ทูตรัศมิ์ ปัดหนุนเครือข่ายเผด็จการ ย้ำยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสมแก้ม.112
https://www.matichon.co.th/politics/news_4126781
ทูตรัศมิ์ ปัดหนุนเครือข่ายเผด็จการ ย้ำเห็นด้วยแก้ไขม.112 แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสม
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาย
รัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตในไทยหลายประเทศ โพสต์เฟซบุ๊ก “
ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” โพสต์ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมที่สนับสนุนเครือข่ายเผด็จการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กินเหล้าแบบธรรมดามันชักง่ายไป เลยหาอะไรทำตามประสา ส.ว. สุขนิยม
เพิ่งเห็นข่าวพรรคเพื่อไทยรวมเสียงสนับสนุนได้ 315 เสียง โดยมีพรรคลุงทั้งสองเข้าร่วม
รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจ ส่วนอะไรจะเป็นไปก็ต้องคอยดูกันต่อไป และท้ายที่สุดก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
สำหรับตัวผมเอง ผมก็ว่าจุดยืนเรื่อง ปชต. ของผมไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบหรือกว่าสี่สิบปีมาแล้ว และก็ต่อสู้ยืนหยัดเพื่อหลักการนี้มาตลอด แม้จะมีคนที่สู้มากกว่าผมอีกมากมาย แต่ผมก็ว่าผมพอสู้มาไม่น้อยนัก
ตอนเป็นรองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พอเกิดรัฐประหารปี 57 ผมก็เขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ได้แก่ ปลัดกระทรวงฯ แจ้งว่าผมไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร เพราะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตามกฏระเบียบ ข้าราชการมีหน้าที่ต้องยึดมั่นรักษาระบอบ ปชต. และด้วยเหตุนี้ผมจึงขอไม่ปฎิบัติหน้าที่ในส่วนงานที่เกี่ยวกับงานด้านการชี้แจงทางการเมือง โดยขอทำงานในส่วนอื่นต่อไป
บันทึกดังกล่าวทุกวันนี้คงยังอยู่ในแฟ้มประวัติของผมที่สำนักบริหารบุคคลของกระทรวงฯ โดยผมเป็นข้าราชการคนเดียวของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำเช่นนี้ และเท่าที่รู้ อาจเป็นข้าราชการคนเดียวของทั้งประเทศที่ทำบันทึกเช่นนี้เสนอต่อผู้บังคับบัญชา
พอเกษียณ ผมเคยไปขึ้นเวทีช่วยกล่าวปราศรัยสนับสนุนเยาวชนในการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าผมตกเป็นผู้ต้องหาคดีต่างๆ รวมทั้งคดี 112 และก็น่าจะเป็นคนในวัยผมจำนวนไม่มากนักที่ออกมาและโดนแบบนี้
ดังนั้นจะมาบอกว่าผมสุขสบายใจไม่เคยเดือดร้อนจาก 112 ก็ไม่ใช่นะครับ ผมเห็นด้วยว่าควรมีการแก้ไขกฏหมายนี้ เพียงแต่เห็นว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาผมเลือกสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์ฝีมือในการบริหารประเทศได้จริง รวมทั้งมีนโยบายที่ค่อนข้างประนีประนอมที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และผมเห็นว่ามันเป็นสิทธิของผม ส่วนใครอยากจะเลือกใครก็เลือกไป เป็นสิทธิของเขาเช่นกัน
แต่ทุกวันนี้มีบางคนหาว่าผมเป็นพวกอนุรักษนิยม สนับสนุนเครือข่ายเผด็จการ ไม่เห็นหัวประชาชน ฯลฯ เพียงเพราะผมไม่ได้เลือกพรรคเดียวกับเขา ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเขาเคยทำอะไรมาบ้าง สู้มากมายกว่าใครอย่างไร
แต่ใครจะว่าก็ว่าไป ชีวิตผมก็โอเค ผมไม่มีอะไรต้องมาละอายแก่ใจ จุดยืนเหมือนเดิมอะไรพอทำได้ก็ทำไปตามกำลังและสติปัญญาที่พอมี ตลอดจนหลักการที่ยึดถือ
พ้นจากนั้นผมก็หาความสุขใส่ตัวไปตามประสานะครับ (อ้อ แล้วทรัพย์สินที่เห็น มันก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของผมที่รับใช้ประเทศชาติ ด้วยลำพังเงินเดือนข้าราชการที่ไม่ได้มากมายอะไร ด้วยความสุจริตไม่เคยคดโกง ไปตรวจสอบดูได้ และจริงๆ บ้านช่องใหญ่โตคืออาศัยภรรยาเขาอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินของผมทั้งหมดนะครับ )
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
https://www.facebook.com/thealternativeambassadorreturns/posts/302818368912262
‘เศรษฐา’ ลั่นนั่งนายกฯ พร้อมหล่อหลอม รบ.ผสมข้ามขั้ว เป็นรัฐบาลของประเทศไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4126781
‘เศรษฐา’ ลั่นนั่งนายกฯ พร้อมหล่อหลอม รบ.ผสมข้ามขั้ว เป็นรัฐบาลของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวที่พรรค พท.รวมเสียงโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท.ได้ถึง 315 เสียง มั่นใจว่าจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ว่า มองว่าเสียง 300 ต้นๆ ถือว่ามีเสถียรภาพ แต่ถ้าบริหารเรื่องความคาดหวังของแต่ละพรรคร่วม ต้องมาพูดคุยถึงนโยบายรวมที่จะเป็นนโยบายของรัฐบาล ต้องมาพูดคุยกันให้ดี
เมื่อถามว่า การมาเป็นนายกฯ ขณะที่ประเทศเจอวิกฤตเช่นนี้เหนื่อยหรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า การมาเป็นผู้นำรัฐบาล การทำงานการเมือง มองว่าก็เหนื่อยตลอด คณิตศาสตร์ที่ออกมาจากการเลือกตั้ง ตัวเลขที่ออกมายิ่งทำให้เหนื่อย มันจะง่ายขึ้นถ้าพรรค พท.ได้แลนด์สไลด์แต่ก็ไม่ได้ ต้องยอมรับและอยู่กับความเป็นจริงว่าไม่ได้แลนด์สไลด์เชื่อทุกพรรคจับมือตั้งรัฐบาลได้
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การเป็นรัฐบาลผสมเช่นนี้จะพาประเทศออกจากหล่มที่เป็นอยู่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า มั่นใจว่าพรรคใดก็ตามที่จะเข้าร่วมรัฐบาลต้องเข้าใจปัญหาปัจจุบัน ทั้งความเป็นอยู่ประชาชนต้องยกระดับขึ้นมา ปัญหาของรัฐธรรมนูญ ปัญหาความขัดแย้งด้านความคิด เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจดี จากการแถลงร่วมกันของแต่ละพรรคทุกคนเข้าใจปัญหาดี การมาร่วมด้วยช่วยกันในรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นเชื่อว่าต้องร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ได้เสียงแลนด์สไลด์ เป้าหมายอาจเป็นอย่างหนึ่ง พอเป็นพรรคร่วมเป้าหมายจะเหมือนกันหรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า มั่นใจ เพราะผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 3 เดือน เป็นครั้งยาวนานที่สุดในการตั้งรัฐบาล นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคตกผลึกเรียบร้อยแล้วว่ายากลำบากจึงต้องร่วมด้วยช่วยกัน ปัญหาของประเทศสำคัญที่สุด หน้าที่ของผู้นำรัฐบาลก็ต้องพยายามหล่อหลอมให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไปสู่จุดมุ่งหมายได้ จะเป็นพรรคไหนก็ตาม แต่เชื่อว่าความเป็นห่วงบ้านเมืองต้องมีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มีเงื่อนไขไม่ให้พรรคการเมืองเดิมบริหารกระทรวงเดิมหรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า มองว่าเป็นหลักการหนึ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อถามว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เชื่อว่าต้องพูดคุยกัน และต้องให้เกียรติพรรคร่วมด้วย ตรงนี้มีความสำคัญ
เมื่อถามอีกว่า บางคนถูกสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมหากมารับตำแหน่งรัฐมนตรี จะคัดเลือกอย่างไรให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) สง่างาม นาย
เศรษฐากล่าวว่า ต้องให้เกียรติผู้ที่ได้รับเสนอชื่อด้วย หากใครที่มีเรื่องคดีความก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ถ้าเป็นไปได้ก็เป็นไปได้
เมื่อถามว่า การมีพรรคร่วมจำนวนมากในฐานะผู้นำรัฐบาลจะสามารถบริหารให้รัฐบาลไปรอดได้หรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า นโยบายรวมเป็นเรื่องสำคัญ การพูดคุยกันก่อนที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยตกลงกัน รวมถึงต้องตั้งเป้าหมายให้เป็นจริง และมีระยะเวลาของแต่ละภารกิจให้ชัดเจนจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน เราอย่าบอกว่ารัฐมนตรีมาจากพรรค ก. หรือ ข. แต่เป็นรัฐบาลของประเทศไทย จึงถือเป็นภารกิจร่วม นายกฯมีหน้าที่หล่อหลอมให้บรรลุไปถึงจุดมุ่งหมายให้ได้
‘ธุรกิจบัตรเครดิต’ห่วงปรับเพิ่มจ่ายขั้นต่ำ 8% กระทบคนจ่ายหนี้
https://www.dailynews.co.th/news/2619171/
ธุรกิจบัตรเครดิต ขอแบงก์ชาติเพิ่มดอกเบี้ย 18% ตอนนี้ 16% ไม่ไหวอยู่ไม่ได้ พร้อมห่วงปรับจ่ายขั้นต่ำขยับเพิ่ม 8% ปีหน้า คนผ่อนจ่ายไม่ไหวกระทบความสามารถชำระหนี้
นาย
อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ขอให้ปรับเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากปัจจุบัน 16% ต่อปี อาจขอไป 18% ต่อปี เท่ากับในอดีตก่อนจะปรับลดลงมา แม้ว่าจะต้องการให้ปรับเพิ่มมากกว่านั้น ซึ่งปัจจุบันไทยคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต 16% ต่อปี ถือว่าต่ำสุดในโลก ถ้าหากต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่ม จะยิ่งทำให้กำไรธุรกิจน้อยและอาจอยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาได้ให้มุมมองกับ ธปท.เกี่ยวกับความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ค่อนข้างมาก เพราะในปี 67 จะมีการปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตในแต่ละงวดแบบขั้นบันได จากช่วงโควิดได้ลดมาจ่ายขั้นต่ำ 5% จะเพิ่มเป็น 8% ในปี 67 และจะกลับมาเป็น 10% ตามปกติในปีถัดไป มองว่าจะกระทบกับการใช้จ่ายหนี้ของลูกหนี้ โดยการหารือกับธปท.ขอเลื่อนจ่ายขั้นต่ำ 5% ไปก่อน เหมือนกับปีที่ผ่านมา แต่ธปท.ให้เหตุผลถึงความจำเป็นต้องปรับและยืนยันยังคงต้องปรับ 8% ในปี 67
ทั้งนี้เห็นว่าการปรับกลับมาจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต น่ากังวลเนื่องจากเห็นว่าลูกหนี้มีแนวโน้มอาจได้รับผลกระทบจากการปรับการจ่ายขั้นต่ำมาเป็นขั้นบันไดเพื่อให้ไปสู่ระดับปกติ และกังวลเพราะเคยมีประสบการณ์ในอดีต ที่ปรับจากจ่ายขั้นต่ำ 5% มาเป็น 10% ลูกหนี้เกิดปัญหาจ่ายไม่ไหว ซึ่งในเวลานี้พฤติกรรมคนได้เปลี่ยนไปแล้ว หากปรับจ่ายขั้นต่ำคนจะมีศักยภาพในการจ่ายกลับมาแค่ไหน สำหรับการถือบัตรเครดิตของคนไทยในปัจจุบัน 1 คนเฉลี่ยมี 3 คนต่อใบ ซึ่งอาจต้องจ่ายเพิ่มในทุกใบ ทำให้กระทบกับความสามารถชำระหนี้แน่นอน
ขณะที่อัตราการเติบโตและส่วนแบ่งการตลาดของบัตรเครดิต จำนวนบัญชีในอุตสาหกรรมบัตรเครดิตปัจจุบันเทียบกับสิ้นปี 65 เติบโต 3.1% หนี้คงค้าง เติบโต 4% ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเติบโต 15% เป็นในประเทศ 10% ต่างประเทศ 5.6% และกดเงินสด 27% เทียบกับในปี 62 ก่อนช่วงโควิด จำนวนบัญชีเติบโต 13.6% หนี้คงค้าง เติบโต 17% ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเติบโต 17% เป็นในประเทศ 21% ต่างประเทศ 31% และกดเงินสดติดลบ 18%
JJNY : ทูตรัศมิ์ ปัดหนุนเครือข่ายเผด็จการ|‘เศรษฐา’ลั่นนั่งนายกฯ ผสมข้ามขั้ว|บัตรเครดิตห่วงปรับเพิ่ม|จีนประกาศตอบโต้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4126781
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตในไทยหลายประเทศ โพสต์เฟซบุ๊ก “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” โพสต์ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมที่สนับสนุนเครือข่ายเผด็จการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กินเหล้าแบบธรรมดามันชักง่ายไป เลยหาอะไรทำตามประสา ส.ว. สุขนิยม
เพิ่งเห็นข่าวพรรคเพื่อไทยรวมเสียงสนับสนุนได้ 315 เสียง โดยมีพรรคลุงทั้งสองเข้าร่วม
รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจ ส่วนอะไรจะเป็นไปก็ต้องคอยดูกันต่อไป และท้ายที่สุดก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
สำหรับตัวผมเอง ผมก็ว่าจุดยืนเรื่อง ปชต. ของผมไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบหรือกว่าสี่สิบปีมาแล้ว และก็ต่อสู้ยืนหยัดเพื่อหลักการนี้มาตลอด แม้จะมีคนที่สู้มากกว่าผมอีกมากมาย แต่ผมก็ว่าผมพอสู้มาไม่น้อยนัก
ตอนเป็นรองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พอเกิดรัฐประหารปี 57 ผมก็เขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ได้แก่ ปลัดกระทรวงฯ แจ้งว่าผมไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร เพราะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตามกฏระเบียบ ข้าราชการมีหน้าที่ต้องยึดมั่นรักษาระบอบ ปชต. และด้วยเหตุนี้ผมจึงขอไม่ปฎิบัติหน้าที่ในส่วนงานที่เกี่ยวกับงานด้านการชี้แจงทางการเมือง โดยขอทำงานในส่วนอื่นต่อไป
บันทึกดังกล่าวทุกวันนี้คงยังอยู่ในแฟ้มประวัติของผมที่สำนักบริหารบุคคลของกระทรวงฯ โดยผมเป็นข้าราชการคนเดียวของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำเช่นนี้ และเท่าที่รู้ อาจเป็นข้าราชการคนเดียวของทั้งประเทศที่ทำบันทึกเช่นนี้เสนอต่อผู้บังคับบัญชา
พอเกษียณ ผมเคยไปขึ้นเวทีช่วยกล่าวปราศรัยสนับสนุนเยาวชนในการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าผมตกเป็นผู้ต้องหาคดีต่างๆ รวมทั้งคดี 112 และก็น่าจะเป็นคนในวัยผมจำนวนไม่มากนักที่ออกมาและโดนแบบนี้
ดังนั้นจะมาบอกว่าผมสุขสบายใจไม่เคยเดือดร้อนจาก 112 ก็ไม่ใช่นะครับ ผมเห็นด้วยว่าควรมีการแก้ไขกฏหมายนี้ เพียงแต่เห็นว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาผมเลือกสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์ฝีมือในการบริหารประเทศได้จริง รวมทั้งมีนโยบายที่ค่อนข้างประนีประนอมที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และผมเห็นว่ามันเป็นสิทธิของผม ส่วนใครอยากจะเลือกใครก็เลือกไป เป็นสิทธิของเขาเช่นกัน
แต่ทุกวันนี้มีบางคนหาว่าผมเป็นพวกอนุรักษนิยม สนับสนุนเครือข่ายเผด็จการ ไม่เห็นหัวประชาชน ฯลฯ เพียงเพราะผมไม่ได้เลือกพรรคเดียวกับเขา ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเขาเคยทำอะไรมาบ้าง สู้มากมายกว่าใครอย่างไร
แต่ใครจะว่าก็ว่าไป ชีวิตผมก็โอเค ผมไม่มีอะไรต้องมาละอายแก่ใจ จุดยืนเหมือนเดิมอะไรพอทำได้ก็ทำไปตามกำลังและสติปัญญาที่พอมี ตลอดจนหลักการที่ยึดถือ
