สวัสดีค่ะพี่ๆทุกท่าน

วันนี้อยากมารีวิว เที่ยวโตเกียวด้วยตัวเองค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะว่า ไปเที่ยวมาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีค่ะ ไปเที่ยวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาค่ะ พอดีที่ผ่านมายุ่งๆเรื่องการเปลี่ยนงาน ก็เลยไม่มีเวลาทำรีวิวค่ะ วันนี้มีโอกาสก็เลยอยากทำรีวิว เพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับพี่ๆท่านใดที่กำลังจะไปเที่ยวโตเกียวด้วยตังเองค่ะ
ถ้ารีวิวนี้ ข้อมูลผิดพลาดไป ต้องขออภัย ณ ที่นี่ด้วยนะคะ
เริ่มกันเลยค่ะ.........!
ทริปเที่ยวโตเกียวในครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก เราได้นั่งดูพี่ท่านนึงในยูทูป แล้วก็เกิดอยากไปเที่ยว ก็เลยลองจองตั๋วเครื่องบิน บวกกับช่วงนั้นมีโปรโมชั่น ได้ตั๋วราคา ไปกลับ ประมาณ7000บาท ไม่รวมน้ำหนักกระเป๋า ไม่รวมที่นั่ง และไม่รวมอาหาร ซื้อแค่ตั๋วไปกลับก่อน แล้วตัวเลือกต่างๆ ค่อยมาซื้อเพิ่มทีหลังค่ะ เราจองตั๋วล่วงหน้านานมากค่ะ รวมๆแล้ว เกือบ6เดือนเลย จองกันข้ามปีเลยค่ะ การเดินทางในครั้งนี้ เราใช้บริการแอร์เอเชียค่ะ

หลังจากที่จองตั๋วแล้ว ก็จองที่พักค่ะ ที่พักในครั้งนี้เราเลือกเป็นโฮสเทลค่ะ เพราะเราเน้นเที่ยวแบบประหยัด เรื่องที่พักก็เลยขอเป็นแบบโฮสเทลค่ะ ในส่วนโฮสเทลเราเลือกหลายที่มากค่ะ ดูตามรีวิวของพี่ๆหลายคน และอ่านตามรีวิวหน้าเว็บค่ะ แต่แล้วก็เลือกเป็น Samurai Tokyo Hostel ค่ะ เพราะเดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟใต้ดิน หาของกินง่ายค่ะ

หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันเดินทางค่ะ ทำงานเก็บเงิน รอวันที่จะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นค่ะ เป็นการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต และเป็นการไปเที่ยวญุ่ปุ่นด้วยตัวเองด้วยนะคะ
ก่อนเดินทาง ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นค่ะ เรื่องคือว่า เราจองตั๋วแต่ลืมเช็ควันหมดอายุของพาสปอร์ต มาเช็ดเอาวันสุดท้ายก่อนบินเพียงแค่ 1 วัน วันนั้นทั้งวัน ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ หงุดหงิดตัวเองมาก ว่าทำไมไม่ตรวจเช็คให้ดีๆ หลังจากสติแตกอยู่สักพัก ก็รวบรวมสติ รีบโทรไปถาม ตม ขาออกดอนเมือง ได้คำตอบว่า สามารถเดินทางได้ปกติ เรานี่นำตาไหลเลย เหมือน ยกภูเขา ออกจากอก แต่ขอย้ำนะคะ สำหรับใครที่มีแพลนเดินทางไปต่างประเทศ อย่าลืมดูวันหมดอายุของตัวเองให้ดีๆนะคะ

Credit by Google
ตัดภาพมาที่ วันเดินทางเลยนะคะ...!
เนื่องจากว่า พาสปอร์ตเรามีอายุการใช้งานไม่ถึง6เดือน เราเป็นกังวลใจมาก วันเดินทางเราไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ ตื่นเต้นปนวิตกกังวลมากๆ เพราะว่าหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต มีพี่ๆหลายคนบอกว่า ไปเสี่ยงเอาหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน เรายิ่งเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น พอถึงวันเดินทางจริง เราก็เลยรีบอาบน้ำแต่งตัว เรียกรถแท็กซี่ไปสนามบินดอนเมืองเลยค่ะ พอไปถึงก็ต้องนั่งรอ เพราะว่า เคาน์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิด เราก็ขึ้นไปนั่งรอบนโซนดูเครื่องบินค่ะ เพื่อรอให้เคาน์เตอร์เช็คอินเปิด

