ถ้ากำลังเดินไปตามถนน แล้วก็สามารถที่จะข้ามถนนได้ปลอดภัย อย่าไปบอกว่าเขามีสติ

กระทู้นี้ ขอพูดถึงความหมายของ "สติ" ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้นค่ะ

สติ ในทางพุทธ หมายถึง โสภณเจตสิก เป็นเจตสิกที่ดีงาม เป็นไปในกุศลเท่านั้น 

https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/13

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ส.   และสติจริงๆ คืออะไร แต่สติในพุทธศาสนาแล้วต้องหมายความถึง สภาพที่ดีงาม ถ้ากำลังเดินไปตามถนน แล้วก็สามารถที่จะข้ามถนนได้ปลอดภัย อย่าไปบอกว่าเขามีสติ เพราะว่า ถ้าใช้คำว่า สติ ต้องหมายความว่า เป็นไปในกุศลทั้งหมด คือเป็นไปในทานบ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในการฟังธรรม หรือว่า การที่จิตใจสงบจากอกุศลหรือจากการอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะฟังธรรม ขอให้เข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง แต่ส่วนสมาธิเป็นอีกลักษณะหนึ่ง สมาธิคือ ขณะที่จิตใจจดจ้องอยู่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แน่วแน่มั่นคง อย่างเวลาที่เรากำลังตั้งใจทำงานหรือว่า เขียนหนังสือ หรือวาดรูป หรือว่า แม้แต่จะเดินไปตามถนน ปลอดภัย ขณะนั้นก็ไม่ใช่สติ แต่เป็นสมาธิได้ หมายความว่า มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะประคับประคองไม่ให้เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมนี้เป็นเรื่องละเอียด อย่าเพิ่งรวดเร็วที่จะไปทำอะไรขึ้นมา แต่ว่า ให้เป็นความเข้าใจของเราเองว่า เมื่อฟังแล้วจะรู้ว่า ธรรมกับสิ่งที่เราเคยคิดมาก่อน ความหมายต่างกัน และเราจะรู้สึกว่า ถ้าเราฟังและเข้าใจคำที่เราเคยใช้ให้ถูกต้องขึ้น นั่นคือ เราเริ่มเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อย และใจร้อนใจเร็วไม่ได้เลย แต่ละอย่างจะต้องเป็นเรื่องที่พิจารณาจริงๆ และเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดจริงๆ และต้องเป็นไปตามขั้นด้วย ขณะนี้มีสติหรือเปล่า คนอื่นตอบให้ได้ไหม หรือว่าตัวเองต้องตอบเอง ตัวเองต้องตอบเอง ปัญญาของใครก็ของคนนั้น และถ้าทราบว่า สติเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ขณะนี้โลภหรือเปล่า โกรธหรือเปล่า กำลังฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจ เกิดปัญญารู้ถูกต้องในสิ่งที่มี ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหรือเปล่า ถ้าขณะที่ความเข้าใจเกิดขึ้นแม้แต่ฟังเรื่องโลกแล้วจะรู้ว่า โลกที่เราเคยเข้าใจว่า กว้างใหญ่ แท้ที่จริงแล้วเป็นผงละเอียดๆ ซึ่งเกิดดับ แต่ว่าเกิดรวมกันติดกันเป็นก้อนใหญ่ จนกระทั่งทำให้เราเรียกสิ่งนั้นว่า โลก แต่ความจริงโลกทุกขณะจิตนี้ก็แตกย่อย และโลกไม่ใช่มีแต่โอกาสโลก คือโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย แต่โลกยังมีความหมายที่ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดับไปเป็นโลกทั้งหมด เพราะฉะนั้นกำลังเห็นในขณะนี้ก็เป็นโลก กำลังได้ยินในขณะนี้ก็เป็นโลก กำลังคิดหนักในขณะนี้ก็เป็นโลก เพราะถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีโลกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ย่อโลกใหญ่แยกมาเป็นโลกเล็กๆ แต่ละใบ คือโลกของแต่ละคน จริงๆ นี่คือความหมายของโลก เพราะเหตุว่า เราคิดว่าโลกนี้มีคนเยอะ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วก็คือ เห็น มีแน่ๆ ใช่ไหม ขณะนี้เป็นโลกหนึ่ง หลังจากเห็นแล้วยังมีความคิดในสิ่งที่เห็นอีก นั่นก็เป็นโลกทางใจ เพราะเหตุว่า ที่จะห้ามว่าเห็นแล้วไม่ให้คิดถึงสิ่งที่เห็น เป็นไปไม่ได้ แต่เราไม่รู้ตัวว่า แท้ที่จริงแล้วทันทีที่เห็น เรามีความคิด โลกของความคิดเกิดต่อทันที เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องขอเรียนให้ทราบว่า มีโอกาสฟังเมื่อไหร่ ฟังเมื่อนั้น มีโอกาสอ่านเมื่อไหร่ อ่านเมื่อนั้น แล้วเราจะมีความเข้าใจว่า มีอีกมากมายเหลือเกินที่เราจะต้องค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่เพียงนิดหน่อย แต่ว่าเข้าใจถูก ดีกว่าเราฟังเยอะ แต่ว่าเราเข้าใจผิดๆ หรือว่าไม่เข้าใจจริงๆ เลย เพราะฉะนั้นสักคำหนึ่งที่เข้าใจก็มานั่งคิดว่า โลกจริงๆ นั่นก็คือ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ นี่คือโลก และก็โลกของแต่ละคนก็คือ เห็นขณะใดก็เป็นโลกขณะนั้น ได้ยินขณะใดก็เป็นโลกขณะนั้น เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ทุกคนอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดนึกของเราเอง ของโลกใบนี้เอง แล้วแต่โลกใบนี้จะคิดนึกเรื่องอะไร ยากไหม เป็นของจริงที่ลึกลับคือ เรามองเห็นโลก เห็นคนโน้น เห็นคนนี้ เห็นเป็นตัวตน เห็นเป็นวัตถุ เห็นเป็นสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตามความเป็นจริงและลึกลงไปกว่านั้น สำหรับผู้ที่ตรัสรู้ความจริง สามารถที่จะแยกสภาพธรรมออกเป็นแต่ละส่วนจริงๆ โดยละเอียด จนกระทั่งหาความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล ไม่ได้เลย แตกย่อยสภาพธรรมแต่ละอย่างออกเป็นแต่ละลักษณะ แต่ละทาง การที่จะหมดกิเลสได้ ไม่ใช่ไปทำสมาธิแล้วไม่รู้อะไร แต่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่เป็นจริงในขณะนี้คือ กำลังเกิดขึ้นและดับไป ฟังดูยังเหมือนกับเป็นความคิดนึกใช่ไหม เรื่องการเกิดดับ เรื่องโลก เรื่องต่างๆ แต่ว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนั้น จนกว่าเมื่อไหร่จะไม่ใช่เป็นเพียงความคิดนึก แต่เป็นการประจักษ์จริงๆ ก็จะรู้ว่า นี้คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ. สนใจเรื่องของไตรสิกขา อยากจะเรียนถามถึงเรื่องของจิตสิกขา คือการศึกษาเรื่องจิต มีท่านบอกว่า คือการศึกษาให้รู้จักอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นอยากเรียนถามอาจารย์ว่า การศึกษาให้รู้จักอารมณ์ของจิตเป็นอย่างไร

