้ยิ่งดี พอถึงวันเดินทางก็ใช้บัตรรูดจ่ายสินค้า/ บริการ หรือใช้กดเงินสดจากตู้ ATM ได้
อย่างถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็สามารถใช้บัตร Travel Card กดเงินจากตู้ ATM ที่นั่นได้เลย อาจจะมีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าสะดวกดี ใครที่ไม่อยากพกบัตรเครดิต และไม่อยากไปรอแลกเงิน ตัวเลือกนี้ตอบโจทย์มาก แต่จะไม่เตรียมพกเงินสดไปเลยก็ไม่ได้ เพราะบางสถานที่ก็รับเฉพาะเงินสดเท่านั้น และบางครั้งพอไปถึงที่นู่นแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ ขอแนะนำให้แลกเงินสดพกติดตัวมาด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหนึ่งทริป จะเตรียมเงินไปเท่าไหร่ดีนะ อาจจะฟันธงแบบเป๊ะ ๆ ได้ยากมาก ฮ่า ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน แต่หลัก ๆ แล้ว ค่าอาหาร ค่าเดินทางเฉลี่ย หนึ่งวันหนึ่งคน จะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 เยน ไปกี่วันก็คูณตามจำนวน ก็พอจะได้งบประมาณที่ต้องเตรียมไปแบบคร่าว ๆ
ซิมการ์ด
เช็กลิสต์ต่อมาที่ไม่เตรียมไม่ได้ก็คือเรื่องซิมการ์ดหรือซิมต่างประเทศ ปกติแล้วการใช้อินเทอร์เน็ตที่ต่างประเทศจะมีอยู่ 2 แบบ คือ Pocket WiFi กับ ซิมการ์ด ถ้าเป็นเจ้าตัว Pocket WiFi ก็จะเป็นแบบเช่า-ยืม เหมาะกับกรุ๊ปที่ไปเที่ยวกันแบบยกก๊วนเพราะเชื่อมเน็ตได้หลายคน แค่อยู่ใกล้ ๆ กันไว้ก็อัปโซเชียลได้ไม่สะดุดเพราะสัญญาณค่อนข้างเสถียร แต่ด้วยความที่ต้องเกาะกลุ่มติดหนึบกันไว้นี่แหละ เลยอาจจะไม่ตอบโจทย์คนที่ต้องการความคล่องตัว อยากแยกกันเที่ยวบ้าง ถ้าชอบความอิสระ อยากใช้เน็ตใครใช้เน็ตมันโดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องสัญญาณ ก็เลือกใช้เป็นซิมต่างประเทศ หรือซื้อแพ็กเกจโรมมิ่งแทนได้
ถ้าเลือกใช้ซิมต่างประเทศ (Roaming Sim) แต่ละซิมก็จะมีให้เลือกแบบแยกใช้เฉพาะประเทศหรือโซนทวีป อย่างเช่นถ้าจะไปญี่ปุ่น ก็มีซิมต่างประเทศสำหรับทริปญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แต่ถ้าไม่อยากซื้อซิมใหม่มาใช้ ก็สามารถเลือกซื้อแพ็กเกจโรมมิ่งต่างประเทศจากค่ายมือถือเดิมที่ใช้อยู่ได้เช่นเดียวกัน แต่ข้อควรระวังของคนที่ใช้เบอร์เดิมแล้วเลือกซื้อแพ็กเกจเสริมก็คือ ถ้าเผลอกดรับสายหรือกดตัดสายทิ้ง ต้องเสียค่าโรมมิ่งเพิ่มด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แนะนำว่าให้โทรสอบถามคอลเซ็นเตอร์ของค่ายมือถือนั้น ๆ อีกครั้งก่อนเดินทาง จะได้มั่นใจว่าเงินทองไม่รั่วไหล ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นยอดดี
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน