sukapa ที่คนอินเดียเรียก ก็คือ เสือข่านฟ้า (เสอก่าพ่า - ตามภาษาไตกะได )ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาหม(ค.ศ. 1228 - 1824 มีอายุเกือบ 600 ปีของอาณาจักร)ช่วงสมัยเดียวกับการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย( ค.ศ. 1238 - 1438 ) อพยพเข้ามาในดินแดนอาหม โดยข้ามภูเขาปาดไก่ทางเหนือของพม่า ไทพวกนี้มาจากอาณาจักรไทโบราณอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่า "ปง" คือโมกอง (เมืองกอง) เมืองในบริเวณรัฐฉานปัจจุบัน และเริ่มประวัติศาสตร์อาหมเมื่อ ค.ศ. 1228 เมื่อเสือข่านฟ้า ปฐมบรมราชวงศ์อาหมได้วางรากฐานในอาณาจักรของพระองค์ ช่วงแรกของชาวอาหมนั้นอพยพตามAhom Buranjiกล่าวไว้ว่ามีกษัตริย์ 1 พระองค์ ขุนนาง 8 คน ช้าง 2 เชือก และม้าอีก 300 ตัว ประชากร 9,000 คน รวมทั้งสตรี และเด็ก เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณดินแดนอาหม
คำว่า อาหม คือคำเดียวกับคำว่า Assam(อัสสัม) ที่ออกเสียงโดยคนไตกะไดจากทางฉานทางยูนนาน เมื่อไปอยู่พื้นที่ใดก็มักจะนิยมเอาชื่อเมืองบริเวณนั้นๆเป็นชื่อต่อท้ายหลังชื่อชนกลุ่มของตน ส่วนไตตะวันออกเช่น ไตแดงไตดำ ไตขาว จะเอาลักษณะสีเสื้อผ้าเป็นตัวบอกกลุ่มชนของตน
และ ผู้นำที่โดดเด่นของไทอาหมคือ ลาชิตฯผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ชนะนำทัพไทอาหมชนะกองทัพโมกุล หลังจากนั้นก็เกณฑ์ผู้คนที่ไม่ต้องการเข้ากับโมกุลก็มาเข้าร่วมในกองทัพและไพร่พล ภายใต้ระบบการปกครองแบบ Paik(ไพร่)ที่ทางไทอาหมโดยเสือข่านฟ้า(sukapa ) รวมถึงมีทรัพยากรอาหารจากการทำนาขั้นบันได ที่เป็นเอกลักษณ์คนไต-กะไดหรือเทคโนโลยีการทำนาในสมัยนั้นซึ่งได้ผลผลิตจำนวนมาก ทำให้กองทัพสามารถขยายผู้คนจาก 9 พันคน(ในยุคเสือข่านฟ้า) จนมีมากถึง 4 ล้านคนในท้ายที่สุดของช่วงอายุอาณาจักรอาหมเกือบ 600 ปี
อาณาจักรไทอาหม รวมกับกลุ่มผู้นำสามพี่น้องไตจากฉาน ช่วยตีเมืองจนสร้างอาณาจักรไทมาว อาณาจักรปินยา อาณาจักรสกาย ทำให้มีกำลังคอยซับพอร์ตตลอดเวลาที่รบกับโมกุล
https://en.wikipedia.org/wiki/Ahom_Army
การรบที่ซารายัตเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในความพยายามครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของพวกโมกุลในการขยายอาณาจักรของตนไปยังอาณาจักรอัสสัม(อาหม) แม้ว่าพวกโมกุลสามารถยึดกูวาฮาติกลับคืนมาได้ในเวลาสั้นๆ หลังจากที่ลาชิตฯละทิ้งเมืองนี้ไปแล้ว แต่พวกไทอาหมก็แย่งชิงอำนาจคืนในสมรภูมิอิตาคุลีในปี ค.ศ. 1682 และรักษาดินแดนนี้ไว้จนกระทั่งสิ้นสุดการปกครอง
https://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Saraighat
มีคนแขกเอาการรบของลาชิตฯ ในการต่อสู้ที่ซารายัต กับโมกุล ไปเทียบกับ ยูเครน รบ รัสเซียด้วย 555
ซึ่งทางไทอาหมไม่เคยเสียเอกราชให้กับทางโมกุลในการรบการถึง 17 ครั้ง แต่ต้องแพ้ให้กับทางอังวะจากทางตอนใต้ของพม่า แต่ที่สุดแล้วก็ถูกอังกฤษเข้ายึดในปี พ.ศ. 2369(ค.ศ. 1826)
https://testbook.com/ias-preparation/ahom-kingdom-1228-1826
ชาวไทอาหมเป็นพวกที่มีความรู้ในการบันทึกหนังสือ จึงมีตำนานพงศาวดารเป็นของตนเอง ตำนานเล่มนี้เรียกว่าอาหมโบราณจี (Ahom Buranji ) เป็นเอกสารที่ช่วยให้ศึกษาประวัติศาสตร์ของไทอาหมได้ดี และส่วนใหญ่บุราณจีนั้นจะเขียนด้วยภาษาและอักษรอาหม ในพงศาวดารนี้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับนิยายการสร้างโลก ประวัติต้นตระกูลกษัตริย์อาหม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมไปถึงพระราชประวัติของกษัตริย์อาหมในแต่ละพระองค์
https://th.wikipedia.org/wiki/อาหม
ภาษาอาหม เป็นภาษาที่ตายแล้วในตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาอาหมนั้นมีอักษร และถ้อยคำของตนใช้สื่อสารทั้งพูดและเขียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ชาวอาหมในปัจจุบันนั้นหันไปใช้ภาษาอัสสัมซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำที่บันทึกจารึกไว้ในคัมภีร์ในบทสวดในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงให้เห็นว่านักบวชชาวไทอาหมยังใช้ภาษาไทได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูภาษา
แม้ว่าภาษาอาหมจะมีการฟื้นฟูอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา ช่วงที่ 1 ในสมัยพระเจ้าจักรธวัช สิงห์ในช่วง ค.ศ. 1663 ช่วงที่ 2 ในยุคหลังจากอังกฤษเข้าปกครองในรัฐอัสสัมราวปี ค.ศ. 1826 และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการฟื้นฟูภาษาไทและตั้งสมาคมวรรณกรรมไทตะวันออก (Eastern Tai Literary Association) ที่เมืองกูวาฮาติ โดยมุ่งมั่นปฏิบัติให้พัฒนาการเรียน เขียนอ่านภาษาอาหม พร้อมกันนี้ให้สนับสนุนให้ค้นคว้าศึกษาเอกสารโบราณของชาวอาหมอย่างจริงจัง การฟื้นฟูภาษาอาหมนั้นอาศัยสัทวิทยาของภาษาพี่น้องเข้าช่วยในการถอดความหมายคำ เช่น ภาษาอ้ายตนและภาษาพ่าเก โดยภาษาดังกล่าวจะถูกเรียกว่า ภาษาไทในอัสสัม
https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาอาหม
งานวิจัยของ อนิสรา รัศมีเจริญ เรื่อง The factore related to aussumese loanword in tai ahom language (ปัจจัยที่ทำให้เกิดคำยืมภาษาอัสสัมในภาษาไทอาหม )
ไทอาหม ใช้ระบบศาสนาแบบพื้นบ้าน “Me-Dam-Me-Phi”(แม่ด้ำแม่ผี) ควบคู่ กับศาสนาแบบอินเดีย
“เม-ดัม-เม-พี” เป็นพิธีกรรมโบราณเพื่อบูชาบรรพบุรุษของชาวไทอาหม รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ตั้งแต่สมัยปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรอาหม พิธีกรรมนี้มีอยู่ในเอกสารโบราณชื่อ Ahom Buranji หรือพงศาวดารของชาวไทอาหม ซึ่งกล่าวถึงพิธีกรรมที่กษัตริย์ไทอาหมทำมาหลายสมัยเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและเฉลิมฉลองชัยชนะหลังสงครามครั้งใหญ่ ปัจจุบันชาวไทอาหมตั้งถิ่นฐานทั่วรัฐอัสสัมตอนบนทำพิธีนี้พร้อมกันทุกวันที่ 31 มกราคม วันนั้น รัฐบาลของรัฐอัสสัมประกาศให้เป็นวันหยุดราชการประจำปี ผลการวิจัยพบว่าบทบาทของประเพณีและพิธีกรรมเปลี่ยนไป พัฒนาและผสมผสานเข้ากับแผนของขบวนการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของผู้นำและปัญญาชนไทอาหมที่ดำเนินไปและเข้มข้นในหลายองค์กร ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกทางการเมืองและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของไทอาหมท่ามกลางสังคมหลายเชื้อชาติของรัฐอัสสัมและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jasac/article/view/243153
อาหมเป็นชาวไทที่ไม่ได้รับศาสนาพุทธ เมื่อเสือก่าฟ้านำชาวไทจากเมืองเมาหลวงในรัฐฉานจำนวน 9,000 คน ข้ามช่องเขาปาดไก่มาตั้งอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในปี ค.ศ. 1228 และตลอดเวลากว่า 600 ปีที่เป็นเอกราช สังคมอาหมเองก็ไม่ได้รับความเชื่อจากศาสนาพุทธเลย
โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า กษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อสวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีเรือนคอยดูแลทุกข์สุขของคนในครอบครัว ความว่า "แสงก่อฟ้า...ตายเป็นด้ำผีเรือนช่วยคุ้ม" ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ(ผีค้ำ) ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว และคำว่า ด้ำเรือน มีความหมายว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วกลายเป็นผีเฝ้าเรือน โดยในอาหมบุราณจีภาคพื้นดิน ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า "เจ้าฟ้าจึงมาเมืองมาตักแขก (เคารพบูชา) ผีด้ำที่ว่านี้" และกล่าวถึงกษัตริย์อาหมประกอบพิธีเมด้ำเมผี ชาวอาหมถือว่าบรรพบุรุษที่เหนือเราไปชั้นแรกๆ หรือผู้ที่ตายไปไม่กี่ชั่วอายุคนจะคอยปกป้องครอบครัวญาติพี่น้องที่ยังอยู่
ผีของชาวอาหมเกิดจากธรรมชาติและบรรพบุรุษ โดยอาหมบุราณจีภาคสวรรค์ ได้กล่าวว่า ฟ้า (หรือ ฟ้าตือจึ้ง) เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า เมื่อกษัตริย์ได้สวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีบรรพบุรุษคอยดูแลทุกข์สุข ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว มาเฝ้าเรือน
ชาวอาหมไม่เคยสูญเสียการบูชาบรรพบุรุษ เพียงแต่หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุสูญเสียสถานะในการปกครองไปจึงกลายเป็นพวกนอกวรรณะ ปัญญาชนชาวอาหมที่เป็นผู้นำในการเลิกนับถือศาสนาฮินดูได้ทำให้พิธีการบูชาบรรพบุรุษเด่นชัดขึ้น พร้อมทั้งมีการจัดพิธีไหว้ผีเป็นประจำ โดยมีการตั้งหลักไฟ ซึ่งเป็นเสาไม้จุดรายรอบปะรำเล็กๆ ไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงพิธีบูชาบรรพบุรุษที่เรียกว่า เมด้ำเมผี ครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองรังคปุระ แต่ชาวอาหมฮินดูบางส่วนอย่างเช่นในหมู่บ้านบอราโจโหกีจึงมีแนวโน้มหันไปนับถือศาสนาพุทธกันมากขึ้นเพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีนายทนุราม โกกอย เป็นชาวไทอาหมคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยปฏิบัติศาสนกิจกันที่วัดทิสังปานี ในหมู่บ้านทิสังปานี ของชาวไทคำยัง
https://th.wikipedia.org/wiki/อาหม
และอีกอย่างระบบไพก์ ของทางไทอาหม ก็จะแตกต่างกับระบบไพร่ของทางรัตนโกสินทร์
