[รีวิว] Mission: Impossible: Dead Reckoning Part I - ครึ่งแรกกับการตามล่ากุญแจและการขุดลึกตัวตนของอีธาน ฮันต์

นับตั้งแต่วันที่โลกได้รู้จักกับ “อีธาน ฮันต์” ใน Mission: Impossible (1996) ก็เป็นเวลากว่า 27 ปีแล้ว ที่สายลับจากหน่วย IMF (Impossible Mission Force) ได้ปฏิบัติภารกิจ “ที่เป็นไปไม่ได้” เพื่อช่วยโลกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ภารกิจของเขานั้นต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยในส่วนแรกอย่าง Dead Reckoning Part I นั้น อีธานจะต้องตามหากุญแจรูปกางเขนที่ถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วกุญแจนี้สามารถใช้ควบคุม เอนทิตี้ (Entity) สุดยอด AI ปริศนาที่กำลังแทรกซึมอยู่ในระบบดิจิทัลทั่วโลก ซึ่งได้เกิด “ตื่นรู้” ขึ้นมาและพยายามอัพเกรดตัวเองให้การเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ภารกิจของอีธาน ฮันต์ ก็คือ ต้องชิงกุญแจนี้มาให้ได้ก่อนและตามหาเครื่องเซิฟเวอร์หลักของเอนทิตี้และทำลายมันทิ้งก่อนที่มันจะตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี

Dead Reckoning Part I โฟกัสไปที่ภารกิจชิงกุญแจ แน่นอนว่าอาวุธที่ทรงพลังระดับนี้จึงไม่ได้มีแค่ IMF เท่านั้นที่ต้องการ แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มคนต่างๆ ที่ต้องการครอบครองเพราะหวังในพลังของมัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอนทิตี้เองก็ต้องการกุญแจเพื่อจะไม่ให้ใครครอบครองมันได้อีกทีนึง ทำให้ภาพรวมของเรื่องเป็นการตะลุมบอนกันเพื่อแย่งกุญแจดอกนี้เพียงอย่างเดียว ในแง่ดี คือ ตัวหนังก็ยังเล่าเรื่องได้น่าติดตามว่าใครเป็นใคร กุญแจตอนนี้ไปอยู่ที่ใครแล้ว อีธานจะชิงกุญแจมาได้หรือไม่ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่หนังจะเต็มไปด้วยบทสนทนาเพื่อเล่าความเป็นมาของตัวละครและแผนการกลยุทธ์ต่างๆ จึงจะมีช่วงที่ความตื่นเต้นดรอปลงไปบ้าง

แม้ภารกิจชิงกุญแจในตอนต้นเรื่องที่สนามบินในอาบูดาบีจะมอบความบันเทิงได้ดีในแบบฉบับของ Mission: Impossible กับฉากการแฝงตัว การวางแผน การเล่นกล การใช้ไหวพริบของอีธาน ฮันต์ และทีมในการปฏิบัติภารกิจ แต่หลังจากกุญแจและตัวละครต้องเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ สภาพของภารกิจกลับกลายเป็นการตามล่าและเน้นการเคลื่อนที่โดยใช้พาหนะเสียมากกว่า(นึกว่า Fast X แถมยังใช้ฉากหลังที่อิตาลีเหมือนกัน) ความบีบคั้น ความตึงเครียด และความระทึกตามแบบฉบับจึงหดหายไป (คาดว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะปรากฏใน Part II เยอะขึ้น)

และแม้ฉากแอคชั่นทั้งหลายรวมถึงฉากเสี่ยงตายของทอม ครูซ ในภาคนี้ กับการขี่มอเตอร์ไซค์ Honda CRF 250 พุ่งทะยานจากหน้าผาหินในประเทศนอร์เวย์ ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร จะมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจ แต่พอมาอยู่ในหนังฉากเหล่านี้กลับไม่ได้ทรงพลังมากไปกว่าฉากแบบเดียวกันในหนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์ทั้งหลายก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่นัก ทั้ง Indiana Jones 5, John Wick: Chapter 4 หรือแม้แต่ Fast X ก็ตามที ดังนั้นการเข้าฉายใกล้ๆ กันของหนังฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่องจึงไม่ค่อยเป็นผลดีต่อผู้ชมในแง่การรับรู้ความตื่นเต้น ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอได้เห็นมากๆ เข้า ก็ทำให้ความตื่นเต้นลดลงไปพอดูเลย

แต่มีนัยสำคัญบางอย่างที่น่าสนใจ ที่ Mission: Impossible ภาคนี้หยิบยกขึ้นมาเล่าอย่างจริงจัง ถึงเรื่องแรงขับทางอารมณ์ของอีธาน ฮันต์ ที่เห็นได้ชัดว่าเขามีความหวั่นไหวและเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งถูกแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน ชีวิตการเป็นสายลับของ IMF ย่อมทำให้เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะของคนปกติเลย สิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาจึงเห็นจะเป็นเหล่าสหายในทีม ทั้ง ลูเธอร์ สติกเคลล์ (Ving Rhames) และเบนจี ดันน์ (Simon Pegg) เอนทิตี้ที่เห็นจุดอ่อนในข้อนี้จึงใช้มันเพื่อนเล่นงานอีธานจนเป๋ไปเหมือนกัน

นอกจากนั้นอีธานยังกลายเป็น “นักรัก” ในภาคนี้อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าการร่วมภารกิจกับ เกรซ (Hayley Atwell) สาวนักล้วงกระเป๋าปริศนา ทำให้อีธานดูมีชีวิตชีวามากขึ้น การสอดแทรกจังหวะมุกตลกหลายๆ ครั้งก็เป็นตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน นี่ยังไม่รวมไปถึงสาวงามอีกหลายคน ทั้งเพื่อน(?)เก่านักแม่นปืนอย่าง อิลซา ฟาวสต์ (Rebecca Ferguson) แม่หม้ายขาว (Vanessa Kirby) และ ปารีส (Pom Klementieff) มือสังหารสาวคู่กายของตัวร้ายหลักในภาคนี้นามว่า แกเบรียล (Esai Morales) ที่ถูกใช้งานจากเอนทิตี้อีกทอดหนึ่ง ซึ่งแม้ตัวหนังจะไม่ได้จับคู่อีธานกับสาวๆ โดยตรง แต่ก็ไม่ได้วางพวกเธอในฐานะของศัตรูที่ต้องกำจัด แต่ยังมีเยื่อใยและความสัมพันธ์บางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะสามารถพัฒนาต่อได้ด้วย
.
Hayley Atwell
Rebecca Ferguson

Vanessa Kirby

Pom Klementieff
.
อีกนัยยะหนึ่งในการต่อต้านเทคโนโลยีของทอม ครูซ เอง ยังถูกเล่าออกมาไม่เพียงแต่เฉพาะกับ Dead Reckoning Part I เท่านั้น แต่ในหนังพันล้านก่อนหน้านี้ของเขาอย่าง Top Gun: Maverick ก็ยังมีจุดยืนในการแสดงความเก่งกาจของมนุษย์ที่อยู่เหนือเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่า AI ทั้งหลาย นั่นยังรวมไปถึงในแง่ของการถ่ายทำที่พยายามใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างเทคนิคพิเศษด้านภาพ หรือ CGI ให้น้อยที่สุด และสร้าง “ของจริง” ให้ผู้ชมได้สัมผัส เพื่อเชิดชูจิตวิญญาณของมนุษย์ในแบบที่คอมพิวเตอร์หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถทำได้

สรุป Mission: Impossible: Dead Reckoning Part I แม้จะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งแต่ก็เป็นครึ่งที่สนุกและได้คุณภาพตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ พร้อมกับแสดงจุดยืนที่ทอม ครูซ ได้ตั้งใจไว้ กับการสร้างมหรสพที่จะเชิญชวนผู้คนให้กลับไปชมภาพยนตร์ในโรงอีกครั้ง แต่ก็ด้วยความที่เป็นครึ่งแรกจึงมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ถูกเล่าและคาดว่าในครึ่งหลังน่าจะมีอะไรเซอร์ไพร์สแน่นอน

Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่