‘พิธา’ ส่งสารถึง ส.ส.-ส.ว.โหวตนั่งนายกฯ หนุนรัฐบาลเสียงข้างมาก ให้โอกาสประเทศเดินหน้า
https://www.matichon.co.th/politics/news_4073785
‘พิธา’ ส่งสารถึง ส.ส.-ส.ว. ขอโอกาสประเทศเดินหน้า หนุนรัฐบาลเสียงข้างมาก โหวตนั่งนายกฯคนที่ 30
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ปล่อยคลิปทางเฟซบุ๊กความยาว 4.33 นาที พร้อมระบุแคปชั่น จาก
พิธาถึงทุกคน ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี 13 กรกฎาคมนี้ ให้โอกาสประเทศไทยได้มีรัฐบาลเสียงข้างมากตามเจตจำนงของประชาชน เดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย คืนความปกติสู่การเมือง
นาย
พิธาระบุว่า
สวัสดีประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศทุกท่าน 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันที่เจตจำนของคนไทยแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านบัตรเลือกตั้ง เลือกพรรคก้าวไกลมากถึง 14,438,851 เสียง ส่งให้เรากลายเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ในสภาผู้แทนราษฎร และมี ส.ส. 152 คน
นี่คือเสียงที่ดังพร้อมกันทั้งประเทศว่าทุกท่านต้องการประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม ผมและพรรคก้าวไกลได้น้อมรับมติจากประชาชนเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล เราได้รวบรวมพรรคการเมือง 8 พรรค หรือ 72 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
ในการเมืองปกติพวกเรารัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคก้าวไกลคงได้เข้าไปบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาของประชาชนได้แล้ว แต่จนถึงวันนี้เกือบ 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง การโหวตนายกฯเพิ่งจะมาถึง และเรายังต้องรอการตัดสินใจของ ส.ว.ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนหรือไม่
วันนี้ชัดเจนว่าประเทศไทยอยู่ในการเมืองที่ไม่ปกติ อำนาจที่เป็นตัวแทนของประชาชนผ่านการเลือกตั้งถูกล้มล้างครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการรัฐประหาร นิติสงคราม และการยุบพรรค ความไม่ปกตินี้เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งในวันนี้ยังคงอยู่กับเราอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แต่นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่พวกเราจะคืนความปกติกลับสู่ากรเมืองไทยอีกครั้ง ให้โอกาสประเทศไทยได้กลับมามีรัฐบาลที่ชอบธรรม เดินหน้าซ่อมแซมแก้ไขประเทศไทยตามที่ประชาชนคาดหวัง ให้โอกาสประเทศไทยกลับสู่ครรลองของการเมืองรัฐสภาที่ประชาชนเชื่อมั่นและฝากความหวังไว้ได้
ให้โอกาสประเทศไทยได้เดินหน้าไปสู่ความเป็นไปได้ใหมๆ ค่าแรงที่เป็นธรรม สวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวหน้าและเป็นธรรม มีนวัตกรรมของตัวเอง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เห็นคนเท่ากัน โดยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพไม่ใช่กดปราบลิดรอนสิทธิประชาชน
การโหวตเลือกนายกฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 ก.ค. ไม่ใช่การเลือกพิธา ไม่ใช่การเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยแบบปกติ เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าแม้เราจะยังอยู่กับัรฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการเมืองที่ไม่ปกติ แต่สมาชิกรัฐสภาทุกคนสามารถร่วมกันใช้เสียงของตัวเองสานต่อเจตนารมณ์ที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลือกตั้งให้ลุล่วง จัดตั้งรัฐบาลที่เป้นตัวแทนเสียงข้างมากให้สำเร็จ
ภารกิจนี้คือภารกิจร่วมกันของเราทุกคนในฐานะสมาชิกรัฐสภา ผู้ถืออำนาจแทนประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ในโอกาสนี้ผมขอสื่อสารไปยัง ส.ส.และ ส.ว.ทุกท่น ท่านอาจไม่ชอบแนวทางการเมืองของพกวเราในระบอบการเมืองปกติ แต่พวกท่นตรวจสอบผมได้ โจมตีผมได้ โหวตผมออกจากตำแหน่งก็ยังทำได้ แต่การโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมากคือการให้โอกาสประเทศไทยเดินหน้าในแบบที่ควรจะเป็น
ในโอกาสนี้ขอสื่อสารไปยังประชาชน เราผ่านวันเลือกตั้งมาแล้ว แต่ภารกิจยังไม่สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมากที่จะนำพาประเทศไปสู่ข้างหน้า
ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเลือกพรรคไหน มีความเห็นทางการเมืองอย่างไร ปรารถนาถึงสังคมแบบไหน ผมจะเป็นนายกฯที่บริหารประเทศที่โอบรับความฝันอันหลากหลายของทุกคนได้
หากนี่คือสิ่งที่ท่านอยากเห็น ให้โอกาสประเทศไทยได้เดินไปข้างหน้าโดยการบริหารของรัฐบาลพรรคร่วม 8 พรรค ที่นำโดยนายกฯที่ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid02EitPzM7GNg5b5BZg88RcUyG2gjb8UX4STALLbnCLpTpFgN8o65aTvyNnMDYjr4u4l
ครูรุ่นใหม่แห่ออกหลังได้บรรจุ เหตุระบบเน่าเฟะ วัดมืออาชีพจากรางวัล ซัด สพฐ.เมินแก้
https://www.matichon.co.th/education/news_4070569
ครูรุ่นใหม่แห่ออกหลังได้บรรจุ เหตุระบบเน่าเฟะ วัดมืออาชีพจากรางวัล ซัด สพฐ.เมินแก้ เอาแต่ป้องระบบที่ทำอยู่
ศ.ดร.
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีมีดราม่าเรื่องการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี 2566 ที่ข้อสอบยากเกินไป ทำให้บางเขตพื้นที่ฯ ไม่มีผู้สอบผ่านในสาขาที่เปิดรับสมัคร ขณะเดียวกันยังแสดงความเห็นกรณีมอบหมายให้มหาวิทยาลัยออกข้อสอบตามกลุ่มจังหวัด ว่าอาจทำให้ข้อสอบมีมาตรฐานไม่เท่ากันนั้น การสอบครูผู้ช่วยเกิดความผิดพลาดปีแล้วปีเล่า เป็นบทเรียนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข มองว่าประเทศไทยใช้คำว่าถอดบทเรียน ฟุ่มเฟือยมาก แต่เมื่อเกิดอะไรที่ผิดพลาด ก็ไม่เคยแก้ไขเลย เกิดแล้วก็เกิดซ้ำ ไม่เคยแก้ไขปรับปรุง มีแต่ปกป้องระบบที่มีอยู่
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวต่อว่า มองว่าการสอบครูผู้ช่วยสะท้อนเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งของวงการการศึกษาไทย คือแค่การตั้งต้นชีวิตการเป็นครู ก็ต้องสอบเอาเป็นเอาตายแล้ว ทั้งที่การบรรจุครูไม่ใช่จำเนื้อหาในการสอบเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องวัด และดูเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย ทำให้เห็นว่าการสอบที่เน้นเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาไทย ไม่สามารถแก้ไขได้เลย และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อคนที่สอบผ่าน และได้รับการบรรจุเข้าเป็นครู จะสอนหนังสือโดยเน้นการสอบเป็นหลัก