หลังจากที่นั่งรอสักพัก ก็นึกขึ้นได้ว่า เราสามารถพิมพ์ตั๋วเครื่องบินได้เลยที่เครื่องอัตโนมัติ ของทางสายการบิน เราก็เลยลองไปที่เครื่องค่ะ ปรากฏว่าพิมพ์ได้ตามปกติค่ะ

หลังจากนั้น เราก็กลับมานั่งที่เดิมค่ะ รอเคาน์เตอร์เช็คอินเปิดค่ะ

ระหว่างที่รอ ก็ขอถ่ายรูป สักนิดนะคะ

พอได้เวลา เคาน์เตอร์เช็คอินเปิด เราก็รีบไปต่อแถว เพื่อโหลดกระเป๋าค่ะ วันที่เดินทางเราใช้กระเป๋าใบใหญ่ค่ะ ขนาดประมาณ 28นิ้ว เพราะไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว ขนเสื้อผ้าไปเยอะมากค่ะ ทั้งเสื้อโค้ท เสื้อไหมพรม ผ้าพันคอ ถุงมือไหมพรม เอาไปเยอะมากเลยค่ะ เพราะไม่รู้ว่า อากาศที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะหนาวแค่ไหน รู้แค่ว่าเอาไปเยอะๆดีที่สุด ถ้าร้อนก็แค่ถอดออก แต่ถ้าหนาว เราต้องเสียเงินซื้อใหม่ ก็เลยจัดเต็มที่เลยค่ 555+++

น้ำหนักกระเป๋าเดินทางที่เราซื้อไว้คือ 20 กิโลค่ะ ถือว่าฉิวเฉียดมากๆ

หลักจากที่เรา เช็คอิน โหลดกระเป๋า เรียบร้อยแล้ว ก็หาอะไรกิน ก่อนเข้าไปข้างในเกทค่ะ เพราะข้างในราคาน่าจะแพงกว่าข้างนอก ก็เลยกินจากข้างนอกให้เลยค่ะ

หลักจากผ่าน ตม ขาออก เราก็เข้ามาข้างในเลยค่ะ สำหรับผู้โดยสารท่านใด ที่พาสปอร์ตไม่ถึง 6 เดือน ทางเจ้าหน้าที่จะเขียนในใบ บอดดิ้งพาสแบบนี้ค่ะ
รายละเอียดการเดินทาง
Route: DMK - NRT
Date: 25 February 2019
Departure Time: 04.55
Arrival Time: 13.10
Duration: 6 Hours 15 Minutes
Seat: 40A
Class: Economy
Aircraft: Airbus A330-300
Day 1 Bangkok to Tokyo

เราก็เข้ามาข้างในโซนหน้าเกทเพื่อรอประกาศเรียกขึ้นเครื่องค่ะ

ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เรื่องทะยอยกันเข้ามาเรื่อยๆค่ะ
ตัดภาพขึ้นเครื่องเลยนะคะ เพราะช่วงที่เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง ชุลมุนกันนิดนึงค่ะ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูป

เราก็ออกเดินทางสู่โตเกียวค่ะ เราเลือกเดินทางเที่ยวบินกลางคืนค่ะ เพราะเช้าจะได้เที่ยวต่อเลย กะว่าจะนอนบนเครื่องบินค่ะ แล้วไปถึงก็เที่ยวต่อได้เลย แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ไม่ใช่แบบที่คิดเลยค่ะ บนเครื่องบินเรานอนไม่หลับเลยค่ะ คงอาจจะเพราะตื่นเต้น ก็เลยไม่หลับเลยค่ะ

ก่อนเครื่องลง พี่ๆแอร์โฮสเตส ก็จะเอาใบ ตม มาให้เรากรอก สามารถดูตัวอย่างได้ตามรูปนี้ค่ะ

Credit by Google

เครื่องบินที่เรานั่งมาเที่ยวบินนี้ค่ะ ลำใหญ่อยู่นะคะ นั่งสบายค่ะ

สำหรับใครที่ทำการ จองตั๋วรถไฟมาจากเมืองไทย พอผ่าน ตม เรียบร้อยแล้วออกมาข้างนอก ก็มาต่อแถวแลกตัวรถไฟได้เลยค่ะ

ในส่วนของรถไฟเข้าเมือง จากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียว เราใช้บริการรถไฟ Keisei skylinerค่ะ รวดเร็วทันใจ สะดวกสบาย รถไฟสะอาดมากๆค่ะ กลิ่นหอมๆคลีนๆสะอาดๆ สไตล์ญี่ปุ่นค่ะ มีชั้นวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆให้ด้วยค่ะ

ในส่วนของห้องน้ำ ก็สะอาดค่ะ เหมือนห้องน้ำบนเครื่องบินเลยค่ะ

นั่งไม่นานก็ถึง สถานี Keisei Ueno ค่ะ หลักจากออกจากรถไฟแล้ว เราก็เดินตามป้ายบอกทางไปได้เลยค่ะ ป้ายบอกทางมีภาษาอังกฤษด้วยนะคะ ไม่ต้องกลัวหลงทางค่ะ เดินตามคนอื่นไปเลยค่ะ เราต้องเปลี่ยนรถไฟไปขึ้นรถไฟใต้ดินค่ะ

ในส่วนของการเดินทางภายในโตเกียว เราขอแนะนำ บัตรรถไฟใต้ดินแบบนี้นะคะ มีแบบ 24 ชั่วโมง, 48 ชั่วโมง และ แบบที่เราใช้คือ 72 ชั่วโมงค่ะ สะดวกสบาย คุ้มค่า ขึ้นลงกี่รอบก็ได้ ตามเวลาที่เชากำหนด ถ้าขึ้นผิดก็แค่นั่งย้อมกลับมาที่เดิม

รถไฟมาแล้ว ไปกันเลยค่ะ

เรานั่งรถไฟใต้ดิน เพื่อที่จะไปเช็คอินเข้าที่พัก และหาอะไรกินค่ะ พอออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ คือ อากาศหนาวมากๆค่ะ 9 องศา ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสอากาศหนาวขนาดนี้ค่ะ อากาศเหมือนเดินในห้องแอร์ แบบเปิดแอร์ต่ำสุด แล้วเปิดลมจ่อหัวเลย เหมือนมีละอองน้ำอยู่ในอากาศ เป็นความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ

เนื่องจากว่า เดินหาที่พักอยู่สักพัก เดินวนไปวนมา อาหารบ้านเรือน เหมือนกันไปหมด หลงสิค่ะ!!! เดินอยู่นานก็หิวน้ำ กดน้ำจากตู้อัตโนมัติ แล้วก็ขอถ่ายรูปกับตู้กดสักนิดนะคะ อาจจะดูตลกสำหรับใครหลายคน แต่เราเห็นพี่ๆหลายคนมาเที่ยวญี่ปุ่น แล้วถ่ายรูปกับตู้กดน้ำ แล้วเราก็คิดในใจว่า สักวันฉันต้องมายื่นถ่ายรูปกับตู้กดน้ำที่ญี่ปุ่นให้ได้ 555+++ ความฝันสำเร็จไป 1 อย่างค่ะ

หลังจากที่เราเดินหลงอยู่นาน ก็หาจนเจอค่ะ ถึงแล้วค่ะที่พักของเรา Samurai Hostel Asakusa เราเลือกพักโฮสเทลค่ะ ประหยัด ปลอดภัย ที่สำคัญได้เพื่อนใหม่พิ่มหลายประเทศด้วยค่ะ

ในส่วนของ ล็อบบี้โฮสเทลค่ะ สะอาดมากค่ะ มีน้ำดื่มให้ค่ะ ก่อนขึ้นห้อง ก็จะมีพนักงานต้อนรับ มาแนะนำรายละเอียดต่างๆกับเราค่ะ

ทางเดินไปที่ห้องนอนของเราค่ะ แต่ละห้องจะบอกรายละเอียดชัดเจน เราเลือกห้องนอนรวม ชายหญิง ค่ะ เพราะเราเป็นสาวประเภทสอง เราเลือกห้องนี้เพราะเอื้ออำนวยในเพศสภาพของเราค่ะ

ถึงแล้วค่ะ เตียงนอนของเราสำหรับทริปนี้ เราเลือกนอนเตียงล่างค่ะ เพราะเราตัวใหญ่ นอนเตียงบนอาจจะขึ้นลงลำบาก เวลาไปเที่ยวก็จะขอเตียงล่างตลอดค่ะ เตียงนอนจะเป็นช่องแบบนี้ บนล่าง ติดๆกันค่ะ

เข้ามาข้างในเตียงนอน ก็จะมีที่นอนค่ะ ขอบอกว่านุ่มมากๆค่ะ มีหมอนให้1ใบ มีผ้าห่มให้1ผืน แต่เพราะว่าในห้องเปิดฮีตเตอร์ เราก็เลยไม่ค่อยได้ห่มผ้าค่ะ อากาศในห้องก็ปกติค่ะ ไม่หนาวไม่ร้อน เพราะทางโฮสเทลปรับอากาศให้พอดีค่ะ แต่ออกข้างนอกนี่ต้องรีบขว้าเสื้อโค้ทมาใส่เลยค่ะ หนาวจับใจมากกก!