ตำแหน่งการปกครองและระบบไพก์ในอาณาจักรอาหม ค.ศ. 1228 - 1826 (ขนบพร วงศ์กาฬสินธุ์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/107084/84732
ในหลายๆการรบ 17 ครั้ง เป็นการรบที่มีทั้งทางบกและทางเรือ มีการใช้กลยุทธในการรบเยอะมาก และผู้นำที่เป็นผู้บัญชาการปราชญ์อีกคนที่คนอินเดียให้การยอมรับ คือ ลาชิตฯ (ชื่อไตกะไดชื่ออะไรไม่รู้) คนอินเดียหลายคนมีเอ่ยปากอยากให้ทำเป็นหนังบอลลี่วูด ได้เลยเพราะการรบ ของคนที่น้อยกว่าต้านทานคนที่มากกว่าไว้ได้มากมาย เอาแค่ บางสมรภูมิเด่นๆ มาทำแบบสามก๊กยังได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นกลุ่มของคนไทที่มายิ่งใหญ่ในดินแดนอินเดียและคนอินเดียถือว่าเป็นคนนอกรีตนอกศาสนาอินเดียมั่งเลยไม่เชิดชูเท่ากับกลุ่มอื่น ทั้งที่จริงยีนคนอาหมปัจจุบันน่าจะแขกเกือบหมด มีเหลือยีนไทไม่เท่าไหร่ คนอินเดียหลายคนก็เริ่มมาศึกษาอาณาจักรต่างๆที่อยู่ก่อนหรืออยู่ร่วมสมัยก่อนโมกุลยึดค่อนข้างเยอะละ คิดว่าคงได้เห็นหนังแนวยุทธการของไตอาหมในหนังบอลลีวูดในอนาคต
ราชวงศ์โมกุล ที่แม้แต่เจงกีสข่านก็ยังก็ยังแพ้ในการบุกรบเพื่อยึดอินเดีย แปลว่า ไทอัสสัม(ไทอาหม) เองก็มีคนดีมีฝีมือเยอะด้วยเช่นกัน (ยังสงสัยเล่นๆว่า หลังจากที่เจงกีสข่านจนถึงสมัยกุบไล่ข่านไม่คิดรบอินเดีย เพราะมีกำลังส่งมาสนับสนุน ไทอาหมและอาณาจักรไทอื่นๆเช่น มาวหลวง สกาย ปินยา ทำเป็นรัฐกันชนด้วยรึเปล่า )
Lachit Barphukan นายพลที่เป็นตำนานของไทอาหม
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทางคนอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือมีการพูดถึงคำว่า tai ahom VS mokhul บ่อยขึ้น
sukapa ที่คนอินเดียเรียก ก็คือ เสือข่านฟ้า (เสอก่าพ่า - ตามภาษาไตกะได )ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาหม(ค.ศ. 1228 - 1824 มีอายุเกือบ 600 ปีของอาณาจักร)ช่วงสมัยเดียวกับการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย( ค.ศ. 1238 - 1438 ) อพยพเข้ามาในดินแดนอาหม โดยข้ามภูเขาปาดไก่ทางเหนือของพม่า ไทพวกนี้มาจากอาณาจักรไทโบราณอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่า "ปง" คือโมกอง (เมืองกอง) เมืองในบริเวณรัฐฉานปัจจุบัน และเริ่มประวัติศาสตร์อาหมเมื่อ ค.ศ. 1228 เมื่อเสือข่านฟ้า ปฐมบรมราชวงศ์อาหมได้วางรากฐานในอาณาจักรของพระองค์ ช่วงแรกของชาวอาหมนั้นอพยพตามAhom Buranjiกล่าวไว้ว่ามีกษัตริย์ 1 พระองค์ ขุนนาง 8 คน ช้าง 2 เชือก และม้าอีก 300 ตัว ประชากร 9,000 คน รวมทั้งสตรี และเด็ก เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณดินแดนอาหม
คำว่า อาหม คือคำเดียวกับคำว่า Assam(อัสสัม) ที่ออกเสียงโดยคนไตกะไดจากทางฉานทางยูนนาน เมื่อไปอยู่พื้นที่ใดก็มักจะนิยมเอาชื่อเมืองบริเวณนั้นๆเป็นชื่อต่อท้ายหลังชื่อชนกลุ่มของตน ส่วนไตตะวันออกเช่น ไตแดงไตดำ ไตขาว จะเอาลักษณะสีเสื้อผ้าเป็นตัวบอกกลุ่มชนของตน
