หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[SR] รีวิว MG 4 ELECTRIC ขับสนุก ช่วงล่างอิสระ ทดสอบระยะทางไกล จนแบตเหลือ 1% !?
กระทู้รีวิว
MG
รถยนต์ไฟฟ้า
MG4 ELECTRIC เปิดตัวในตลาดเมืองนอก และ ได้รับกระแสได้แง่บวกมาโดยตลาดในจากหลายๆสื่อทั้งเรื่อง คุณภาพการขับขี่ ความสนุกในการขับขี่ และ อะไรหลายๆอย่างดีขึ้นกว่า MG ในยุคก่อนๆ ซึ่งก็ทำให้หลายๆคนคาดหวังกับรุ่นนี้มาก แม้ว่าจะน่าเสียดายในไทยเองมาไม่ได้ครบทุกรุ่นย่อย หรือตัวสเปกแบตใหญ่ แต่หลายๆอย่างก็ทำได้น่าสนใจ เทคโนโลยีใหม่ แบตใหม่ Platform ใหม่ทั้งหมด และ การใช้งานแบบขับหลัง และช่วงล่างแบบอิสระก็ทำให้มันยังอยู่ในระดับที่ดีในการขับขี่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เรทราคาเดียวกันทั้งหมดซึ่งหลังจากที่เราทดสอบบอกเลยว่า ไม่เกินจริงครับ มันกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในงบราคาล้านต้นๆที่ขับขี่ดีที่สุด และ ช่วงล่างดีที่สุด รวมถึงขับสนุกที่สุดในตอนนี้ และ ครั้งนี้เราจะทดสอบในการขับขี่ทางไกลแบบไม่แวะชาร์จว่า 340 กิโลเมตร จะขับได้จริงถึงแค่ไหนกัน
MG4 ELECTRIC มาพร้อมกับ ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และ พ่วงด้วยแบตเตอรี่ RUBIK’s CUBE Baterry ขนาดความจุ 51 kWh ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น มาพร้อมระบายความร้อนแบบ LIQUID Cooling System รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 88 kW ทำให้สามารถรองรับการขับขี่ระยะทาง 425 km. ต่อการชาร์จ NEDC และสามารถชาร์จไฟฟ้าจาก 10% – 80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที รวมถึงในไทยเองมาพร้อม 2 รุ่นย่อยแตกต่างกับเรื่อง ออฟชั่น และ ดีไซน์ภายนอก ในรุ่นที่เรารีวิวจะเป็นรุ่นท็อปสูงสุดนั้นเองครับ จะมาพร้อมกับ ไฟหน้าแบบ LED Galaxy Technology Headlights และ ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟ Position แบบ Cygnus Symbol สปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing ภายในตกแต่งแบบ 2-Tone เทาสลับดำ กระจกไฟฟ้าแบบ One-touch 4 บาน กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และ รองรับ อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) รวมถึงมีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ บรรดาระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมดที่ให้มากกว่ารุ่นเริ่มต้นคือ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ELK ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง RCTB ระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) และยังรองรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งพวกนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆระหว่างรุ่นเริ่มต้น กับ รุ่นท็อปนั้นเองครับ ส่วนระยะทางเหมือนกัน
