วิจารณ์ยับ รัฐไทย ส่งเด็ก 126 คน ใน ร.ร.อ่างทอง กลับประเทศ อ.จุฬา ชี้ขัดหลักการ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7751077
วิจารณ์ยับ รัฐไทย ส่งเด็กไม่มีเอกสารทางทะเบียน จากโรงเรียน ใน จ.อ่างทอง 126 คน กลับประเทศ อ.จุฬา ชี้ขัดหลักการ พรบ.คุ้มครองเด็ก หวั่นเผชิญอันตรายสภาวะสงคราม
วันที่ 6 ก.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย เด็กนักเรียนที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร์และสัญชาติไทยจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง จำนวน 126 คนได้เดินทางโดยรถบัส 4 คัน เพื่อถูกนำตัวไปยังสถานสงเคราะห์ต่างๆ 5 แห่งก่อนถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง โดยมีตัวแทนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ พล.ต.ต.
ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอยให้การดูแล
ขณะเดียวกัน นาง
เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย นาง
ปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดร.
ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนอีกหลายองค์กรต่างเดินทางมาสังเกตการณ์
ทั้งนี้เด็กทั้ง 126 คนมีอายุตั้งแต่ 7-16 ปี ถูกนำพาไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง โดยผู้อำนวยการโรงเรียนพยายามขอทะเบียนนักเรียนที่ไม่มีสัญชาติ (G code) แต่เมื่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ตรวจสอบเพราะเห็นจำนวนที่มากผิดปกติ ทำให้พบว่ามีการนำเด็กจากประเทศพม่าเข้ามาเรียนจำนวนมาก และได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว และเตรียมผลักดันเด็กกลุ่มนี้กลับประเทศต้นทางทำให้ต้องออกจากการศึกษากลางคัน
พล.ต.ต.
ฐิตวัฒน์ กล่าวว่า มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่นำพาเด็กๆ มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการนำเด็กๆ คืนให้ผู้ปกครองซึ่งยึดตามหลักฐานโดยต้องเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง จริงๆ แล้วเด็กเหล่านี้สามารถเรียนหนังสือในไทยได้ แต่ควรเรียนในพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดน แต่ครั้งนี้กลับเอาไปเรียนที่จังหวัดอ่างทอง ดังนั้นจึงต้องดำเนินการ
นาง
เตือนใจ กล่าวว่า ต้นเหตุของปัญหาคือนโยบายของกระทรวงศึกษาที่ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนต้องนำเด็กจากที่อื่นไปเรียนเพื่อให้โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนมากเพียงพอที่จะดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นควรมีการทบทวนนโยบายนี้ ขณะเดียวกันเด็กๆ จากประเทศเพื่อนบ้านต่างก็ต้องการหนีร้อนมาพึ่งเย็น เพราะประเทศเขาเกิดการสู้รบ ดังนั้นจึงควรร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้
ด้าน นาย
สันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล กล่าวว่าเด็กต้องได้รับการคุ้มครองทั้งตามอนุสัญญาสิทธิเด็กและพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก โดยต้องเด็กเหล่านี้ต้องไม่ถูกดำเนินคดี และไม่สมควรมีการผลักดันเด็กนอกประเทศเพราะต้องคำนึกถึงความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเด็กเหล่านั้นเดินทางมาจากประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะสงคราม ส่วนเรื่องการหลบหนีเข้าเมืองก็ควรดำเนินการกับผู้ใหญ่ที่นำพาเข้ามา หรือแม้กระทั่งที่ทำเพราะกลัวโรงเรียนถูกปิดก็ตาม
นาย
สันติพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ดังนั้น กสม.ควรเร่งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ที่สำคัญคือควรให้การคุ้มครองเด็กชั่วคราวเพื่อไม่ให้มีการผลักดันเด็กออกไป อย่างไรก็ตามอนุกรรมการของสภาความมั่นคงแห่งชาติประเมินว่ามีเด็กตัว G อยู่ราว 8 หมื่นคน โดยพบมาใน 6 จังหวัด เช่น กทม. เชียงราย เชียงใหม่ ชลบุรี ดังนั้นจะมีวิธีการจัดการอย่างไรที่เหมาะสม
ด้าน ดร.
ศรีประภา กล่าวว่า การผลักดันเด็กกลุ่มนี้ออกนอกประเทศถือว่าเป็นการขัดกับหลักการที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ ที่รัฐไทยเป็นภาคี รวมถึงหลักการกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการไม่ผลักดันกลับในกรณีที่เด็กเหล่านี้จะกลับไปสู่อันตราย ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะเป็นใคร จะมีสถานะบุคคลอย่างไร ก็ต้องได้รับความคุ้มครอง และได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงการศึกษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เด็กๆ เหล่านี้เข้าไปเรียนในพื้นที่ชั้นในของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ดร.
ศรีประภา ยืนยันว่า ไม่มีข้อห้ามใดๆในการให้เด็กเข้าไปเรียนที่ จ.อ่างทอง เพราะทั้งที่สมุทรสาคร กทม.ต่างก็มีเด็กๆ ที่เป็นลูกแรงงานข้ามชาติเรียนอยู่ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย
“พิเชษฐ์” แย้มกรอบเลือกนายกฯ 3 ครั้งไม่ชัดได้ สว.กี่เสียง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_579042/
“พิเชษฐ์” แย้มวางกรอบเลือกนายกฯ 3 ครั้ง หาก 13 ก.ค. ยังไม่ได้ เลือกต่อ 19-20 ก.ค. ไม่ชัดได้ สว.กี่เสียง ย้ำต้องทำตาม MOU 8 พรรค
นาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เปิดเผยว่า ได้วางวันเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ 13 ก.ค. ถ้าไม่ได้ก็จะให้เลือกรอบที่ 2 วันที่ 19 ก.ค. และรอบที่ 3 วันที่ 20 ก.ค. คาด 3 วันนี้ก็น่าจะเพียงพอ ได้นายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้าไม่ได้ก็จะคุยกันใหม่ โดยจะเปิดโอกาสให้ 3 ครั้งก่อน เพราะการเรียกประชุมบ่อยๆ และใช้สมาชิก 750 คน ก็ค่อนข้างลำบาก เวลา 3 วันก็เยอะแล้ว และอยากให้ได้ภายใน 3 วันนี้
ส่วนกรณีถ้าหากกำหนดไว้ 3 ครั้งแรกแล้ว ยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีจะมีการพูดคุยกันใหม่หรือพลิกให้พรรคเพื่อไทย มานำในการจัดตั้งรัฐบาล นาย
พิเชษฐ์ ระบุว่า แล้วแต่ที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุม 8 พรรค ที่ต้องทำตาม MOU ที่จะต้องจับมือกันไป ซึ่งต้องพูดคุยกันเป็นการภายในไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ยังไม่ทราบจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่แน่ชัดว่าจะสนับสนุนโหวตให้นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เท่าที่พูดคุยกับ สว.มีเจตนาที่ดีที่ต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาล สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ประเทศชาติจะได้เดินหน้าได้
นักลงทุนต่างชาติไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย ยังรอลุ้นทิศทางการเมืองไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4065760
นักลงทุนต่างชาติไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย ยังรอลุ้นทิศทางการเมืองไทย
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นาย
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 34.85-35.02 บาทต่อดอลลาร์) ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำสู่ระดับ 1,924 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.15 บาทต่อดอลลาร์
นาย
พูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอลงจริง ตามที่คาดการณ์ไว้ และเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างของเงินบาท หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้จริง นอกจากนี้ ภาวะตลาดการเงินที่ไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ก็ยังคงเป็นปัจจัยหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ทองคำก็อาจไม่ได้เป็นที่ต้องการของผู้เล่นในตลาดมากนัก เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี แรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากทางรัฐสภาได้มีการกำหนดวันโหวตเลือกนายกฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้นักลงทุนต่างชาติ อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย เพื่อรอจับตาทิศทางการเมืองไทยก่อน อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ฝั่งสหรัฐฯ อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นตามได้บ้าง ซึ่งก็จะช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง นักลงทุนต่างชาติ ทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้ ควรระวัง ความผันผวนในตลาดค่าเงิน ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มทยอยรายงานตั้งแต่เวลา 19.15 น. ทำให้ในช่วงการซื้อ-ขาย ระหว่างวัน เงินบาทอาจไม่ได้แกว่งตัวในกรอบกว้าง แต่อาจจะผันผวนมากขึ้นในช่วงดังกล่าว ซึ่งเราประเมินว่า โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 35.15 บาทต่อดอลลาร์
“
ช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” นาย
พูนกล่าว
นาย
พูนกล่าวว่า ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดยังได้หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกด้วย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.95-103.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ได้ รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง ก่อนปิดท้ายด้วย รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) และรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) ซึ่งทุกข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ก็ล้วนมีความสำคัญต่อการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินของเฟด
JJNY : วิจารณ์ยับ รัฐไทย ส่งเด็กกลับประเทศ│“พิเชษฐ์”แย้มกรอบเลือกนายกฯ│นักลงทุนต่างชาติไม่รีบปรับสถานะ│อุณหภูมิโลกร้อน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7751077
วิจารณ์ยับ รัฐไทย ส่งเด็กไม่มีเอกสารทางทะเบียน จากโรงเรียน ใน จ.อ่างทอง 126 คน กลับประเทศ อ.จุฬา ชี้ขัดหลักการ พรบ.คุ้มครองเด็ก หวั่นเผชิญอันตรายสภาวะสงคราม
วันที่ 6 ก.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย เด็กนักเรียนที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร์และสัญชาติไทยจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง จำนวน 126 คนได้เดินทางโดยรถบัส 4 คัน เพื่อถูกนำตัวไปยังสถานสงเคราะห์ต่างๆ 5 แห่งก่อนถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง โดยมีตัวแทนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอยให้การดูแล
ขณะเดียวกัน นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนอีกหลายองค์กรต่างเดินทางมาสังเกตการณ์
ทั้งนี้เด็กทั้ง 126 คนมีอายุตั้งแต่ 7-16 ปี ถูกนำพาไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง โดยผู้อำนวยการโรงเรียนพยายามขอทะเบียนนักเรียนที่ไม่มีสัญชาติ (G code) แต่เมื่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ตรวจสอบเพราะเห็นจำนวนที่มากผิดปกติ ทำให้พบว่ามีการนำเด็กจากประเทศพม่าเข้ามาเรียนจำนวนมาก และได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว และเตรียมผลักดันเด็กกลุ่มนี้กลับประเทศต้นทางทำให้ต้องออกจากการศึกษากลางคัน
พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ กล่าวว่า มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่นำพาเด็กๆ มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการนำเด็กๆ คืนให้ผู้ปกครองซึ่งยึดตามหลักฐานโดยต้องเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง จริงๆ แล้วเด็กเหล่านี้สามารถเรียนหนังสือในไทยได้ แต่ควรเรียนในพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดน แต่ครั้งนี้กลับเอาไปเรียนที่จังหวัดอ่างทอง ดังนั้นจึงต้องดำเนินการ
นางเตือนใจ กล่าวว่า ต้นเหตุของปัญหาคือนโยบายของกระทรวงศึกษาที่ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนต้องนำเด็กจากที่อื่นไปเรียนเพื่อให้โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนมากเพียงพอที่จะดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นควรมีการทบทวนนโยบายนี้ ขณะเดียวกันเด็กๆ จากประเทศเพื่อนบ้านต่างก็ต้องการหนีร้อนมาพึ่งเย็น เพราะประเทศเขาเกิดการสู้รบ ดังนั้นจึงควรร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้
ด้าน นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล กล่าวว่าเด็กต้องได้รับการคุ้มครองทั้งตามอนุสัญญาสิทธิเด็กและพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก โดยต้องเด็กเหล่านี้ต้องไม่ถูกดำเนินคดี และไม่สมควรมีการผลักดันเด็กนอกประเทศเพราะต้องคำนึกถึงความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเด็กเหล่านั้นเดินทางมาจากประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะสงคราม ส่วนเรื่องการหลบหนีเข้าเมืองก็ควรดำเนินการกับผู้ใหญ่ที่นำพาเข้ามา หรือแม้กระทั่งที่ทำเพราะกลัวโรงเรียนถูกปิดก็ตาม
นายสันติพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ดังนั้น กสม.ควรเร่งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ที่สำคัญคือควรให้การคุ้มครองเด็กชั่วคราวเพื่อไม่ให้มีการผลักดันเด็กออกไป อย่างไรก็ตามอนุกรรมการของสภาความมั่นคงแห่งชาติประเมินว่ามีเด็กตัว G อยู่ราว 8 หมื่นคน โดยพบมาใน 6 จังหวัด เช่น กทม. เชียงราย เชียงใหม่ ชลบุรี ดังนั้นจะมีวิธีการจัดการอย่างไรที่เหมาะสม
ด้าน ดร.ศรีประภา กล่าวว่า การผลักดันเด็กกลุ่มนี้ออกนอกประเทศถือว่าเป็นการขัดกับหลักการที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ ที่รัฐไทยเป็นภาคี รวมถึงหลักการกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการไม่ผลักดันกลับในกรณีที่เด็กเหล่านี้จะกลับไปสู่อันตราย ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะเป็นใคร จะมีสถานะบุคคลอย่างไร ก็ต้องได้รับความคุ้มครอง และได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงการศึกษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เด็กๆ เหล่านี้เข้าไปเรียนในพื้นที่ชั้นในของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ดร.ศรีประภา ยืนยันว่า ไม่มีข้อห้ามใดๆในการให้เด็กเข้าไปเรียนที่ จ.อ่างทอง เพราะทั้งที่สมุทรสาคร กทม.ต่างก็มีเด็กๆ ที่เป็นลูกแรงงานข้ามชาติเรียนอยู่ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย
“พิเชษฐ์” แย้มกรอบเลือกนายกฯ 3 ครั้งไม่ชัดได้ สว.กี่เสียง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_579042/
“พิเชษฐ์” แย้มวางกรอบเลือกนายกฯ 3 ครั้ง หาก 13 ก.ค. ยังไม่ได้ เลือกต่อ 19-20 ก.ค. ไม่ชัดได้ สว.กี่เสียง ย้ำต้องทำตาม MOU 8 พรรค
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เปิดเผยว่า ได้วางวันเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ 13 ก.ค. ถ้าไม่ได้ก็จะให้เลือกรอบที่ 2 วันที่ 19 ก.ค. และรอบที่ 3 วันที่ 20 ก.ค. คาด 3 วันนี้ก็น่าจะเพียงพอ ได้นายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้าไม่ได้ก็จะคุยกันใหม่ โดยจะเปิดโอกาสให้ 3 ครั้งก่อน เพราะการเรียกประชุมบ่อยๆ และใช้สมาชิก 750 คน ก็ค่อนข้างลำบาก เวลา 3 วันก็เยอะแล้ว และอยากให้ได้ภายใน 3 วันนี้
ส่วนกรณีถ้าหากกำหนดไว้ 3 ครั้งแรกแล้ว ยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีจะมีการพูดคุยกันใหม่หรือพลิกให้พรรคเพื่อไทย มานำในการจัดตั้งรัฐบาล นายพิเชษฐ์ ระบุว่า แล้วแต่ที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุม 8 พรรค ที่ต้องทำตาม MOU ที่จะต้องจับมือกันไป ซึ่งต้องพูดคุยกันเป็นการภายในไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ยังไม่ทราบจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่แน่ชัดว่าจะสนับสนุนโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เท่าที่พูดคุยกับ สว.มีเจตนาที่ดีที่ต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาล สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ประเทศชาติจะได้เดินหน้าได้
นักลงทุนต่างชาติไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย ยังรอลุ้นทิศทางการเมืองไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4065760
นักลงทุนต่างชาติไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย ยังรอลุ้นทิศทางการเมืองไทย
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 34.85-35.02 บาทต่อดอลลาร์) ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำสู่ระดับ 1,924 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.15 บาทต่อดอลลาร์
นายพูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอลงจริง ตามที่คาดการณ์ไว้ และเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างของเงินบาท หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้จริง นอกจากนี้ ภาวะตลาดการเงินที่ไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ก็ยังคงเป็นปัจจัยหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ทองคำก็อาจไม่ได้เป็นที่ต้องการของผู้เล่นในตลาดมากนัก เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี แรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากทางรัฐสภาได้มีการกำหนดวันโหวตเลือกนายกฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้นักลงทุนต่างชาติ อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย เพื่อรอจับตาทิศทางการเมืองไทยก่อน อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ฝั่งสหรัฐฯ อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นตามได้บ้าง ซึ่งก็จะช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง นักลงทุนต่างชาติ ทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้ ควรระวัง ความผันผวนในตลาดค่าเงิน ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มทยอยรายงานตั้งแต่เวลา 19.15 น. ทำให้ในช่วงการซื้อ-ขาย ระหว่างวัน เงินบาทอาจไม่ได้แกว่งตัวในกรอบกว้าง แต่อาจจะผันผวนมากขึ้นในช่วงดังกล่าว ซึ่งเราประเมินว่า โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 35.15 บาทต่อดอลลาร์
“ช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” นายพูนกล่าว
นายพูนกล่าวว่า ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดยังได้หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกด้วย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.95-103.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ได้ รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง ก่อนปิดท้ายด้วย รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) และรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) ซึ่งทุกข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ก็ล้วนมีความสำคัญต่อการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินของเฟด