
- 8.8.88 ไม่ใช่การบอกใบ้หวย ตีเลขสวย ๆ ไว้ซื้อล็อตเตอรี่แต่อย่างใด หาก Keywords ของชื่อเรื่องนี้ดังกล่าวพูดถึงเหตุการณ์สำคัญ ณ วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 เมื่อพ่อและแม่ของเด็กชายที่ชื่อ ทาร์จิ ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาลเผด็จการนายพลเนวิน ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า จากการถูกกดดันทางการศึกษาและการงาน ทำให้พ่อและแม่ของเขาต้องอพยพถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ โดยเรื่องราวที่เกริ่นนำไปนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของเด็กชาย ทาร์จิ เสริมด้วยการบรรยายตัวอักษรเป็นภาษาพม่าและแปลด้วยภาษาไทยไว้ด้านล่างอีกที
- เปิดเรื่องมาก็พบกับดวงจันทร์ดวงใหญ่ปรากฎตรงหน้าแล้วมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งมองอยู่หน้าชายหาดด้วยอารมณ์บางอย่างพร้อมกับบทสนทนาพร่ำพรรณนาว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ทำงานอะไร และ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ให้เราได้รับทราบพร้อมกัน โดยการถ่ายทำจะใช้กล้องโฟกัสไปที่ตัวเด็กชายเป็นส่วนใหญ่ มีแวะถ่ายเหมือนเป็น Vlog ชีวิตประจำวันส่วนตัว เดินทางไปพบปะคนโน้นพูดคุยคนนี้เป็นระยะเพื่อสำรวจเรื่องราวให้ลึกลงไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
- Scene ที่ผมประทับใจมีอยู่ 2 Scene คือ Scene ที่ ทาร์จิ คุยกับพ่อในเรือด้วยความไร้เดียงสาและความอยากรู้แบบเป็นกันเองแล้วยังทำให้เราได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตัว ทาร์จิ และพ่อแม่ของน้องต้องอพยพมาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่มีภาพประกอบเหตุการณ์ดังกล่าวมาเสริมประกอบ แต่ Details ที่พ่อพูดกับลูกชายสื่อด้วยความรู้สึกเอื้ออาธรณ์แต่แฝงด้วยความทรงจำที่เจ็บปวด ดีที่ได้บรรยากาศรอบข้างที่ล้อมรอบทะเลช่วยกลบความโศกเศร้าจากข้อมูลที่ได้รับฟังมาให้ผ่อนคลายลงไปได้เยอะ และ Scene ที่ ทาร์จิ คุยกับเพื่อนของเขาในเรือ มันเป็นบทสนทนาที่ไม่ได้แค่พูดเล่นไร้สาระตามวัยแต่มันก้าวไปไกลถึงขั้นมองเห็นถึงอนาคตภาคหน้าว่าต่อไปชีวิตเราจะเป็นอย่างไร จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นประโยคคำถามที่สัมผัสถึงความจริงของโลกใบนี้ได้น่าสนใจมาก ๆ
- สรุป ตลอดเวลา 25 นาที สำหรับผมชอบมาก ดูเพลิดเพลินใส ๆ ชวนติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบ และได้รับข้อมูลจากความเป็นสารคดีชีวประวัติผสมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กันอิ่มเอมใจไปกับบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ไม่ค่อยเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศพม่าสมัยนั้นเท่าไหร่ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคยมีเรื่องนี้มาก่อน แต่ถ้ามองในส่วนของการกำกับของคุณโจ๊ก วิชาติ สมแก้ว ทั้ง มุมกล้องที่เป็นธรรมชาติ , การจัดแสงสีเสียงก็แอบคิดถึงสไตล์งานของผู้กำกับ หว่องกาไว ในอารมณ์เหงา ๆ ขึ้นมาหน่อย ซึ่งถ่ายทอดความแตกต่างระหว่างวิถีชีวิตของคนพม่าและคนไทยได้อย่างกลมกลืน และตรง Concept ภายใต้ของการพูดถึงความเป็นที่อื่น ไม่ว่า ในเชิงพื้นที่ (พม่า-ไทย) ในเชิงสัญชาติ(สัญชาติพม่า-สัญชาติไทย) และ ในความเป็นพม่า (พม่า- มอญ- ไทย) รวมทั้งเรื่องมนุษยธรรมในระบบชนชั้น เพื่อนำเสนอสิทธิ ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรต่อก็ไปค้นหาข้อมูลตามหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมเพื่อประติดประต่อเรื่องราวให้กว้างขวางขึ้นอีกที
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.49 8.8.88 : A Documentary By Vichart Somkaew
