อสส. ตอบกลับ ศาลรธน. ปมรับคำร้อง ‘พิธา’เสนอแก้112 ล้มล้างการปกครองหรือไม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7757657
อัยการสูงสุด มีหนังสือตอบ ศาลรธน.เเล้ว ปมรับคำร้อง ทนายอดีตพุทธะอิสระร้อง ‘พิธา’ เสนอเเก้ ม.112 ล้มล้างการปกครองหรือไม่ ชี้ไม่กระทบศาลรับเรื่องหรือไม่ กฎหมายเขียนชัด 15 วันยังไม่มีคำสั่งยื่นตรงเองได้เลย
กรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้สอบถามอัยการสูงสุด (อสส.) ว่ามีคำสั่ง รับหรือไม่รับดำเนินการตามที่ นาย
ธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพุทธะอิสระ ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังดำเนินการต่อเนื่องในการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่นั้น
เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2566 นาย
โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ได้ทราบจากเลขานุการอสส. ว่า วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.
นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ได้ลงนามในหนังสือตอบกลับไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามหนังสือสอบถามไปแล้ว
กระบวนการต่อไปเป็นการส่งหนังสือเพื่อตอบให้ศาลรัฐธรรมนูญทราบตามระบบราชการ โดยทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้เเจ้งผลการดำเนินการ พร้อมเอกสารประกอบเเนบท้าย ลงนามโดย น.ส.
นารี อัยการสูงสุด ถึง ศาลรัฐธรรมนูญไปเเล้ว ส่วนรายละเอียดหนังสือตอบกลับขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งทางอัยการก็จะดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการใช้สิทธิต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการร้องขอให้เลิกการทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7(3) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์เเละวิธีการ บัญญัติไว้ว่า
1. ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังกล่าว มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้
2. หากอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ผู้ร้องจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
จะเห็นได้ว่ากรณีดังกล่าวมีข่าวว่า ผู้ร้องไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงเเล้ว ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติที่กฎหมายกำหนดไว้ เเต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือสอบถามมาทางอัยการสูงสุด ก็ส่งหนังสือตอบกลับไปตามขั้นตอน ไม่กระทบขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
‘ชลน่าน’ ปฏิเสธให้ความเห็นหลังกกต.จ่อส่งเรื่องหุ้นสื่อ ‘พิธา’ วินิจฉัย
https://www.dailynews.co.th/news/2518799/
‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ปฏิเสธให้ความเห็น ภายหลังกกต.จ่อส่งเรื่องหุ้นสื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ วินิจฉัย.
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรค พท. เดินทางเข้าพรรคเพื่อร่วมประชุมวงเล็กถึงการรีแบรนด์พรรค พท. พร้อมกล่าวว่า ไม่ขอออกความคิดเห็นถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมพิจารณาส่งเรื่องหุ้นไอทีวีของนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และกรณีที่กกต.เรียกนาย
พิธาเข้าชี้แจงแล้ววันนี้ ส่วนเรื่องอื่นขอให้รอฟังจากวงประชุมของ 8 พรรคร่วมในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ค.).
ส่งออก’66 ส่อตุ้บแรง บานปลาย‘ปลดแรงงาน’ภาคผลิต รอรัฐบาลใหม่ปล่อยของ!!
https://www.matichon.co.th/economy/news_4071229
ผู้เขียน ทีมข่าวเศรษฐกิจ
ช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 “ภาคการส่งออก” เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แทนภาคการท่องเที่ยวและบริการ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยมีการปิดประเทศ กระทั่งช่วงกลางปี 2565 ไทยเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนตามปกติ ขณะที่ภาคการส่งออกกลับส่อแววอ่อนแรง จากผลพวงเศรษฐกิจโลกที่หลายประเทศกำลังซื้อลดลง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศของหลายคู่ชก ทำให้ในปี 2566 มีโอกาสที่การส่งออกไทยจะหล่นฮวบอีกครั้ง
⦁ หั่นส่งออกแย่สุดติดลบ 2%
การส่งออกแย่สะท้อนมติคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ล่าสุดในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2566 ได้ตัดสินใจปรับประมาณการส่งออก ลดลงมาอยู่ที่ติดลบ 2 ถึง 0% จากเดิมอยู่ที่ ติดลบ 1 ถึง 0% แต่ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไว้ที่ 3-3.5% จากภาคการท่องเที่ยวที่จะดีขึ้น รวมทั้งเงินเฟ้อลดลงขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก กกร.จึงเรียกร้องภาครัฐเร่งหาตลาดใหม่ๆ หรือประเทศที่ยังขยายตัวได้ อาทิ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อทดแทนการส่งออกในประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรปที่อ่อนแอลง โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังของไทยจะต้องได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน
⦁ กุมขมับ23อุตร่วงห่วงจ้างงาน
ขณะที่
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนในการตั้งรัฐบาลมากขึ้นแล้ว เอกชนหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม หรือเร็วกว่านั้น หากเรียบร้อยภายในเดือนกรกฎาคม 2566 ยิ่งดีมาก เพราะเวลานี้เศรษฐกิจกำลังแย่จากสถานการณ์การส่งออกที่ติดลบ จนส่งผลให้ผู้ผลิตที่เน้นส่งออกได้รับผลกระทบผลิตสินค้าออกมาแต่ขายได้น้อยลง หรือบางรายขายไม่ได้ แต่ยังจำเป็นต้องผลิตต่อเพื่อรักษาการจ้างงานจนบางรายเริ่มลดการจ้างงานล่วงเวลา (โอที) ลง และคาดหวังว่าในช่วงไตรมาสที่ 4/2566 คำสั่งซื้อจะกลับมาดีขึ้น แต่ยอมรับว่าภาพรวมส่งออกยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง
โดยผลการสำรวจสถานการณ์การผลิตล่าสุดพบว่า มีถึง 23 อุตสาหกรรมที่เผชิญสถานการณ์ดังกล่าว อาทิ เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง เหล็ก สิ่งทอ ยังไม่ถึงกับเลิกจ้าง แต่หากส่งออกยังแย่และปลายปีไม่ฟื้น อาจเห็นการเลิกจ้างเกิดขึ้น ตามสายป่านของแต่ละอุตสาหกรรมที่แข็งแรงไม่เหมือนกัน ดังนั้น เอกชนจึงคาดหวังให้ตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดันภาคการส่งออก เข้ามาขับเคลื่อนการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ และเร่งเดินหน้าทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยสูงถึง 90.6% บวกกับค่าครองชีพที่สูงของคนไทย ทั้งค่าไฟ ดอกเบี้ย ยังเป็นแรงกดดันให้กำลังซื้อชะลอตัว จึงเฝ้ารอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ซึ่งมาตรการรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอยากเห็นผลเร็ว เพราะปัจจัยต่างๆ ควบคุมได้ ต่างกับการแก้ปัญหาส่งออกที่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยนอกประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นยังส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเข้ามาเที่ยวประเทศไทยด้วย
⦁ หั่นโอทีเกือบ100% แย่กว่าช่วงโควิด
ฟาก
ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ระบุว่า นอกจากเรื่องการส่งออกที่น่าเป็นห่วงแล้ว นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของพรรคการเมือง ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ในอนาคต ยังสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มองว่าการนำมาพูดถึงในช่วงนี้อาจยังไม่เหมาะสมต้องดูสภาพคล่องของธุรกิจ ยิ่งภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้หลายธุรกิจเสี่ยงจะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ ดูได้จากจำนวนผู้ว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่สูงขึ้นในรอบ 6 เดือน หรือประมาณ 1.3% ซึ่งสาเหตุหลักจากการว่างเงินเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันมีสต๊อกเหลือค้างจำนวนมาก
แม้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2566 อัตราการว่างงานดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2565 รายละเอียดประกอบด้วย โครงสร้างกำลังแรงงาน ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 58.8 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 40.3 ล้านคน หรือ 68.5% ที่เหลืออยู่นอกกำลังแรงงานประมาณ 18.5 ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 39.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 98% และเป็นผู้ว่างงาน 4.2 แสนคน แต่เมื่อดูจากการจ้างงานแฝงในปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนมาก ก็ยังเป็นจำนวนที่น่ากังวลอยู่ดี