- MG 4 ELECTRIC X ราคา 969,000 บาท , MG 4 Electric D ราคา 869,000 บาท
EXTERIOR
งานออกแบบภายนอกเส้นสายคมเยอะชัดเจน ซึ่งถ้ามองแนวคิดของรถเค้าจะอิงจากรถยนต์สปอร์ตเป็นหลักและทำให้เราได้เส้นสายหน้าตาแบบนี้มานั้นเอง ตัวรถมาในขนาดแบบ C-Segment ถ้ามองในคู่แข่ง EV ก็จะมี ORA GOODCAT นั้นเอง รวมถึงถ้ามองในรถยนต์ทั่วไปคือขนาดคู่แข่ง CIVIC , MAZDA3 เช่นกันแม้ว่าดูทรงรถอาจจะไม่ใหญ่ แต่จริงๆใหญ่เอาเรื่องเลยนะ เส้นสายภาพรวมถ้าชอบแนวนี้คือชอบเลยแต่ถ้าชอบความเรียบๆหรูอาจจะไม่ถูกใจมากนักนั้นเอง แต่ถ้ามองเทียบกับ MG ก่อนหน้า รุ่นนี้ถือว่ามีความเป็นตัวเอง และ แตกต่างกับรุ่นก่อนๆชัดเจน ตัวรถมาในขนาด ยาว 4.2 เมตร และ กว้าง 1.8 เมตร รวมถึงสูง 1.5 เมตร แต่ที่เด่นๆคือฐานล้อยาว 2.7เมตรด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และ Platform Nebula ใหม่ทำให้ส่วนหน้ารถ ท้ายรถ สั้นลงได้ และ กระจายน้ำหนักได้ 50:50 ทำให้การขับขี่ รูปทรง ส่งผลดีทุกอย่างกับตัวรถ จุดนี้แหละทำให้ตัวรถมันโดดเด่นในแง่ของการขับขี่ครับ
เมื่อดูภาพรวมตัวรถต้องบอกว่าด้านหน้ารถแอบลงตัวกว่าท้ายรถจริงๆด้วยความที่เส้นสายกับรูปทรงที่เสริมกันเข้าได้ดีและความที่รถไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะแยะด้วยทำให้การออกแบบง่ายขึ้น ไฟหน้าทรงเรียวกับเส้นสายแหลมคมเข้ากันได้อย่างลงตัวรวมถึงการดึงเส้นสายแบบรถสปอร์ตเข้ามาบอกเลยว่าชอบด้านหน้า แต่ขัดใจโลโก้ที่ใหญ่ไปนิดหน่อย ส่วนเมื่อดูด้านข้างเราจะรู้เลยว่าหน้ารถ กับ ท้ายรถมันสั้นมากๆเพราะไม่ต้องมีเครื่องยนต์อะไร และ การได้ Platform ใหม่ทั้งหมดแบบนี้ทำให้จัดการอะไรได้ง่ายขึ้นตัวรถมาแนวเตี้ยเพรียวบางพร้อมกับเส้นสายส่วนล่างที่ทำให้ตัวรถมีเว้าโค้งมากขึ้น ดูไม่เรียบมากเกินไปได้ดีแม้ว่าส่วนล่างจะเป็นพลาสติกดำเรียบๆก็ตาม แต่มามองด้านท้ายรถเราจะเห็นไฟท้ายขนาดใหญ่สะใจก้อนโต เส้นสายเต็มๆในรุ่นท็อป แต่ถ้ารุ่นปกติจะไม่มีแถบตรงกลางครับ เสริมด้วยสปอยเลอร์หลัง และ ท้ายแบบสั้นๆทำให้ดูกระทัดรัดแม้ว่าตัวรถจะใหญ่ขนาดแบบ C-Segment ก็ตามครับ
ในด้านท้ายในรุ่น X แบบนี้เราจะได้ไฟท้ายแบบยาวเต็มจนถึงโลโก้ทำให้ตัวรถดูสวยมากขึ้น แต่ถ้าในรุ่นเริ่มต้นนั้นเราอาจจะได้ไฟท้ายมุม ซ้าย และ ขวา เท่านั้น รวมถึงสปอยเลอร์หลังที่รุ่นเริ่มต้นนั้นไม่มี แต่ถ้าส่วนตัวยังไงงานออกแบบส่งมาให้รุ่นท็อปเท่านั้นทั้งความสวยงามและเส้นสายไฟท้าย รวมถึงไฟเบรคดวงที่ 3 แบบสั้นๆด้านบนเราจะเห็นว่าตัวรถจะออกแนว กว้างๆเตี้ยแบนทำให้สัดส่วนตัวรถนั้นดูเตี้ยๆไปด้วยพร้อมกับไฟตัดหมอกด้านหลังส่วนล่าง และในด้านหน้าด้วยความที่ไฟหน้าใหญ่แนวยาวแบบนี้เสริมกับตัวรถทำให้ดูแบนเช่นกันเราจะเห็นเลยว่าไฟหน้าในรุ่นท็อปแบบนี้จะแยกไฟเลี้ยว ออกมาอยู่ด้านล้างทั้งเส้นแบบเช้มๆสวยๆ ก็ดูแปลกตาดีเช่นกัน รวมถึงตัวล้อเองนั้นคันนี้ยังให้มาที่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อม AERO WHEEL COVER ซึ่งเป็นแบบฝาครอบพลาสติก ส่วนล้อจริงๆก็เป็นอีกลายนึงนั้นเองครับ ซึ่งเราจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆตัวพยายามใช้งานออกแบบนี้เช่นกันเพื่อความลู่ลมในการขับขี่นั้นเองแต่ที่น่าสนใจคือ เบรค และ ยางของ Continental ที่มีการพัฒนาร่วมกับการขับขี่ และคุณภาพยางคือดีมากๆครับ
สปอยเลอร์หลังแบบ 2 ชิ้นสวยงามแบบนี้เว้นช่องว่างให้ไฟเบรคดวงที่ 3 สวยงามเท่ลงตัว และมีแค่ในรุ่นท็อปเท่านั้นด้วยเช่นกันซึ่งแม้ว่าตัวรถอาจจะไม่มีใบปัดน้ำฝนหลังแต่การออกแบบไฟท้ายขนาดใหญ่และยื่นมาแบบนี้ช่วยลดเรื่องลมตีกลับส่วนหลังได้เยอะกว่าที่คิดฝุ่นไม่ค่อยมาถึงกระจกหลัง แต่ก็มีการเกาะของฝนอยู่บ้างเป็นปกติครับแต่ไม่แย่อบบที่คิด ส่วนไฟท้ายเองเป็น LED + หลอดไส้บางส่วน แต่ในรุ่นท็อปในภาพเราจะได้ไฟท้ายแบบเต็มๆยาวจนถึงโลโก้ซึ่งสวยลงตัวมากๆแถมยังมีไฟเส้นๆบนโคมด้วยเป็นเอกลักษณ์เด่นๆเมื่อมองจากมุมบน พร้อมกับไฟหน้าแบบเต็ม FULL LED พร้อมไฟเลี้ยวในส่วนล่างซึ่งในแง่ของความสว่างกำลังดี แต่ไฟสูงแสงค่อนข้างฟุ้งและกระจุกตรงกลาง
แต่ที่ค่อนข้างชอบอย่างนึงเลยคืองานออกแบบส่วนรอบๆที่ชาร์จไฟถ้ามองเทียบกันในเรทราคานี้ ค่ายนี้ถือว่าออกแบบเก็บงานรอบๆที่ชาร์จได้แบบลงตัวที่สุด คุณภาพดี และสวยงามที่สุดไม่มีรูน็อตให้เห็นรวมถึงมีไฟสถานะต่างๆมาให้ครบ 4 ขีดซึ่งบอกสถานะเวลาชาร์จ และ ความจุแบต ขีดละ 25% ซึ่งดีมากๆในการใช้งานและสวยกว่าคู่แข่งทั้งหมด ส่วนทางด้านกระจกมองข้างมาพร้อมกล้องรอบคัน และ BSM รองรับการใช้งานครบๆพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนจุดเด่นนึงของงานออกแบบนั้นเป็นเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าที่ทำคล้ายกับ Airduct ของรถยนต์ Supercar นั้นเอง
INTERIOR
งานออกแบบภายในแน่นอนว่า MG นั้นแตกต่างกับรุ่นก่อนๆที่เราคุ้นเคยกันทั้งหมดแน่นอน รุ่นนี้ถือว่าสวยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลักตามสมัยนิยม ไม่รกมากเกินไปเส้นสายไม่เยอะและใช้งานได้ง่าย พวงมาลัยรูปทรงใหม่พร้อมกับอะไรใหม่ๆทั้งหมดซึ่งถือว่าสวยและลงตัวทั้งนี้ในเรื่องของมุมมองการใช้งานขับขี่ถือว่าทำได้ดีเช่นกันมีความโปร่งโล่งและปุ่มต่างๆในการจัดวางเข้าถึงง่าย ด้วยความที่เป็นการพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทำให้คอนโซลพื้นที่ข้างในโล่งไม่มีอะไรมาให้เกะกะและสามารถออกแบบได้เต็มที่ ความมินิมอลเป็นหน้าจอกลาง และ คนขับเท่านั้น แต่เรื่องขนาดถือว่าลงตัว แต่ถ้ามองมุมนี้ก็อาจจะมีส่วนนึงที่ขัดใจกระจกตัดแสงออโต้ที่ดีไซน์ดูขอบหนา ย้อนยุคไปพอสมควรเลย
แน่นอนว่าหน้าจอกลางของตัวรถได้หนาตาใหม่ทั้งเรื่องของงานออกแบบ และ หน้าตา UI ซึ่งเราจะเห็นเลยว่าแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด ใช้งานได้ง่ายขึ้น คลีนสวยขึ้น แถมในการใช้งานจริงถือว่าสะดวก รองรับ Apple Carplay , Android Auto แบบเสียบสบายปกตินั้นเอง ในการใช้งานนั้นจะเป็นแบบ USB-A เป็นหลักครับในการเชื่อมต่อ ส่วนหน้าจอมาพร้อมกับขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการสัมผัส และ หน้าจอคนขับ หน้าจอแสดงผล Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) ส่วนในการแสดงผลนั้นจะมีเรื่องความสว่างในเวลากลางคืนนั้นแอบแยงตาถ้าหรี่แสงมากที่สุดแล้วก็ตามเป็นจุดที่ถือว่าน่าจะปรับได้ดีกว่านี้
ทางด้านพวงมาลัยเปลี่ยนรูปทรงใหม่ทั้งหมดดูทันสมัยขึ้น และดูยุคใหม่ขึ้นทันทีมีการออกแบบขอบตัดทั้งบน และ ล่าง ซึ่งเป็นสมัยนิยมที่พยายามเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้นและในการใช้งานจริงก็ลงตัวขึ้นมาก แม้จะเป็นสองก้านก็ตามแต่ออกแบบได้ดีอย่างมากปุ่มต่างๆในการใช้งานลงตัว และมีคีย์ลัด รวมถึงการออกแบบปุ่มจอยควบคุมทั้งสองข้าง และ ทางด้าน คอนโซลเกียร์ที่เป็นการออกแบบใหม่ ใช้งานได้ง่าย เรียบ และ ชาร์จไร้สาย รวมถึงไม่มีอุโมงค์เกียร์มาเกะกะทำให้การใช้งานโปร่งโล่งและไม่เกะกะด้วยเช่นกันซึ่งถือว่าแตกต่างกับ MG ไฟฟ้าก่อนหน้าทุกคัน
ชื่อสินค้า:
MG 4 ELECTRIC
คะแนน:
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
- ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
- ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
กำลังหาข้อมูลรถไฟฟ้า 100% MG4 ควรหนีไป! หรือจัดไป!
โจทย์เดิมครับ ใช้เป็นรถสำรอง ใช้วันละไม่เกิน 50 กม. แฟนใช้รับ-ส่งลูก ถ้าใช้ดี อาจจะใช้เที่ยวเสาร์-อาทิตย์วันละไม่เกิน 400 กม. คิดว่าจะใช้ได้เกิน 5 ปีไหมนะ อาจจะส่งต่อให้ลูกตอนเข้ามหาลัย ปล. MG
สมาชิกหมายเลข 5054354
ระหว่าง MG4 กับ New Nissan Kick เลือกอันไหนดีกว่ากันครับ
พอดีกำลังมองดูรถอยู่ครับสนใจรถพลังไฟฟ้าขับระยะไกล 60 กิโลไปกลับไม่เหนือยมาก ตอนแรกดู Nissan kick อยู่ เป็นรถ Crossover ที่สูงขนาดรถไม่ได้ใหญ่มากถ้าเทียบกับคลาสเดียวกัน แต่ที่ชอบเพราะอัตราเร่งดีและเป็
สมาชิกหมายเลข 4188071
ระหว่าง MG4 กับ Ora Good Cat 500 เลือกอะไรดี
ตีกับแฟนมาหลายวันแล้ว ระหว่างสองรุ่นนี้ ตัวเราอยากได้ MG4 X (เพราะใช้ MG5 รุ่น D+ อยู่ แล้วแฮปปี้กับรถ+ บริการหลังการขายมาก + อยากลองรถขับหลัง) แต่แฟน อยากได้ Ora Good Cat เพราะชอบลายเท้าแมวตรงที่วางแ
สมาชิกหมายเลข 7546572
รีวิว MG4 สัมผัสแรก ในสนามปทุมสปีดเวย์ ขับสนุกสุดใน EV Car ช่วง 1 ล้านบาท
สวัสดีเพื่อนๆ ห้อง รัชดา ครับ ทางทีมงาน Pantip Garage เราได้รับเกียรติ เชิญเข้าร่วมทดสอบรถ MG4 รถ EV รุ่นล่าสุด ซึ่งเตรียมที่จะเป
PonTripleP
เลือกไม่ถูกครับ Dolphin vs MG 4 699k
สวัสดีครับ ได้ไปลองมาทั้งโลมาStdและmg4D ในงบเท่ากัน 699,999 ครับ ชอบระบบของโลมามากๆกับความสะดวกภายในครับ แล้วผมตัวใหญ่สูง180 cm. นน.100+ เข้าออกที่นั่งคนขับลำบากพอสมควร บวกกับ
ไม่หักก็พัง
Xiaomi YU7 ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้ไกล 620 Km.