- 8.8.88 ไม่ใช่การบอกใบ้หวย ตีเลขสวย ๆ ไว้ซื้อล็อตเตอรี่แต่อย่างใด หาก Keywords ของชื่อเรื่องนี้ดังกล่าวพูดถึงเหตุการณ์สำคัญ ณ วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 เมื่อพ่อและแม่ของเด็กชายที่ชื่อ ทาร์จิ ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาลเผด็จการนายพลเนวิน ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า จากการถูกกดดันทางการศึกษาและการงาน ทำให้พ่อและแม่ของเขาต้องอพยพถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ โดยเรื่องราวที่เกริ่นนำไปนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของเด็กชาย ทาร์จิ เสริมด้วยการบรรยายตัวอักษรเป็นภาษาพม่าและแปลด้วยภาษาไทยไว้ด้านล่างอีกที
- เปิดเรื่องมาก็พบกับดวงจันทร์ดวงใหญ่ปรากฎตรงหน้าแล้วมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งมองอยู่หน้าชายหาดด้วยอารมณ์บางอย่างพร้อมกับบทสนทนาพร่ำพรรณนาว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ทำงานอะไร และ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ให้เราได้รับทราบพร้อมกัน โดยการถ่ายทำจะใช้กล้องโฟกัสไปที่ตัวเด็กชายเป็นส่วนใหญ่ มีแวะถ่ายเหมือนเป็น Vlog ชีวิตประจำวันส่วนตัว เดินทางไปพบปะคนโน้นพูดคุยคนนี้เป็นระยะเพื่อสำรวจเรื่องราวให้ลึกลงไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
- Scene ที่ผมประทับใจมีอยู่ 2 Scene คือ Scene ที่ ทาร์จิ คุยกับพ่อในเรือด้วยความไร้เดียงสาและความอยากรู้แบบเป็นกันเองแล้วยังทำให้เราได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตัว ทาร์จิ และพ่อแม่ของน้องต้องอพยพมาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่มีภาพประกอบเหตุการณ์ดังกล่าวมาเสริมประกอบ แต่ Details ที่พ่อพูดกับลูกชายสื่อด้วยความรู้สึกเอื้ออาธรณ์แต่แฝงด้วยความทรงจำที่เจ็บปวด ดีที่ได้บรรยากาศรอบข้างที่ล้อมรอบทะเลช่วยกลบความโศกเศร้าจากข้อมูลที่ได้รับฟังมาให้ผ่อนคลายลงไปได้เยอะ และ Scene ที่ ทาร์จิ คุยกับเพื่อนของเขาในเรือ มันเป็นบทสนทนาที่ไม่ได้แค่พูดเล่นไร้สาระตามวัยแต่มันก้าวไปไกลถึงขั้นมองเห็นถึงอนาคตภาคหน้าว่าต่อไปชีวิตเราจะเป็นอย่างไร จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นประโยคคำถามที่สัมผัสถึงความจริงของโลกใบนี้ได้น่าสนใจมาก ๆ
- สรุป ตลอดเวลา 25 นาที สำหรับผมชอบมาก ดูเพลิดเพลินใส ๆ ชวนติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบ และได้รับข้อมูลจากความเป็นสารคดีชีวประวัติผสมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กันอิ่มเอมใจไปกับบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ไม่ค่อยเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศพม่าสมัยนั้นเท่าไหร่ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคยมีเรื่องนี้มาก่อน แต่ถ้ามองในส่วนของการกำกับของคุณโจ๊ก วิชาติ สมแก้ว ทั้ง มุมกล้องที่เป็นธรรมชาติ , การจัดแสงสีเสียงก็แอบคิดถึงสไตล์งานของผู้กำกับ หว่องกาไว ในอารมณ์เหงา ๆ ขึ้นมาหน่อย ซึ่งถ่ายทอดความแตกต่างระหว่างวิถีชีวิตของคนพม่าและคนไทยได้อย่างกลมกลืน และตรง Concept ภายใต้ของการพูดถึงความเป็นที่อื่น ไม่ว่า ในเชิงพื้นที่ (พม่า-ไทย) ในเชิงสัญชาติ(สัญชาติพม่า-สัญชาติไทย) และ ในความเป็นพม่า (พม่า- มอญ- ไทย) รวมทั้งเรื่องมนุษยธรรมในระบบชนชั้น เพื่อนำเสนอสิทธิ ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรต่อก็ไปค้นหาข้อมูลตามหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมเพื่อประติดประต่อเรื่องราวให้กว้างขวางขึ้นอีกที
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้