[CR] ฝนนี้ที่บึงกาฬ

ผมเคยมาเที่ยวบึงกาฬ ตั้งแต่บึงกาฬยังไม่แยกตัวออกมาจากหนองคาย บอกเลยว่าตอนนั้นพื้นที่ของจังหวัดบึงกาฬที่ในเวลานั้นเป็นพื้นที่ของหนองคาย แทบไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเลย สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตพื้นที่หนองคายในปัจจุบันเท่านั้น แต่หลังจากที่บึงกาฬได้แยกตัวออกจากหนองคาย เป็นจังหวัดน้องใหม่ของเมืองไทย บึงกาฬได้ทยอยเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้นมากมาย และผมเองก็ได้มีโอกาสกลับไปเที่ยวในพื้นที่บึงกาฬอยู่หลายครั้ง บอกเลยว่า บึงกาฬ อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ที่โด่งดังไปทั่วประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวด้วย จริงๆ แล้ว บึงกาฬสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่แหล่งท่องเที่ยวบางที่ จะสามารถเที่ยวชมได้เฉพาะช่วงเวลาเท่านั้น เช่น น้ำตก บึงกาฬมีน้ำตกสวยๆ เยอะมาก แต่เสียดายที่น้ำตกจะเที่ยวได้เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะมาทำความรู้จักกับบึงกาฬแบบเจาะลึก ผมแนะนำว่าให้มาเที่ยวช่วงฤดูฝนแบบนี้ รับรองว่า จะได้รู้จักบึงกาฬครบทุกรสชาติจริงๆ ครับ

แล้ววันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับบึงกาฬในแบบฉบับของผม กับทริป 2 วัน 1 คืนที่บึงกาฬครับ
โดยทริปนี้ผมเปิดโปรแกรมที่วัดอาฮงศิลาวาส (พิกัด : https://goo.gl/maps/EQYxJgZ68sDt64mG7 ) ในเขตอำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นที่แรกครับ

วัดอาฮงศิลาวาสตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณแก่งอาฮง แก่งน้ำขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นจุดที่มีแม่น้ำโขงความกว้างประมาณร้อยกว่าเมตรเองครับ เรียกได้ว่ามองเห็นฝั่งลาวอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ 
ชาวบ้านเชื่อกันว่าบริเวณหน้าวัดเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง โดยมีความลึกถึง 200 เมตร ทำให้จุดนี้มีน้ำไหลเชี่ยววนจนเป็นหลุมรูปกรวย จึงเชื่อกันว่าที่นี่คือสะดือแม่น้ำโขง โดยในฤดูแล้ง ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เราจะสามารถมองเห็นแก่งอาฮงได้อย่างชัดเจนครับ
จากวัดอาฮงศิลาวาส ไปต่อกันที่หินสามวาฬครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/Jcetw4E6WouNQQ4u7 )

การขึ้นไปยังหินสามวาฬ เราจะต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท และต้องเหมารถของท้องถิ่นขึ้นไปเที่ยวด้านบน ในราคาคันละ 500 บาท รถ 1 คัน นั่งได้ 10 คน (ถนนที่ขึ้นไปยังหินสามวาฬค่อนข้างแคบ จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นด้านบน) ผมมาเที่ยวที่หินสามวาฬรอบนี้นับเป็นรอบที่ 4 แล้ว โดยทุกๆ ครั้งผมจะมารอชมแสงแรกบนหินสามวาฬ แต่ครั้งนี้มาในช่วงสายๆ ครับ

โชเฟอร์พาแวะที่จุดแรกบริเวณ ลานธรรมภูสิงห์  หากสังเกตดีๆ หินด้านขวามือ มีลักษณะคล้ายสิงโตหมอบ นั่นแหล่ะ คือที่มาของคำว่า “ภูสิงห์” ครับ (ถ้าหากมาชมแสงเช้า เราจะแวะที่ลานธรรมภูสิงห์เป็นจุดหมายสุดท้าย) 
จากนั้นตรงดิ่งขึ้นด้านบน เพื่อไปชมหินสามวาฬกันต่อครับ จากลานจอดรถด้านบน เราต้องเดินเท้าต่อกันอีกสักประมาณ 150 เมตร ก็มาถึงหินสามวาฬครับ มองมุมนี้อาจจะดูไม่ออกว่าเป็นสามวาฬตรงไหน จริงๆ ต้องมองภาพมุมสูง จะเห็นเป็นสามวาฬค่อนข้างชัดเจนครับ 
ใครมีโดรน สามารถนำโดรนไปบินได้ โดยแสดงใบอนุญาตต่างๆ เช่น ใบขับขี่โดรน ใบรับรองการขึ้นทะเบียนโดรน พร้อมเสียค่าธรรมเนียมการขึ้นบิน 50 บาท แต่ถ้าใครไม่มี แล้วอยากได้ภาพมุมสูง ที่นี่มีบริการถ่ายภาพจากโดรนด้วย ราคาประมาณ 1,xxx บาท สามารถสอบถามตรงจุดชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมได้เลยครับ

เมื่อมองมุมสูงแล้วจะเห็นหินก้อนมหึมา รูปร่างเรียวยาว ที่เขาว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปี วางเรียงตัวกัน 3 ก้อน ดูไม่ต่างอะไรกับครอบครัววาฬ พ่อ แม่ ลูก ที่ออกว่ายน้ำเคียงคู่กันไปอย่างอบอุ่นครับ 

ถ้าใครมาพักค้างคืนที่บึงกาฬ ผมแนะนำให้เดินทางมาถึงหินสามวาฬกันแต่เช้า ให้ทันชมแสงแรกของวัน (ราวๆ 05.45 น.) บอกเลยว่าถ้าวันไหนอากาศเป็นใจ จะได้เห็นแสงสวยๆ อย่างแน่นอน และถ้าหากมาในช่วงหลังฝนตก หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนพฤศจิกายน อาจะได้เห็นหมอกสวยๆ ด้วยครับ
จากหินสามวาฬ คนขับรถพาย้อนกลับลงด้านล่าง ระหว่างทางลงผ่าน หินรูปช้าง คือไม่ต้องบอกว่าหินนี้ชื่อหินช้าง ผมว่ากว่าร้อยละ 80 ก็คงเดากันถูกอย่างแน่นอนครับ
ถัดจากหินช้าง เป็นประตูภูสิงห์ครับ ลักษณะเป็นหินใหญ่สองก้อนตั้งขนาบข้างกัน มีช่องคล้ายประตูหินขนาดใหญ่ จุดนี้หินด้านขวาผมจินตนาการเหมือนใบหน้าที่ปรากฏอยู่ที่นครธม ประเทศกัมพูชาครับ
และมาปิดท้ายโปรแกรมที่จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ อ่านชื่อแล้วอาจจะฟังดูแปลกๆ  คำว่า ส้าง หมายถึงหลุมหรือบ่อ ถึงแม้ว่าจุดชมวิวแห่งนี้จะเป็นลานหินขนาดเล็กริมหน้าผา แต่มันไม่ธรรมดาเหมือนลานหินทั่วไป เพราะลานหินแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อใหญ่เล็กเต็มไปหมด ส่วนหลุมบ่อจะใหญ่ขนาดไหน ลองเทียบกับตัวคนดูเอาเองนะครับ
จากหินสามวาฬ ไปต่อที่วัดป่าเมืองเหือง  (พิกัด : https://goo.gl/maps/hLCdxn5tscmAEuWR7) วัดโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ครับ

วัดป่าเมืองเหือง หรือชื่อเป็นทางการว่า วัดศรีบุญเรือง เป็นวัดเล็กๆ ที่ชาวบึงกาฬเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก สิ่งที่โดดเด่นของวัดแห่งนี้คือโบสถ์ที่มีการลงรักปิดทอง ที่ดูงดงามอร่ามตามากๆ ครับ โดยรอบมีรูปปั้นพญานาคครอบโบสถ์ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของปู่ศรีสุทโธ และย่าปทุมมาให้ได้สักการะขอพรด้วย
ไฮไลท์ของวัดป่าเมืองเหือง คือองค์พระพุทธนาคนิมิตต์ ซึ่งมีพุทธลักษณะไม่เหมือนใคร หนึ่งเดียวในไทย เพราะองค์พระมีสีทองเฉพาะบริเวณพระพักตร์ ในขณะที่ทั้งองค์เป็นสีดำทั้งหมด ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า พระหน้าทอง โดยองค์พระประดิษฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง หันหน้าไปทางประเทศลาว 
เชื่อกันว่าใครมากราบไหว้ขอพร มักสมหวัง สมปรารถนาทุกประการครับ
ชื่อสินค้า:   บึงกาฬ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่