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่แปลกใจเช่นกันว่า การสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือการสอบเป็นครูผู้ช่วย ข้อสอบยากมาก และวัดแค่เนื้อหา แต่ไม่ตอบแก่นสาระวิชาชีพของความเป็นครู และไม่ตอบโจทย์สิ่งที่ควรจะวัดเลย เช่น ให้จำปี พ.ศ.หรือให้จำมาตราของกฎหมาย หรือว่าทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์ 3 แชมป์ (ทริปเปิลแชมป์) เป็นสมัยที่เท่าไหร่ ขอถามว่าคำถามเหล่านี้ สามารถเชื่อมโยงให้เราได้ครูที่ดี มีความสามารถในเรื่องของการจัดการเรียนการสอนอย่างไร การสอบวัดแบบนี้ จะทำให้ได้คนที่มีความตั้งใจ คนที่รักวิชาชีพมาเป็นครูหรือไม่
“
เมื่อคนเหล่านี้สอบผ่านเป็นครูแล้ว จะพบว่าครูพวกนี้ ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน และปัจจุบันจะเห็นว่ามีครูจำนวนไม่น้อยที่สอบบรรจุได้แล้วลาออก เพราะสิ่งที่ครูรุ่นใหม่คาดหวัง และต้องการ กับชีวิตครูในความเป็นจริง ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ทำงานไม่นานก็ลาออกเป็นจำนวนมาก โดยที่ส่วนกลาง จะมองว่าสาเหตุที่ครูรุ่นใหม่ลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัว แต่ไม่เคยดูเลยว่าระบบที่ได้ครูมา และระบบที่ให้ครูทำงาน ไม่มีความสุข” นายสมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวว่า จากการวิจัยล่าสุด พบว่าครูไทยส่วนใหญ่ต้องมีรางวัล จึงจะการันตรีเรื่องการเป็นครูมืออาชีพ และการที่ได้รับรางวัล จะไปโยงกับการทำเอกสารจริงปนเท็จ นอกจากนี้ ต้องทำคลิปวิดีโอตัดต่อในการประกวดเพื่อรับรางวัล สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้วิชาชีพครูตกต่ำลงไปอีก ครูรุ่นใหม่เริ่มเห็นความเน่าเฟะของระบบครูที่ผิดแผกแตกต่างจากระบบการจัดการศึกษาทั่วโลก ทุกประเทศวัดครูที่ดีจากพฤติกรรม การจัดการเรียนการสอนของครู แต่ไทยกลับดูที่รางวัล การจัดทำเอกสารของครู ถ้ายังไม่ปฏิรูประบบการฝึกหัดครู ระบบสอบบรรจุครู และระบบการทำงานของครู เราไม่มีทางเดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทยได้เลย
กกร. ยื่นหนังสือขอ ‘บิ๊กตู่’ ลดค่าไฟสัปดาห์นี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4073632
กกร. ยื่นหนังสือขอ ‘บิ๊กตู่’ ลดค่าไฟสัปดาห์นี้
รายงานข่าวคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า เอกชนยังคงต้องการให้กกพ.ลดค่าไฟเหลือระดับ 4.25 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 4.70 บาทต่อหน่วย เพราะเป็นการประเมินจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ส่วนการคืนหนี้กฟผ.อยากให้ขยายออกไปเป็น 6 งวด เพื่อให้ค่าเอฟทีลดลงอีก 10 สตางค์ต่อหน่วย โดยความคืบหน้าการส่งหนังสือขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลดค่าไฟเหลือระดับ 4.25 บาทต่อหน่วย จะส่งได้ภายในสัปดาห์นี้
รายงานข่าวระบุว่า กกร.ไม่เห็นด้วยกับ 3 แนวทางของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ประกอบด้วย กรณี1 ค่าไฟอยู่ที่ 6.28 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 221.23 สตางค์ต่อหน่วย กรณี2 ค่าไฟเท่าเดิม 4.70 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 62.61 สตางค์ต่อหน่วย และกรณี3 ค่าไฟลดลงเหลือ 4.45 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 38.31 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟงวดปัจจุบัน(พฤษภาคม-สิงหาคม2566)อยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งเปิดรับฟังความเห็นประชาชน วันที่ 7-21 กรกฎาคมนี้