พ้นจากนั้นผมก็หาความสุขใส่ตัวไปตามประสานะครับ (อ้อ แล้วทรัพย์สินที่เห็น มันก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของผมที่รับใช้ประเทศชาติ ด้วยลำพังเงินเดือนข้าราชการที่ไม่ได้มากมายอะไร ด้วยความสุจริตไม่เคยคดโกง ไปตรวจสอบดูได้ และจริงๆ บ้านช่องใหญ่โตคืออาศัยภรรยาเขาอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินของผมทั้งหมดนะครับ )
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
https://www.facebook.com/thealternativeambassadorreturns/posts/302818368912262
‘เศรษฐา’ ลั่นนั่งนายกฯ พร้อมหล่อหลอม รบ.ผสมข้ามขั้ว เป็นรัฐบาลของประเทศไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4126781
‘เศรษฐา’ ลั่นนั่งนายกฯ พร้อมหล่อหลอม รบ.ผสมข้ามขั้ว เป็นรัฐบาลของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวที่พรรค พท.รวมเสียงโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท.ได้ถึง 315 เสียง มั่นใจว่าจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ว่า มองว่าเสียง 300 ต้นๆ ถือว่ามีเสถียรภาพ แต่ถ้าบริหารเรื่องความคาดหวังของแต่ละพรรคร่วม ต้องมาพูดคุยถึงนโยบายรวมที่จะเป็นนโยบายของรัฐบาล ต้องมาพูดคุยกันให้ดี
เมื่อถามว่า การมาเป็นนายกฯ ขณะที่ประเทศเจอวิกฤตเช่นนี้เหนื่อยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า การมาเป็นผู้นำรัฐบาล การทำงานการเมือง มองว่าก็เหนื่อยตลอด คณิตศาสตร์ที่ออกมาจากการเลือกตั้ง ตัวเลขที่ออกมายิ่งทำให้เหนื่อย มันจะง่ายขึ้นถ้าพรรค พท.ได้แลนด์สไลด์แต่ก็ไม่ได้ ต้องยอมรับและอยู่กับความเป็นจริงว่าไม่ได้แลนด์สไลด์เชื่อทุกพรรคจับมือตั้งรัฐบาลได้
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การเป็นรัฐบาลผสมเช่นนี้จะพาประเทศออกจากหล่มที่เป็นอยู่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า มั่นใจว่าพรรคใดก็ตามที่จะเข้าร่วมรัฐบาลต้องเข้าใจปัญหาปัจจุบัน ทั้งความเป็นอยู่ประชาชนต้องยกระดับขึ้นมา ปัญหาของรัฐธรรมนูญ ปัญหาความขัดแย้งด้านความคิด เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจดี จากการแถลงร่วมกันของแต่ละพรรคทุกคนเข้าใจปัญหาดี การมาร่วมด้วยช่วยกันในรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นเชื่อว่าต้องร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ได้เสียงแลนด์สไลด์ เป้าหมายอาจเป็นอย่างหนึ่ง พอเป็นพรรคร่วมเป้าหมายจะเหมือนกันหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า มั่นใจ เพราะผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 3 เดือน เป็นครั้งยาวนานที่สุดในการตั้งรัฐบาล นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคตกผลึกเรียบร้อยแล้วว่ายากลำบากจึงต้องร่วมด้วยช่วยกัน ปัญหาของประเทศสำคัญที่สุด หน้าที่ของผู้นำรัฐบาลก็ต้องพยายามหล่อหลอมให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไปสู่จุดมุ่งหมายได้ จะเป็นพรรคไหนก็ตาม แต่เชื่อว่าความเป็นห่วงบ้านเมืองต้องมีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มีเงื่อนไขไม่ให้พรรคการเมืองเดิมบริหารกระทรวงเดิมหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า มองว่าเป็นหลักการหนึ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อถามว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เชื่อว่าต้องพูดคุยกัน และต้องให้เกียรติพรรคร่วมด้วย ตรงนี้มีความสำคัญ
เมื่อถามอีกว่า บางคนถูกสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมหากมารับตำแหน่งรัฐมนตรี จะคัดเลือกอย่างไรให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) สง่างาม นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องให้เกียรติผู้ที่ได้รับเสนอชื่อด้วย หากใครที่มีเรื่องคดีความก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ถ้าเป็นไปได้ก็เป็นไปได้
เมื่อถามว่า การมีพรรคร่วมจำนวนมากในฐานะผู้นำรัฐบาลจะสามารถบริหารให้รัฐบาลไปรอดได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า นโยบายรวมเป็นเรื่องสำคัญ การพูดคุยกันก่อนที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยตกลงกัน รวมถึงต้องตั้งเป้าหมายให้เป็นจริง และมีระยะเวลาของแต่ละภารกิจให้ชัดเจนจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน เราอย่าบอกว่ารัฐมนตรีมาจากพรรค ก. หรือ ข. แต่เป็นรัฐบาลของประเทศไทย จึงถือเป็นภารกิจร่วม นายกฯมีหน้าที่หล่อหลอมให้บรรลุไปถึงจุดมุ่งหมายให้ได้
‘ธุรกิจบัตรเครดิต’ห่วงปรับเพิ่มจ่ายขั้นต่ำ 8% กระทบคนจ่ายหนี้
https://www.dailynews.co.th/news/2619171/
ธุรกิจบัตรเครดิต ขอแบงก์ชาติเพิ่มดอกเบี้ย 18% ตอนนี้ 16% ไม่ไหวอยู่ไม่ได้ พร้อมห่วงปรับจ่ายขั้นต่ำขยับเพิ่ม 8% ปีหน้า คนผ่อนจ่ายไม่ไหวกระทบความสามารถชำระหนี้
นายอธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ขอให้ปรับเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากปัจจุบัน 16% ต่อปี อาจขอไป 18% ต่อปี เท่ากับในอดีตก่อนจะปรับลดลงมา แม้ว่าจะต้องการให้ปรับเพิ่มมากกว่านั้น ซึ่งปัจจุบันไทยคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต 16% ต่อปี ถือว่าต่ำสุดในโลก ถ้าหากต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่ม จะยิ่งทำให้กำไรธุรกิจน้อยและอาจอยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาได้ให้มุมมองกับ ธปท.เกี่ยวกับความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ค่อนข้างมาก เพราะในปี 67 จะมีการปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตในแต่ละงวดแบบขั้นบันได จากช่วงโควิดได้ลดมาจ่ายขั้นต่ำ 5% จะเพิ่มเป็น 8% ในปี 67 และจะกลับมาเป็น 10% ตามปกติในปีถัดไป มองว่าจะกระทบกับการใช้จ่ายหนี้ของลูกหนี้ โดยการหารือกับธปท.ขอเลื่อนจ่ายขั้นต่ำ 5% ไปก่อน เหมือนกับปีที่ผ่านมา แต่ธปท.ให้เหตุผลถึงความจำเป็นต้องปรับและยืนยันยังคงต้องปรับ 8% ในปี 67
ทั้งนี้เห็นว่าการปรับกลับมาจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต น่ากังวลเนื่องจากเห็นว่าลูกหนี้มีแนวโน้มอาจได้รับผลกระทบจากการปรับการจ่ายขั้นต่ำมาเป็นขั้นบันไดเพื่อให้ไปสู่ระดับปกติ และกังวลเพราะเคยมีประสบการณ์ในอดีต ที่ปรับจากจ่ายขั้นต่ำ 5% มาเป็น 10% ลูกหนี้เกิดปัญหาจ่ายไม่ไหว ซึ่งในเวลานี้พฤติกรรมคนได้เปลี่ยนไปแล้ว หากปรับจ่ายขั้นต่ำคนจะมีศักยภาพในการจ่ายกลับมาแค่ไหน สำหรับการถือบัตรเครดิตของคนไทยในปัจจุบัน 1 คนเฉลี่ยมี 3 คนต่อใบ ซึ่งอาจต้องจ่ายเพิ่มในทุกใบ ทำให้กระทบกับความสามารถชำระหนี้แน่นอน
ขณะที่อัตราการเติบโตและส่วนแบ่งการตลาดของบัตรเครดิต จำนวนบัญชีในอุตสาหกรรมบัตรเครดิตปัจจุบันเทียบกับสิ้นปี 65 เติบโต 3.1% หนี้คงค้าง เติบโต 4% ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเติบโต 15% เป็นในประเทศ 10% ต่างประเทศ 5.6% และกดเงินสด 27% เทียบกับในปี 62 ก่อนช่วงโควิด จำนวนบัญชีเติบโต 13.6% หนี้คงค้าง เติบโต 17% ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเติบโต 17% เป็นในประเทศ 21% ต่างประเทศ 31% และกดเงินสดติดลบ 18%