ส่วนการจ้างงานล่วงเวลา หรือการทำโอที ในภาพรวมลดลงเกือบทั้งหมด ซึ่งในมุมของบริษัทผมก็ได้รับผลกระทบเรื่องยอดขายเช่นกัน ถือว่าเป็นผลกระทบในรอบ 10 ปี เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ประกอบการนำเข้า และส่งออกสินค้า ซึ่งถือว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนกำลังการผลิตกลับมาอยู่ที่ประมาณ 60-62% แต่อย่างน้อยควรกลับมาอยู่ที่ 85% จาก 100% ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19
⦁ วัดฝีมือรัฐบาลใหม่กู้ภาคส่งออก
อย่างไรก็ดี การที่จะทำให้กำลังการผลิตกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ต้องรอให้สถานการณ์การส่งออกคลี่คลาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรแปรรูป และภาคปศุสัตว์ ซึ่งพึ่งพิงอุตสาหกรรมนำเข้า อาทิ กล่อง ฉลาก แพคเกจจิ้ง เมื่อธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบ สินค้าที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
“
ขณะนี้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ เนื่องจากการขนส่งสินค้าในบางประเภทต้องหยุดชะงัก ซึ่งการแก้ไขในเรื่องนี้ยังมีความยาก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกำลังซื้อ เมื่อคนไม่มีกำลังซื้อ ก็คงต้องรอเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และควรเร่งหาตลาดใหม่ๆ ในการกระจายสินค้า เนื่องจากปัจจุบันคู่ค้าด้านการนำเข้า ส่งออกของไทย อาทิ สหรัฐ ยุโรป และจีน ยังติดลบทั้งหมด” รองประธานอีคอนไทยทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้เป็นความกังวลของภาคธุรกิจ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่างเฝ้ารอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ปัญหาโดยด่วน
เพราะการส่งออกเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่วัดฝีไม้ลายมือรัฐบาล จะเข็นให้เดินหน้า หรือปล่อยฟุบจนบานปลายถึงขั้นเลิกจ้างแรงงาน ต้องติดตาม!!
JJNY : อสส.ตอบกลับศาลรธน.ปมรับคำร้อง│‘ชลน่าน’ ปฏิเสธให้ความเห็น│ส่งออก’66 ส่อตุ้บแรง│ไบเดนชี้ยูเครนยังไม่พร้อมเข้านาโต
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7757657
อัยการสูงสุด มีหนังสือตอบ ศาลรธน.เเล้ว ปมรับคำร้อง ทนายอดีตพุทธะอิสระร้อง ‘พิธา’ เสนอเเก้ ม.112 ล้มล้างการปกครองหรือไม่ ชี้ไม่กระทบศาลรับเรื่องหรือไม่ กฎหมายเขียนชัด 15 วันยังไม่มีคำสั่งยื่นตรงเองได้เลย
กรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้สอบถามอัยการสูงสุด (อสส.) ว่ามีคำสั่ง รับหรือไม่รับดำเนินการตามที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพุทธะอิสระ ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังดำเนินการต่อเนื่องในการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่นั้น
เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2566 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ได้ทราบจากเลขานุการอสส. ว่า วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ได้ลงนามในหนังสือตอบกลับไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามหนังสือสอบถามไปแล้ว
กระบวนการต่อไปเป็นการส่งหนังสือเพื่อตอบให้ศาลรัฐธรรมนูญทราบตามระบบราชการ โดยทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้เเจ้งผลการดำเนินการ พร้อมเอกสารประกอบเเนบท้าย ลงนามโดย น.ส.นารี อัยการสูงสุด ถึง ศาลรัฐธรรมนูญไปเเล้ว ส่วนรายละเอียดหนังสือตอบกลับขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งทางอัยการก็จะดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการใช้สิทธิต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการร้องขอให้เลิกการทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7(3) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์เเละวิธีการ บัญญัติไว้ว่า
1. ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังกล่าว มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้
2. หากอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ผู้ร้องจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
จะเห็นได้ว่ากรณีดังกล่าวมีข่าวว่า ผู้ร้องไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงเเล้ว ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติที่กฎหมายกำหนดไว้ เเต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือสอบถามมาทางอัยการสูงสุด ก็ส่งหนังสือตอบกลับไปตามขั้นตอน ไม่กระทบขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
‘ชลน่าน’ ปฏิเสธให้ความเห็นหลังกกต.จ่อส่งเรื่องหุ้นสื่อ ‘พิธา’ วินิจฉัย
https://www.dailynews.co.th/news/2518799/
‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ปฏิเสธให้ความเห็น ภายหลังกกต.จ่อส่งเรื่องหุ้นสื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ วินิจฉัย.