JJNY : ‘พิธา’ ส่งสารถึง ส.ส.-ส.ว.│ครูรุ่นใหม่แห่ออกหลังได้บรรจุ│กกร.ยื่นขอลดค่าไฟ│ผบ.เรือดำน้ำรัสเซีย ถูกยิงเสียชีวิต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4073785
‘พิธา’ ส่งสารถึง ส.ส.-ส.ว. ขอโอกาสประเทศเดินหน้า หนุนรัฐบาลเสียงข้างมาก โหวตนั่งนายกฯคนที่ 30
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ปล่อยคลิปทางเฟซบุ๊กความยาว 4.33 นาที พร้อมระบุแคปชั่น จากพิธาถึงทุกคน ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี 13 กรกฎาคมนี้ ให้โอกาสประเทศไทยได้มีรัฐบาลเสียงข้างมากตามเจตจำนงของประชาชน เดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย คืนความปกติสู่การเมือง
นายพิธาระบุว่า
สวัสดีประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศทุกท่าน 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันที่เจตจำนของคนไทยแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านบัตรเลือกตั้ง เลือกพรรคก้าวไกลมากถึง 14,438,851 เสียง ส่งให้เรากลายเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ในสภาผู้แทนราษฎร และมี ส.ส. 152 คน
นี่คือเสียงที่ดังพร้อมกันทั้งประเทศว่าทุกท่านต้องการประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม ผมและพรรคก้าวไกลได้น้อมรับมติจากประชาชนเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล เราได้รวบรวมพรรคการเมือง 8 พรรค หรือ 72 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
ในการเมืองปกติพวกเรารัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคก้าวไกลคงได้เข้าไปบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาของประชาชนได้แล้ว แต่จนถึงวันนี้เกือบ 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง การโหวตนายกฯเพิ่งจะมาถึง และเรายังต้องรอการตัดสินใจของ ส.ว.ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนหรือไม่
วันนี้ชัดเจนว่าประเทศไทยอยู่ในการเมืองที่ไม่ปกติ อำนาจที่เป็นตัวแทนของประชาชนผ่านการเลือกตั้งถูกล้มล้างครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการรัฐประหาร นิติสงคราม และการยุบพรรค ความไม่ปกตินี้เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งในวันนี้ยังคงอยู่กับเราอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แต่นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่พวกเราจะคืนความปกติกลับสู่ากรเมืองไทยอีกครั้ง ให้โอกาสประเทศไทยได้กลับมามีรัฐบาลที่ชอบธรรม เดินหน้าซ่อมแซมแก้ไขประเทศไทยตามที่ประชาชนคาดหวัง ให้โอกาสประเทศไทยกลับสู่ครรลองของการเมืองรัฐสภาที่ประชาชนเชื่อมั่นและฝากความหวังไว้ได้
ให้โอกาสประเทศไทยได้เดินหน้าไปสู่ความเป็นไปได้ใหมๆ ค่าแรงที่เป็นธรรม สวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวหน้าและเป็นธรรม มีนวัตกรรมของตัวเอง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เห็นคนเท่ากัน โดยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพไม่ใช่กดปราบลิดรอนสิทธิประชาชน
การโหวตเลือกนายกฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 ก.ค. ไม่ใช่การเลือกพิธา ไม่ใช่การเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยแบบปกติ เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าแม้เราจะยังอยู่กับัรฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการเมืองที่ไม่ปกติ แต่สมาชิกรัฐสภาทุกคนสามารถร่วมกันใช้เสียงของตัวเองสานต่อเจตนารมณ์ที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลือกตั้งให้ลุล่วง จัดตั้งรัฐบาลที่เป้นตัวแทนเสียงข้างมากให้สำเร็จ
ภารกิจนี้คือภารกิจร่วมกันของเราทุกคนในฐานะสมาชิกรัฐสภา ผู้ถืออำนาจแทนประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ในโอกาสนี้ผมขอสื่อสารไปยัง ส.ส.และ ส.ว.ทุกท่น ท่านอาจไม่ชอบแนวทางการเมืองของพกวเราในระบอบการเมืองปกติ แต่พวกท่นตรวจสอบผมได้ โจมตีผมได้ โหวตผมออกจากตำแหน่งก็ยังทำได้ แต่การโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมากคือการให้โอกาสประเทศไทยเดินหน้าในแบบที่ควรจะเป็น
ในโอกาสนี้ขอสื่อสารไปยังประชาชน เราผ่านวันเลือกตั้งมาแล้ว แต่ภารกิจยังไม่สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมากที่จะนำพาประเทศไปสู่ข้างหน้า
ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเลือกพรรคไหน มีความเห็นทางการเมืองอย่างไร ปรารถนาถึงสังคมแบบไหน ผมจะเป็นนายกฯที่บริหารประเทศที่โอบรับความฝันอันหลากหลายของทุกคนได้
หากนี่คือสิ่งที่ท่านอยากเห็น ให้โอกาสประเทศไทยได้เดินไปข้างหน้าโดยการบริหารของรัฐบาลพรรคร่วม 8 พรรค ที่นำโดยนายกฯที่ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid02EitPzM7GNg5b5BZg88RcUyG2gjb8UX4STALLbnCLpTpFgN8o65aTvyNnMDYjr4u4l
ครูรุ่นใหม่แห่ออกหลังได้บรรจุ เหตุระบบเน่าเฟะ วัดมืออาชีพจากรางวัล ซัด สพฐ.เมินแก้
https://www.matichon.co.th/education/news_4070569
ครูรุ่นใหม่แห่ออกหลังได้บรรจุ เหตุระบบเน่าเฟะ วัดมืออาชีพจากรางวัล ซัด สพฐ.เมินแก้ เอาแต่ป้องระบบที่ทำอยู่
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีมีดราม่าเรื่องการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี 2566 ที่ข้อสอบยากเกินไป ทำให้บางเขตพื้นที่ฯ ไม่มีผู้สอบผ่านในสาขาที่เปิดรับสมัคร ขณะเดียวกันยังแสดงความเห็นกรณีมอบหมายให้มหาวิทยาลัยออกข้อสอบตามกลุ่มจังหวัด ว่าอาจทำให้ข้อสอบมีมาตรฐานไม่เท่ากันนั้น การสอบครูผู้ช่วยเกิดความผิดพลาดปีแล้วปีเล่า เป็นบทเรียนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข มองว่าประเทศไทยใช้คำว่าถอดบทเรียน ฟุ่มเฟือยมาก แต่เมื่อเกิดอะไรที่ผิดพลาด ก็ไม่เคยแก้ไขเลย เกิดแล้วก็เกิดซ้ำ ไม่เคยแก้ไขปรับปรุง มีแต่ปกป้องระบบที่มีอยู่
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า มองว่าการสอบครูผู้ช่วยสะท้อนเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งของวงการการศึกษาไทย คือแค่การตั้งต้นชีวิตการเป็นครู ก็ต้องสอบเอาเป็นเอาตายแล้ว ทั้งที่การบรรจุครูไม่ใช่จำเนื้อหาในการสอบเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องวัด และดูเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย ทำให้เห็นว่าการสอบที่เน้นเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาไทย ไม่สามารถแก้ไขได้เลย และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อคนที่สอบผ่าน และได้รับการบรรจุเข้าเป็นครู จะสอนหนังสือโดยเน้นการสอบเป็นหลัก
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่แปลกใจเช่นกันว่า การสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือการสอบเป็นครูผู้ช่วย ข้อสอบยากมาก และวัดแค่เนื้อหา แต่ไม่ตอบแก่นสาระวิชาชีพของความเป็นครู และไม่ตอบโจทย์สิ่งที่ควรจะวัดเลย เช่น ให้จำปี พ.ศ.หรือให้จำมาตราของกฎหมาย หรือว่าทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์ 3 แชมป์ (ทริปเปิลแชมป์) เป็นสมัยที่เท่าไหร่ ขอถามว่าคำถามเหล่านี้ สามารถเชื่อมโยงให้เราได้ครูที่ดี มีความสามารถในเรื่องของการจัดการเรียนการสอนอย่างไร การสอบวัดแบบนี้ จะทำให้ได้คนที่มีความตั้งใจ คนที่รักวิชาชีพมาเป็นครูหรือไม่
“เมื่อคนเหล่านี้สอบผ่านเป็นครูแล้ว จะพบว่าครูพวกนี้ ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน และปัจจุบันจะเห็นว่ามีครูจำนวนไม่น้อยที่สอบบรรจุได้แล้วลาออก เพราะสิ่งที่ครูรุ่นใหม่คาดหวัง และต้องการ กับชีวิตครูในความเป็นจริง ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ทำงานไม่นานก็ลาออกเป็นจำนวนมาก โดยที่ส่วนกลาง จะมองว่าสาเหตุที่ครูรุ่นใหม่ลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัว แต่ไม่เคยดูเลยว่าระบบที่ได้ครูมา และระบบที่ให้ครูทำงาน ไม่มีความสุข” นายสมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า จากการวิจัยล่าสุด พบว่าครูไทยส่วนใหญ่ต้องมีรางวัล จึงจะการันตรีเรื่องการเป็นครูมืออาชีพ และการที่ได้รับรางวัล จะไปโยงกับการทำเอกสารจริงปนเท็จ นอกจากนี้ ต้องทำคลิปวิดีโอตัดต่อในการประกวดเพื่อรับรางวัล สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้วิชาชีพครูตกต่ำลงไปอีก ครูรุ่นใหม่เริ่มเห็นความเน่าเฟะของระบบครูที่ผิดแผกแตกต่างจากระบบการจัดการศึกษาทั่วโลก ทุกประเทศวัดครูที่ดีจากพฤติกรรม การจัดการเรียนการสอนของครู แต่ไทยกลับดูที่รางวัล การจัดทำเอกสารของครู ถ้ายังไม่ปฏิรูประบบการฝึกหัดครู ระบบสอบบรรจุครู และระบบการทำงานของครู เราไม่มีทางเดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทยได้เลย
กกร. ยื่นหนังสือขอ ‘บิ๊กตู่’ ลดค่าไฟสัปดาห์นี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4073632
กกร. ยื่นหนังสือขอ ‘บิ๊กตู่’ ลดค่าไฟสัปดาห์นี้
รายงานข่าวคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า เอกชนยังคงต้องการให้กกพ.ลดค่าไฟเหลือระดับ 4.25 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 4.70 บาทต่อหน่วย เพราะเป็นการประเมินจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ส่วนการคืนหนี้กฟผ.อยากให้ขยายออกไปเป็น 6 งวด เพื่อให้ค่าเอฟทีลดลงอีก 10 สตางค์ต่อหน่วย โดยความคืบหน้าการส่งหนังสือขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลดค่าไฟเหลือระดับ 4.25 บาทต่อหน่วย จะส่งได้ภายในสัปดาห์นี้
รายงานข่าวระบุว่า กกร.ไม่เห็นด้วยกับ 3 แนวทางของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ประกอบด้วย กรณี1 ค่าไฟอยู่ที่ 6.28 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 221.23 สตางค์ต่อหน่วย กรณี2 ค่าไฟเท่าเดิม 4.70 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 62.61 สตางค์ต่อหน่วย และกรณี3 ค่าไฟลดลงเหลือ 4.45 บาทต่อหน่วย มาจากค่าเอฟที 28.58 สตางค์ต่อหน่วย คืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 38.31 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟงวดปัจจุบัน(พฤษภาคม-สิงหาคม2566)อยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งเปิดรับฟังความเห็นประชาชน วันที่ 7-21 กรกฎาคมนี้