ในส่วนหัวเตียง จะมีตู้เก็บของมาให้ 1 ตู้ค่ะ มีกุญแจให้ค่ะ และก็จะมีโต๊ะพับ สำหรับวางโน๊ตบุ๊ค วางกล้องได้ค่ะ แต่สิ่งที่เป็นข้อห้ามเลยก็คือ ห้ามนำอาหารเข้ามากินในที่นอนเด็ดขาด ถ้าทางโฮสเทลรู้ คุณอาจจะโดนปรับได้นะคะ

หัวเตียงมี ปลั๊กไฟให้ 2 เต้าค่ะ ปลั๊กไฟใช้ของไทยได้เลยค่ะ สงสัยคนไทยมาพักเยอะแน่ๆเลย ทางโฮสเทลเลยทำปลั๊กไฟมาสำรองเลยค่ะ

ถัดมาก็จะมีราวตากผ้าเช็ดตัวให้ค่ะ แต่ผ้าเช็ดตัว ต้องเตรียมไปเองนะคะ แต่ถ้าใครลืม ทางโฮสเทลก็มีให้เช่าค่ะ
มีต่อนะคะ.....->
รีวิเที่ยว Tokyo 5วัน4คืน ฉบับประหยัด
ถ้ารีวิวนี้ ข้อมูลผิดพลาดไป ต้องขออภัย ณ ที่นี่ด้วยนะคะ
เริ่มกันเลยค่ะ.........!
ทริปเที่ยวโตเกียวในครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก เราได้นั่งดูพี่ท่านนึงในยูทูป แล้วก็เกิดอยากไปเที่ยว ก็เลยลองจองตั๋วเครื่องบิน บวกกับช่วงนั้นมีโปรโมชั่น ได้ตั๋วราคา ไปกลับ ประมาณ7000บาท ไม่รวมน้ำหนักกระเป๋า ไม่รวมที่นั่ง และไม่รวมอาหาร ซื้อแค่ตั๋วไปกลับก่อน แล้วตัวเลือกต่างๆ ค่อยมาซื้อเพิ่มทีหลังค่ะ เราจองตั๋วล่วงหน้านานมากค่ะ รวมๆแล้ว เกือบ6เดือนเลย จองกันข้ามปีเลยค่ะ การเดินทางในครั้งนี้ เราใช้บริการแอร์เอเชียค่ะ
ก่อนเดินทาง ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นค่ะ เรื่องคือว่า เราจองตั๋วแต่ลืมเช็ควันหมดอายุของพาสปอร์ต มาเช็ดเอาวันสุดท้ายก่อนบินเพียงแค่ 1 วัน วันนั้นทั้งวัน ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ หงุดหงิดตัวเองมาก ว่าทำไมไม่ตรวจเช็คให้ดีๆ หลังจากสติแตกอยู่สักพัก ก็รวบรวมสติ รีบโทรไปถาม ตม ขาออกดอนเมือง ได้คำตอบว่า สามารถเดินทางได้ปกติ เรานี่นำตาไหลเลย เหมือน ยกภูเขา ออกจากอก แต่ขอย้ำนะคะ สำหรับใครที่มีแพลนเดินทางไปต่างประเทศ อย่าลืมดูวันหมดอายุของตัวเองให้ดีๆนะคะ
ตัดภาพมาที่ วันเดินทางเลยนะคะ...!
เนื่องจากว่า พาสปอร์ตเรามีอายุการใช้งานไม่ถึง6เดือน เราเป็นกังวลใจมาก วันเดินทางเราไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ ตื่นเต้นปนวิตกกังวลมากๆ เพราะว่าหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต มีพี่ๆหลายคนบอกว่า ไปเสี่ยงเอาหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน เรายิ่งเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น พอถึงวันเดินทางจริง เราก็เลยรีบอาบน้ำแต่งตัว เรียกรถแท็กซี่ไปสนามบินดอนเมืองเลยค่ะ พอไปถึงก็ต้องนั่งรอ เพราะว่า เคาน์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิด เราก็ขึ้นไปนั่งรอบนโซนดูเครื่องบินค่ะ เพื่อรอให้เคาน์เตอร์เช็คอินเปิด
รายละเอียดการเดินทาง
Route: DMK - NRT
Date: 25 February 2019
Departure Time: 04.55
Arrival Time: 13.10
Duration: 6 Hours 15 Minutes
Seat: 40A
Class: Economy
Aircraft: Airbus A330-300
Day 1 Bangkok to Tokyo
ตัดภาพขึ้นเครื่องเลยนะคะ เพราะช่วงที่เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง ชุลมุนกันนิดนึงค่ะ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูป
มีต่อนะคะ.....->