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรค พท. เดินทางเข้าพรรคเพื่อร่วมประชุมวงเล็กถึงการรีแบรนด์พรรค พท. พร้อมกล่าวว่า ไม่ขอออกความคิดเห็นถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมพิจารณาส่งเรื่องหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และกรณีที่กกต.เรียกนายพิธาเข้าชี้แจงแล้ววันนี้ ส่วนเรื่องอื่นขอให้รอฟังจากวงประชุมของ 8 พรรคร่วมในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ค.).
ส่งออก’66 ส่อตุ้บแรง บานปลาย‘ปลดแรงงาน’ภาคผลิต รอรัฐบาลใหม่ปล่อยของ!!
https://www.matichon.co.th/economy/news_4071229
ผู้เขียน ทีมข่าวเศรษฐกิจ
ช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 “ภาคการส่งออก” เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แทนภาคการท่องเที่ยวและบริการ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยมีการปิดประเทศ กระทั่งช่วงกลางปี 2565 ไทยเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนตามปกติ ขณะที่ภาคการส่งออกกลับส่อแววอ่อนแรง จากผลพวงเศรษฐกิจโลกที่หลายประเทศกำลังซื้อลดลง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศของหลายคู่ชก ทำให้ในปี 2566 มีโอกาสที่การส่งออกไทยจะหล่นฮวบอีกครั้ง
⦁ หั่นส่งออกแย่สุดติดลบ 2%
การส่งออกแย่สะท้อนมติคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ล่าสุดในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2566 ได้ตัดสินใจปรับประมาณการส่งออก ลดลงมาอยู่ที่ติดลบ 2 ถึง 0% จากเดิมอยู่ที่ ติดลบ 1 ถึง 0% แต่ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไว้ที่ 3-3.5% จากภาคการท่องเที่ยวที่จะดีขึ้น รวมทั้งเงินเฟ้อลดลงขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก กกร.จึงเรียกร้องภาครัฐเร่งหาตลาดใหม่ๆ หรือประเทศที่ยังขยายตัวได้ อาทิ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อทดแทนการส่งออกในประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรปที่อ่อนแอลง โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังของไทยจะต้องได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน
⦁ กุมขมับ23อุตร่วงห่วงจ้างงาน
ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนในการตั้งรัฐบาลมากขึ้นแล้ว เอกชนหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม หรือเร็วกว่านั้น หากเรียบร้อยภายในเดือนกรกฎาคม 2566 ยิ่งดีมาก เพราะเวลานี้เศรษฐกิจกำลังแย่จากสถานการณ์การส่งออกที่ติดลบ จนส่งผลให้ผู้ผลิตที่เน้นส่งออกได้รับผลกระทบผลิตสินค้าออกมาแต่ขายได้น้อยลง หรือบางรายขายไม่ได้ แต่ยังจำเป็นต้องผลิตต่อเพื่อรักษาการจ้างงานจนบางรายเริ่มลดการจ้างงานล่วงเวลา (โอที) ลง และคาดหวังว่าในช่วงไตรมาสที่ 4/2566 คำสั่งซื้อจะกลับมาดีขึ้น แต่ยอมรับว่าภาพรวมส่งออกยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง
โดยผลการสำรวจสถานการณ์การผลิตล่าสุดพบว่า มีถึง 23 อุตสาหกรรมที่เผชิญสถานการณ์ดังกล่าว อาทิ เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง เหล็ก สิ่งทอ ยังไม่ถึงกับเลิกจ้าง แต่หากส่งออกยังแย่และปลายปีไม่ฟื้น อาจเห็นการเลิกจ้างเกิดขึ้น ตามสายป่านของแต่ละอุตสาหกรรมที่แข็งแรงไม่เหมือนกัน ดังนั้น เอกชนจึงคาดหวังให้ตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดันภาคการส่งออก เข้ามาขับเคลื่อนการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ และเร่งเดินหน้าทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยสูงถึง 90.6% บวกกับค่าครองชีพที่สูงของคนไทย ทั้งค่าไฟ ดอกเบี้ย ยังเป็นแรงกดดันให้กำลังซื้อชะลอตัว จึงเฝ้ารอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ซึ่งมาตรการรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอยากเห็นผลเร็ว เพราะปัจจัยต่างๆ ควบคุมได้ ต่างกับการแก้ปัญหาส่งออกที่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยนอกประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นยังส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเข้ามาเที่ยวประเทศไทยด้วย