Xiaomi ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Xiaomi YU7 ซึ่งเป็น SUV ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับระยะทางขับขี่สูงสุดถึง 835 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน CLTC) โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Tesla
กระท่อมน้อยริมบึง
MG Cyberster รถสปอร์ตเปิดประทุนไฟฟ้า 100%
เอ็มจี เปิดตัวรถต้นแบบแห่งโลกอนาคต “MG Cyberster” ในงาน Shanghai Auto Show 2021 รถสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมห้องโดยสารแบ
GenPon_Redline
5 รุ่นรถ EV น่าซื้อที่สุดในปี 2025 🚗⚡(ความคิดเห็นส่วนตัว)
ปี 2025 เป็นอีกปีที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คึกคักสุดๆ หลายแบรนด์แข่งขันกันปล่อยรุ่นใหม่ออกมาเพียบ! วันนี้เราจะพาไปดู 5 รุ่นรถ EV ที่น่าซื้อที่สุดในปี&nb
punnarich
Isuzu N Series หกล้อบรรทุกที่ บ้านเราควรมีใช้
ปฎิวัติวงการขนส่ง 6 ล้อบ้านเราควรมีใช้เดี๋ยวนี้ Isuzu N Series 2025 สำหรับรถ 6 ล้อบรรทุกมีทั้ง EV และดีเซล ที่สำคัญเขามี ADAS ระบบช่วยเหลือการขับขี่ - ระบบเตือนการออกนอกเลน (LDWS) - ระบบเบรกฉุกเฉินอั
สมาชิกหมายเลข 8577804
ส่อง MG4 ใหม่ 2025 ใหญ่ขึ้นทุกมิติ ฐานล้อยาวขึ้น เบาลง 156 กิโลกรัม
จากการเปิดเผยโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) MG4 ใหม่จะมีขนาดตัวรถ ย. 4395 / ก.1842 / ส.1551 มม. และระยะฐานล้อ 2,750 มม. เมื่อเทียบกับ MG4 ในตัวปัจจุบัน ย.4287 / ก.1836 / ส.1516 มม.
สมาชิกหมายเลข 8577804
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
MG
รถยนต์ไฟฟ้า
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[SR] รีวิว MG 4 ELECTRIC ขับสนุก ช่วงล่างอิสระ ทดสอบระยะทางไกล จนแบตเหลือ 1% !?
MG4 ELECTRIC เปิดตัวในตลาดเมืองนอก และ ได้รับกระแสได้แง่บวกมาโดยตลาดในจากหลายๆสื่อทั้งเรื่อง คุณภาพการขับขี่ ความสนุกในการขับขี่ และ อะไรหลายๆอย่างดีขึ้นกว่า MG ในยุคก่อนๆ ซึ่งก็ทำให้หลายๆคนคาดหวังกับรุ่นนี้มาก แม้ว่าจะน่าเสียดายในไทยเองมาไม่ได้ครบทุกรุ่นย่อย หรือตัวสเปกแบตใหญ่ แต่หลายๆอย่างก็ทำได้น่าสนใจ เทคโนโลยีใหม่ แบตใหม่ Platform ใหม่ทั้งหมด และ การใช้งานแบบขับหลัง และช่วงล่างแบบอิสระก็ทำให้มันยังอยู่ในระดับที่ดีในการขับขี่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เรทราคาเดียวกันทั้งหมดซึ่งหลังจากที่เราทดสอบบอกเลยว่า ไม่เกินจริงครับ มันกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในงบราคาล้านต้นๆที่ขับขี่ดีที่สุด และ ช่วงล่างดีที่สุด รวมถึงขับสนุกที่สุดในตอนนี้ และ ครั้งนี้เราจะทดสอบในการขับขี่ทางไกลแบบไม่แวะชาร์จว่า 340 กิโลเมตร จะขับได้จริงถึงแค่ไหนกัน
MG4 ELECTRIC มาพร้อมกับ ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และ พ่วงด้วยแบตเตอรี่ RUBIK’s CUBE Baterry ขนาดความจุ 51 kWh ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น มาพร้อมระบายความร้อนแบบ LIQUID Cooling System รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 88 kW ทำให้สามารถรองรับการขับขี่ระยะทาง 425 km. ต่อการชาร์จ NEDC และสามารถชาร์จไฟฟ้าจาก 10% – 80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที รวมถึงในไทยเองมาพร้อม 2 รุ่นย่อยแตกต่างกับเรื่อง ออฟชั่น และ ดีไซน์ภายนอก ในรุ่นที่เรารีวิวจะเป็นรุ่นท็อปสูงสุดนั้นเองครับ จะมาพร้อมกับ ไฟหน้าแบบ LED Galaxy Technology Headlights และ ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟ Position แบบ Cygnus Symbol สปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing ภายในตกแต่งแบบ 2-Tone เทาสลับดำ กระจกไฟฟ้าแบบ One-touch 4 บาน กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และ รองรับ อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) รวมถึงมีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ บรรดาระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมดที่ให้มากกว่ารุ่นเริ่มต้นคือ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ELK ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง RCTB ระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) และยังรองรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งพวกนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆระหว่างรุ่นเริ่มต้น กับ รุ่นท็อปนั้นเองครับ ส่วนระยะทางเหมือนกัน
- MG 4 ELECTRIC X ราคา 969,000 บาท , MG 4 Electric D ราคา 869,000 บาท
EXTERIOR
งานออกแบบภายนอกเส้นสายคมเยอะชัดเจน ซึ่งถ้ามองแนวคิดของรถเค้าจะอิงจากรถยนต์สปอร์ตเป็นหลักและทำให้เราได้เส้นสายหน้าตาแบบนี้มานั้นเอง ตัวรถมาในขนาดแบบ C-Segment ถ้ามองในคู่แข่ง EV ก็จะมี ORA GOODCAT นั้นเอง รวมถึงถ้ามองในรถยนต์ทั่วไปคือขนาดคู่แข่ง CIVIC , MAZDA3 เช่นกันแม้ว่าดูทรงรถอาจจะไม่ใหญ่ แต่จริงๆใหญ่เอาเรื่องเลยนะ เส้นสายภาพรวมถ้าชอบแนวนี้คือชอบเลยแต่ถ้าชอบความเรียบๆหรูอาจจะไม่ถูกใจมากนักนั้นเอง แต่ถ้ามองเทียบกับ MG ก่อนหน้า รุ่นนี้ถือว่ามีความเป็นตัวเอง และ แตกต่างกับรุ่นก่อนๆชัดเจน ตัวรถมาในขนาด ยาว 4.2 เมตร และ กว้าง 1.8 เมตร รวมถึงสูง 1.5 เมตร แต่ที่เด่นๆคือฐานล้อยาว 2.7เมตรด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และ Platform Nebula ใหม่ทำให้ส่วนหน้ารถ ท้ายรถ สั้นลงได้ และ กระจายน้ำหนักได้ 50:50 ทำให้การขับขี่ รูปทรง ส่งผลดีทุกอย่างกับตัวรถ จุดนี้แหละทำให้ตัวรถมันโดดเด่นในแง่ของการขับขี่ครับ
เมื่อดูภาพรวมตัวรถต้องบอกว่าด้านหน้ารถแอบลงตัวกว่าท้ายรถจริงๆด้วยความที่เส้นสายกับรูปทรงที่เสริมกันเข้าได้ดีและความที่รถไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะแยะด้วยทำให้การออกแบบง่ายขึ้น ไฟหน้าทรงเรียวกับเส้นสายแหลมคมเข้ากันได้อย่างลงตัวรวมถึงการดึงเส้นสายแบบรถสปอร์ตเข้ามาบอกเลยว่าชอบด้านหน้า แต่ขัดใจโลโก้ที่ใหญ่ไปนิดหน่อย ส่วนเมื่อดูด้านข้างเราจะรู้เลยว่าหน้ารถ กับ ท้ายรถมันสั้นมากๆเพราะไม่ต้องมีเครื่องยนต์อะไร และ การได้ Platform ใหม่ทั้งหมดแบบนี้ทำให้จัดการอะไรได้ง่ายขึ้นตัวรถมาแนวเตี้ยเพรียวบางพร้อมกับเส้นสายส่วนล่างที่ทำให้ตัวรถมีเว้าโค้งมากขึ้น ดูไม่เรียบมากเกินไปได้ดีแม้ว่าส่วนล่างจะเป็นพลาสติกดำเรียบๆก็ตาม แต่มามองด้านท้ายรถเราจะเห็นไฟท้ายขนาดใหญ่สะใจก้อนโต เส้นสายเต็มๆในรุ่นท็อป แต่ถ้ารุ่นปกติจะไม่มีแถบตรงกลางครับ เสริมด้วยสปอยเลอร์หลัง และ ท้ายแบบสั้นๆทำให้ดูกระทัดรัดแม้ว่าตัวรถจะใหญ่ขนาดแบบ C-Segment ก็ตามครับ
ในด้านท้ายในรุ่น X แบบนี้เราจะได้ไฟท้ายแบบยาวเต็มจนถึงโลโก้ทำให้ตัวรถดูสวยมากขึ้น แต่ถ้าในรุ่นเริ่มต้นนั้นเราอาจจะได้ไฟท้ายมุม ซ้าย และ ขวา เท่านั้น รวมถึงสปอยเลอร์หลังที่รุ่นเริ่มต้นนั้นไม่มี แต่ถ้าส่วนตัวยังไงงานออกแบบส่งมาให้รุ่นท็อปเท่านั้นทั้งความสวยงามและเส้นสายไฟท้าย รวมถึงไฟเบรคดวงที่ 3 แบบสั้นๆด้านบนเราจะเห็นว่าตัวรถจะออกแนว กว้างๆเตี้ยแบนทำให้สัดส่วนตัวรถนั้นดูเตี้ยๆไปด้วยพร้อมกับไฟตัดหมอกด้านหลังส่วนล่าง และในด้านหน้าด้วยความที่ไฟหน้าใหญ่แนวยาวแบบนี้เสริมกับตัวรถทำให้ดูแบนเช่นกันเราจะเห็นเลยว่าไฟหน้าในรุ่นท็อปแบบนี้จะแยกไฟเลี้ยว ออกมาอยู่ด้านล้างทั้งเส้นแบบเช้มๆสวยๆ ก็ดูแปลกตาดีเช่นกัน รวมถึงตัวล้อเองนั้นคันนี้ยังให้มาที่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อม AERO WHEEL COVER ซึ่งเป็นแบบฝาครอบพลาสติก ส่วนล้อจริงๆก็เป็นอีกลายนึงนั้นเองครับ ซึ่งเราจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆตัวพยายามใช้งานออกแบบนี้เช่นกันเพื่อความลู่ลมในการขับขี่นั้นเองแต่ที่น่าสนใจคือ เบรค และ ยางของ Continental ที่มีการพัฒนาร่วมกับการขับขี่ และคุณภาพยางคือดีมากๆครับ
สปอยเลอร์หลังแบบ 2 ชิ้นสวยงามแบบนี้เว้นช่องว่างให้ไฟเบรคดวงที่ 3 สวยงามเท่ลงตัว และมีแค่ในรุ่นท็อปเท่านั้นด้วยเช่นกันซึ่งแม้ว่าตัวรถอาจจะไม่มีใบปัดน้ำฝนหลังแต่การออกแบบไฟท้ายขนาดใหญ่และยื่นมาแบบนี้ช่วยลดเรื่องลมตีกลับส่วนหลังได้เยอะกว่าที่คิดฝุ่นไม่ค่อยมาถึงกระจกหลัง แต่ก็มีการเกาะของฝนอยู่บ้างเป็นปกติครับแต่ไม่แย่อบบที่คิด ส่วนไฟท้ายเองเป็น LED + หลอดไส้บางส่วน แต่ในรุ่นท็อปในภาพเราจะได้ไฟท้ายแบบเต็มๆยาวจนถึงโลโก้ซึ่งสวยลงตัวมากๆแถมยังมีไฟเส้นๆบนโคมด้วยเป็นเอกลักษณ์เด่นๆเมื่อมองจากมุมบน พร้อมกับไฟหน้าแบบเต็ม FULL LED พร้อมไฟเลี้ยวในส่วนล่างซึ่งในแง่ของความสว่างกำลังดี แต่ไฟสูงแสงค่อนข้างฟุ้งและกระจุกตรงกลาง