และ ผู้นำที่โดดเด่นของไทอาหมคือ ลาชิตฯผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ชนะนำทัพไทอาหมชนะกองทัพโมกุล หลังจากนั้นก็เกณฑ์ผู้คนที่ไม่ต้องการเข้ากับโมกุลก็มาเข้าร่วมในกองทัพและไพร่พล ภายใต้ระบบการปกครองแบบ Paik(ไพร่)ที่ทางไทอาหมโดยเสือข่านฟ้า(sukapa ) รวมถึงมีทรัพยากรอาหารจากการทำนาขั้นบันได ที่เป็นเอกลักษณ์คนไต-กะไดหรือเทคโนโลยีการทำนาในสมัยนั้นซึ่งได้ผลผลิตจำนวนมาก ทำให้กองทัพสามารถขยายผู้คนจาก 9 พันคน(ในยุคเสือข่านฟ้า) จนมีมากถึง 4 ล้านคนในท้ายที่สุดของช่วงอายุอาณาจักรอาหมเกือบ 600 ปี
อาณาจักรไทอาหม รวมกับกลุ่มผู้นำสามพี่น้องไตจากฉาน ช่วยตีเมืองจนสร้างอาณาจักรไทมาว อาณาจักรปินยา อาณาจักรสกาย ทำให้มีกำลังคอยซับพอร์ตตลอดเวลาที่รบกับโมกุล
https://en.wikipedia.org/wiki/Ahom_Army
การรบที่ซารายัตเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในความพยายามครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของพวกโมกุลในการขยายอาณาจักรของตนไปยังอาณาจักรอัสสัม(อาหม) แม้ว่าพวกโมกุลสามารถยึดกูวาฮาติกลับคืนมาได้ในเวลาสั้นๆ หลังจากที่ลาชิตฯละทิ้งเมืองนี้ไปแล้ว แต่พวกไทอาหมก็แย่งชิงอำนาจคืนในสมรภูมิอิตาคุลีในปี ค.ศ. 1682 และรักษาดินแดนนี้ไว้จนกระทั่งสิ้นสุดการปกครอง
https://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Saraighat
มีคนแขกเอาการรบของลาชิตฯ ในการต่อสู้ที่ซารายัต กับโมกุล ไปเทียบกับ ยูเครน รบ รัสเซียด้วย 555
ซึ่งทางไทอาหมไม่เคยเสียเอกราชให้กับทางโมกุลในการรบการถึง 17 ครั้ง แต่ต้องแพ้ให้กับทางอังวะจากทางตอนใต้ของพม่า แต่ที่สุดแล้วก็ถูกอังกฤษเข้ายึดในปี พ.ศ. 2369(ค.ศ. 1826)
https://testbook.com/ias-preparation/ahom-kingdom-1228-1826
ชาวไทอาหมเป็นพวกที่มีความรู้ในการบันทึกหนังสือ จึงมีตำนานพงศาวดารเป็นของตนเอง ตำนานเล่มนี้เรียกว่าอาหมโบราณจี (Ahom Buranji ) เป็นเอกสารที่ช่วยให้ศึกษาประวัติศาสตร์ของไทอาหมได้ดี และส่วนใหญ่บุราณจีนั้นจะเขียนด้วยภาษาและอักษรอาหม ในพงศาวดารนี้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับนิยายการสร้างโลก ประวัติต้นตระกูลกษัตริย์อาหม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมไปถึงพระราชประวัติของกษัตริย์อาหมในแต่ละพระองค์
https://th.wikipedia.org/wiki/อาหม
ภาษาอาหม เป็นภาษาที่ตายแล้วในตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาอาหมนั้นมีอักษร และถ้อยคำของตนใช้สื่อสารทั้งพูดและเขียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ชาวอาหมในปัจจุบันนั้นหันไปใช้ภาษาอัสสัมซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำที่บันทึกจารึกไว้ในคัมภีร์ในบทสวดในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงให้เห็นว่านักบวชชาวไทอาหมยังใช้ภาษาไทได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูภาษา
แม้ว่าภาษาอาหมจะมีการฟื้นฟูอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา ช่วงที่ 1 ในสมัยพระเจ้าจักรธวัช สิงห์ในช่วง ค.ศ. 1663 ช่วงที่ 2 ในยุคหลังจากอังกฤษเข้าปกครองในรัฐอัสสัมราวปี ค.ศ. 1826 และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการฟื้นฟูภาษาไทและตั้งสมาคมวรรณกรรมไทตะวันออก (Eastern Tai Literary Association) ที่เมืองกูวาฮาติ โดยมุ่งมั่นปฏิบัติให้พัฒนาการเรียน เขียนอ่านภาษาอาหม พร้อมกันนี้ให้สนับสนุนให้ค้นคว้าศึกษาเอกสารโบราณของชาวอาหมอย่างจริงจัง การฟื้นฟูภาษาอาหมนั้นอาศัยสัทวิทยาของภาษาพี่น้องเข้าช่วยในการถอดความหมายคำ เช่น ภาษาอ้ายตนและภาษาพ่าเก โดยภาษาดังกล่าวจะถูกเรียกว่า ภาษาไทในอัสสัม
https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาอาหม
งานวิจัยของ อนิสรา รัศมีเจริญ เรื่อง The factore related to aussumese loanword in tai ahom language (ปัจจัยที่ทำให้เกิดคำยืมภาษาอัสสัมในภาษาไทอาหม )
ไทอาหม ใช้ระบบศาสนาแบบพื้นบ้าน “Me-Dam-Me-Phi”(แม่ด้ำแม่ผี) ควบคู่ กับศาสนาแบบอินเดีย
“เม-ดัม-เม-พี” เป็นพิธีกรรมโบราณเพื่อบูชาบรรพบุรุษของชาวไทอาหม รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ตั้งแต่สมัยปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรอาหม พิธีกรรมนี้มีอยู่ในเอกสารโบราณชื่อ Ahom Buranji หรือพงศาวดารของชาวไทอาหม ซึ่งกล่าวถึงพิธีกรรมที่กษัตริย์ไทอาหมทำมาหลายสมัยเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและเฉลิมฉลองชัยชนะหลังสงครามครั้งใหญ่ ปัจจุบันชาวไทอาหมตั้งถิ่นฐานทั่วรัฐอัสสัมตอนบนทำพิธีนี้พร้อมกันทุกวันที่ 31 มกราคม วันนั้น รัฐบาลของรัฐอัสสัมประกาศให้เป็นวันหยุดราชการประจำปี ผลการวิจัยพบว่าบทบาทของประเพณีและพิธีกรรมเปลี่ยนไป พัฒนาและผสมผสานเข้ากับแผนของขบวนการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของผู้นำและปัญญาชนไทอาหมที่ดำเนินไปและเข้มข้นในหลายองค์กร ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกทางการเมืองและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของไทอาหมท่ามกลางสังคมหลายเชื้อชาติของรัฐอัสสัมและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jasac/article/view/243153
อาหมเป็นชาวไทที่ไม่ได้รับศาสนาพุทธ เมื่อเสือก่าฟ้านำชาวไทจากเมืองเมาหลวงในรัฐฉานจำนวน 9,000 คน ข้ามช่องเขาปาดไก่มาตั้งอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในปี ค.ศ. 1228 และตลอดเวลากว่า 600 ปีที่เป็นเอกราช สังคมอาหมเองก็ไม่ได้รับความเชื่อจากศาสนาพุทธเลย
โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า กษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อสวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีเรือนคอยดูแลทุกข์สุขของคนในครอบครัว ความว่า "แสงก่อฟ้า...ตายเป็นด้ำผีเรือนช่วยคุ้ม" ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ(ผีค้ำ) ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว และคำว่า ด้ำเรือน มีความหมายว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วกลายเป็นผีเฝ้าเรือน โดยในอาหมบุราณจีภาคพื้นดิน ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า "เจ้าฟ้าจึงมาเมืองมาตักแขก (เคารพบูชา) ผีด้ำที่ว่านี้" และกล่าวถึงกษัตริย์อาหมประกอบพิธีเมด้ำเมผี ชาวอาหมถือว่าบรรพบุรุษที่เหนือเราไปชั้นแรกๆ หรือผู้ที่ตายไปไม่กี่ชั่วอายุคนจะคอยปกป้องครอบครัวญาติพี่น้องที่ยังอยู่
ผีของชาวอาหมเกิดจากธรรมชาติและบรรพบุรุษ โดยอาหมบุราณจีภาคสวรรค์ ได้กล่าวว่า ฟ้า (หรือ ฟ้าตือจึ้ง) เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า เมื่อกษัตริย์ได้สวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีบรรพบุรุษคอยดูแลทุกข์สุข ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว มาเฝ้าเรือน
ชาวอาหมไม่เคยสูญเสียการบูชาบรรพบุรุษ เพียงแต่หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุสูญเสียสถานะในการปกครองไปจึงกลายเป็นพวกนอกวรรณะ ปัญญาชนชาวอาหมที่เป็นผู้นำในการเลิกนับถือศาสนาฮินดูได้ทำให้พิธีการบูชาบรรพบุรุษเด่นชัดขึ้น พร้อมทั้งมีการจัดพิธีไหว้ผีเป็นประจำ โดยมีการตั้งหลักไฟ ซึ่งเป็นเสาไม้จุดรายรอบปะรำเล็กๆ ไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงพิธีบูชาบรรพบุรุษที่เรียกว่า เมด้ำเมผี ครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองรังคปุระ แต่ชาวอาหมฮินดูบางส่วนอย่างเช่นในหมู่บ้านบอราโจโหกีจึงมีแนวโน้มหันไปนับถือศาสนาพุทธกันมากขึ้นเพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีนายทนุราม โกกอย เป็นชาวไทอาหมคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยปฏิบัติศาสนกิจกันที่วัดทิสังปานี ในหมู่บ้านทิสังปานี ของชาวไทคำยัง
https://th.wikipedia.org/wiki/อาหม
และอีกอย่างระบบไพก์ ของทางไทอาหม ก็จะแตกต่างกับระบบไพร่ของทางรัตนโกสินทร์
ตำแหน่งการปกครองและระบบไพก์ในอาณาจักรอาหม ค.ศ. 1228 - 1826 (ขนบพร วงศ์กาฬสินธุ์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/107084/84732
ในหลายๆการรบ 17 ครั้ง เป็นการรบที่มีทั้งทางบกและทางเรือ มีการใช้กลยุทธในการรบเยอะมาก และผู้นำที่เป็นผู้บัญชาการปราชญ์อีกคนที่คนอินเดียให้การยอมรับ คือ ลาชิตฯ (ชื่อไตกะไดชื่ออะไรไม่รู้) คนอินเดียหลายคนมีเอ่ยปากอยากให้ทำเป็นหนังบอลลี่วูด ได้เลยเพราะการรบ ของคนที่น้อยกว่าต้านทานคนที่มากกว่าไว้ได้มากมาย เอาแค่ บางสมรภูมิเด่นๆ มาทำแบบสามก๊กยังได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นกลุ่มของคนไทที่มายิ่งใหญ่ในดินแดนอินเดียและคนอินเดียถือว่าเป็นคนนอกรีตนอกศาสนาอินเดียมั่งเลยไม่เชิดชูเท่ากับกลุ่มอื่น ทั้งที่จริงยีนคนอาหมปัจจุบันน่าจะแขกเกือบหมด มีเหลือยีนไทไม่เท่าไหร่ คนอินเดียหลายคนก็เริ่มมาศึกษาอาณาจักรต่างๆที่อยู่ก่อนหรืออยู่ร่วมสมัยก่อนโมกุลยึดค่อนข้างเยอะละ คิดว่าคงได้เห็นหนังแนวยุทธการของไตอาหมในหนังบอลลีวูดในอนาคต
ราชวงศ์โมกุล ที่แม้แต่เจงกีสข่านก็ยังก็ยังแพ้ในการบุกรบเพื่อยึดอินเดีย แปลว่า ไทอัสสัม(ไทอาหม) เองก็มีคนดีมีฝีมือเยอะด้วยเช่นกัน (ยังสงสัยเล่นๆว่า หลังจากที่เจงกีสข่านจนถึงสมัยกุบไล่ข่านไม่คิดรบอินเดีย เพราะมีกำลังส่งมาสนับสนุน ไทอาหมและอาณาจักรไทอื่นๆเช่น มาวหลวง สกาย ปินยา ทำเป็นรัฐกันชนด้วยรึเปล่า )
Lachit Barphukan นายพลที่เป็นตำนานของไทอาหม