⦁ หั่นโอทีเกือบ100% แย่กว่าช่วงโควิด
ฟาก ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ระบุว่า นอกจากเรื่องการส่งออกที่น่าเป็นห่วงแล้ว นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของพรรคการเมือง ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ในอนาคต ยังสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มองว่าการนำมาพูดถึงในช่วงนี้อาจยังไม่เหมาะสมต้องดูสภาพคล่องของธุรกิจ ยิ่งภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้หลายธุรกิจเสี่ยงจะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ ดูได้จากจำนวนผู้ว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่สูงขึ้นในรอบ 6 เดือน หรือประมาณ 1.3% ซึ่งสาเหตุหลักจากการว่างเงินเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันมีสต๊อกเหลือค้างจำนวนมาก
แม้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2566 อัตราการว่างงานดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2565 รายละเอียดประกอบด้วย โครงสร้างกำลังแรงงาน ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 58.8 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 40.3 ล้านคน หรือ 68.5% ที่เหลืออยู่นอกกำลังแรงงานประมาณ 18.5 ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 39.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 98% และเป็นผู้ว่างงาน 4.2 แสนคน แต่เมื่อดูจากการจ้างงานแฝงในปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนมาก ก็ยังเป็นจำนวนที่น่ากังวลอยู่ดี
ส่วนการจ้างงานล่วงเวลา หรือการทำโอที ในภาพรวมลดลงเกือบทั้งหมด ซึ่งในมุมของบริษัทผมก็ได้รับผลกระทบเรื่องยอดขายเช่นกัน ถือว่าเป็นผลกระทบในรอบ 10 ปี เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ประกอบการนำเข้า และส่งออกสินค้า ซึ่งถือว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนกำลังการผลิตกลับมาอยู่ที่ประมาณ 60-62% แต่อย่างน้อยควรกลับมาอยู่ที่ 85% จาก 100% ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19
⦁ วัดฝีมือรัฐบาลใหม่กู้ภาคส่งออก
อย่างไรก็ดี การที่จะทำให้กำลังการผลิตกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ต้องรอให้สถานการณ์การส่งออกคลี่คลาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรแปรรูป และภาคปศุสัตว์ ซึ่งพึ่งพิงอุตสาหกรรมนำเข้า อาทิ กล่อง ฉลาก แพคเกจจิ้ง เมื่อธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบ สินค้าที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
“ขณะนี้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ เนื่องจากการขนส่งสินค้าในบางประเภทต้องหยุดชะงัก ซึ่งการแก้ไขในเรื่องนี้ยังมีความยาก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกำลังซื้อ เมื่อคนไม่มีกำลังซื้อ ก็คงต้องรอเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และควรเร่งหาตลาดใหม่ๆ ในการกระจายสินค้า เนื่องจากปัจจุบันคู่ค้าด้านการนำเข้า ส่งออกของไทย อาทิ สหรัฐ ยุโรป และจีน ยังติดลบทั้งหมด” รองประธานอีคอนไทยทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้เป็นความกังวลของภาคธุรกิจ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่างเฝ้ารอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ปัญหาโดยด่วน
เพราะการส่งออกเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่วัดฝีไม้ลายมือรัฐบาล จะเข็นให้เดินหน้า หรือปล่อยฟุบจนบานปลายถึงขั้นเลิกจ้างแรงงาน ต้องติดตาม!!