แต่ที่ค่อนข้างชอบอย่างนึงเลยคืองานออกแบบส่วนรอบๆที่ชาร์จไฟถ้ามองเทียบกันในเรทราคานี้ ค่ายนี้ถือว่าออกแบบเก็บงานรอบๆที่ชาร์จได้แบบลงตัวที่สุด คุณภาพดี และสวยงามที่สุดไม่มีรูน็อตให้เห็นรวมถึงมีไฟสถานะต่างๆมาให้ครบ 4 ขีดซึ่งบอกสถานะเวลาชาร์จ และ ความจุแบต ขีดละ 25% ซึ่งดีมากๆในการใช้งานและสวยกว่าคู่แข่งทั้งหมด ส่วนทางด้านกระจกมองข้างมาพร้อมกล้องรอบคัน และ BSM รองรับการใช้งานครบๆพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนจุดเด่นนึงของงานออกแบบนั้นเป็นเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าที่ทำคล้ายกับ Airduct ของรถยนต์ Supercar นั้นเอง
INTERIOR
งานออกแบบภายในแน่นอนว่า MG นั้นแตกต่างกับรุ่นก่อนๆที่เราคุ้นเคยกันทั้งหมดแน่นอน รุ่นนี้ถือว่าสวยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลักตามสมัยนิยม ไม่รกมากเกินไปเส้นสายไม่เยอะและใช้งานได้ง่าย พวงมาลัยรูปทรงใหม่พร้อมกับอะไรใหม่ๆทั้งหมดซึ่งถือว่าสวยและลงตัวทั้งนี้ในเรื่องของมุมมองการใช้งานขับขี่ถือว่าทำได้ดีเช่นกันมีความโปร่งโล่งและปุ่มต่างๆในการจัดวางเข้าถึงง่าย ด้วยความที่เป็นการพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทำให้คอนโซลพื้นที่ข้างในโล่งไม่มีอะไรมาให้เกะกะและสามารถออกแบบได้เต็มที่ ความมินิมอลเป็นหน้าจอกลาง และ คนขับเท่านั้น แต่เรื่องขนาดถือว่าลงตัว แต่ถ้ามองมุมนี้ก็อาจจะมีส่วนนึงที่ขัดใจกระจกตัดแสงออโต้ที่ดีไซน์ดูขอบหนา ย้อนยุคไปพอสมควรเลย
แน่นอนว่าหน้าจอกลางของตัวรถได้หนาตาใหม่ทั้งเรื่องของงานออกแบบ และ หน้าตา UI ซึ่งเราจะเห็นเลยว่าแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด ใช้งานได้ง่ายขึ้น คลีนสวยขึ้น แถมในการใช้งานจริงถือว่าสะดวก รองรับ Apple Carplay , Android Auto แบบเสียบสบายปกตินั้นเอง ในการใช้งานนั้นจะเป็นแบบ USB-A เป็นหลักครับในการเชื่อมต่อ ส่วนหน้าจอมาพร้อมกับขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการสัมผัส และ หน้าจอคนขับ หน้าจอแสดงผล Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) ส่วนในการแสดงผลนั้นจะมีเรื่องความสว่างในเวลากลางคืนนั้นแอบแยงตาถ้าหรี่แสงมากที่สุดแล้วก็ตามเป็นจุดที่ถือว่าน่าจะปรับได้ดีกว่านี้
ทางด้านพวงมาลัยเปลี่ยนรูปทรงใหม่ทั้งหมดดูทันสมัยขึ้น และดูยุคใหม่ขึ้นทันทีมีการออกแบบขอบตัดทั้งบน และ ล่าง ซึ่งเป็นสมัยนิยมที่พยายามเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้นและในการใช้งานจริงก็ลงตัวขึ้นมาก แม้จะเป็นสองก้านก็ตามแต่ออกแบบได้ดีอย่างมากปุ่มต่างๆในการใช้งานลงตัว และมีคีย์ลัด รวมถึงการออกแบบปุ่มจอยควบคุมทั้งสองข้าง และ ทางด้าน คอนโซลเกียร์ที่เป็นการออกแบบใหม่ ใช้งานได้ง่าย เรียบ และ ชาร์จไร้สาย รวมถึงไม่มีอุโมงค์เกียร์มาเกะกะทำให้การใช้งานโปร่งโล่งและไม่เกะกะด้วยเช่นกันซึ่งถือว่าแตกต่างกับ MG ไฟฟ้าก่อนหน้าทุกคัน
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้