ส. ให้รู้จักอะไร

ถ. อารมณ์ของจิต อารมณ์ของจิต แล้วก็ให้รู้จักจิตที่เป็นไปตามอารมณ์ ให้รู้จักจิตที่เป็นไปตามอารมณ์นี้คืออย่างไร แล้วการที่จะควบคุมรักษาจิตของตนให้มีความสงบจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ๓ ข้อ

ส. มีคำอะไรบ้างที่ทุกคนได้ยิน ลองหยิบมาเป็นคำๆ ที่ยังไม่เข้าใจ ตามที่กล่าวถึง ไตรสิกขาก็ยังไม่ทราบใช่ไหม ไตรแปลว่า ๓ สิกขาก็คือศึกษา แปลว่า การศึกษา ๓ อย่างพร้อมกัน คือเราจะต้องแปลหรือเข้าใจสิ่งที่ใครก็ตามพูด ไม่ใช่ว่า คิดว่าเข้าใจ ไม่พอเลย คิดว่าเข้าใจนั้นไม่ถูก ได้ยินคำไหนต้องเข้าใจชัดเจนในคำนั้น แม้แต่คำว่า ไตรสิกขา ไตร ทุกคนก็รู้ว่า จะใช้คำว่า ไตร หรือจะใช้คำว่า ตรี ก็หมายความถึง ๓ เข้าใจว่า ๓ และ สิกขาคือ ศึกษา โดยมากแต่ก่อนนี้เราก็คิดว่า ศึกษาคือการไปโรงเรียน หรือว่าการฟังตามมหาวิทยาลัยหรืออะไร สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เราเกิดความรู้ ต้องศึกษา ไม่ศึกษาแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นคำนี้ เพียงแต่ยังไม่ถึงคำถามจริงๆ เอาแต่เพียงคำแรกว่า ไตรสิกขา เราก็จะต้องเข้าใจว่า ได้แก่อะไร ไตรสิกขาในที่นี้คือ การอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไตรสิกขาที่ว่า มี ๓ คือ ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ซึ่งมีอีกคำหนึ่งที่อาจจะเพิ่มมาที่ทำให้ละเอียดขึ้นคือ อธิ เติมคำว่า อธิ ข้างหน้า อ.อ่าง ธ.ธง สระอิ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา บางคนก็อาจจะคิดว่า คงเป็นเรื่องง่าย สิกขา ๓ อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่ความจริงแล้ว ต้องอาศัยความเข้าใจตั้งแต่ต้นเป็นลำดับ จึงจะสามารถเข้าใจสิกขา ๓ นี้ได้จริงๆ โดยถูกต้อง แม้แต่คำถามที่ว่า เมื่อกี้นี้คือ เรื่องอารมณ์ ขอเชิญทวนคำถามอีกครั้งได้ไหม ไตรสิกขากับอารมณ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่