
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที สำหรับผมรู้สึกว่าโทนหนังมันมีความก่ำกึ่งระหว่างความแมสกับความอินดี้แต่ยอมรับว่าเดินเรื่องสนุกอยู่ แม้ช่วงแรกจะเดินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ไปหน่อย แถมการตัดต่อยังขรุขระ ไม่ค่อย Smooth ลื่นไหลเท่าที่ควร โดยในช่วง 30 นาทีแรกของหนังหมดไปกับการแนะนำตัวครอบครัวพระเอกเป็นหลัก เกริ่นนำความเป็นมาว่าพระเอกเป็นใคร ทำอะไร ครอบครัวเป็นอย่างไร โทนหนังจะเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ หยั่งกะไบโพล่าร์ที่ทำให้เรารู้สาเหตุถึงความ Loser ในตัวพระเอก ที่เจอปัญหารุมเร้าทั้งตกงาน ไม่มีรายได้ แถมตัวภรรยาชอบขี้วีน อารมณ์ร้าย ลูกชายก็ยังไร้เดียงสาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดความล้มเหลวของพระเอกจนทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกันจนบ้านแตก ช่วงแรกจึงเน้น Drama สำรวจปัญหาครอบครัวที่ใช้เวลาค่อนข้างนานไปซะหน่อย แต่พอกลางเรื่องหนังเริ่มจะปรับจูนติดกับเราทันที แถมตัดฉากก็ดันตัดเร็วเกิน ตัดสลับกันไปมาอย่างไวไม่ทันได้เสพเนื้อเรื่องในช่วงขณะนั้นให้เรียบร้อยให้เสร็จจนอารมณ์ค้างซะงั้น ขณะเดียวกันระหว่างทางมันมีช่วงน่าเบื่อไปกับบท Speech ของตัวละครที่พูดเยอะพร่ำเพรื่อเกินเหตุ ทั้งที่มีตัวละครหลักแค่ไม่กี่คน เหมือนปั้นตัวให้เป็นน้ำมากกว่า จนกระทั่งช่วงที่เพื่อนพระเอกมาหาพระเอกที่บ้านนี่แหล่ะ ความสนุกของหนังเริ่มทำงานขึ้นมาทันที รวมถึงหลังจากนั้นเราจะรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของพระเอกเป็นคนอย่างไรก็จะค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละนิด

แม้จะเดินเรื่องช้า ๆ ไม่รีบร้อนใด ๆ แต่ก็มีจังหวะลุ้นระทึกเอาให้เราตื่นตาตื่นใจได้อยู่ไม่น้อย พอหนังเข้าสู่ช่วงที่พระเอกกลับมารับจ๊อบ เหมือนการเดินเรื่องมีจังหวะเข้าที่ขึ้น มีความสนุกเพิ่มขึ้น ลุ้นระทึกเป็นระยะ ให้อารมณ์กึ่ง ๆ หนังสายลับอยู่เล็กน้อย ในแต่ละ Mission พาชวนร่วมติดตามไปกับพระเอกและเพื่อนของเขา หนังแบ่งแยกเป็น 4 Mission หลัก ๆ คือ Priest , Liberian , Politician และ Hunchback ซึ่งแต่ละ Part ก็จะมี Timeline เชื่อมโยงต่อกันเหมือนเล่นเกมส์ต่อตัวจิ๊กซอว์ที่เข้าใจ Details ง่าย มี Symbol ซ่อนอยู่ตามทางให้เก็บไปคิดตามแต่ไม่รู้สึกว่าซับซ้อนเท่าไหร่ ถึงแม้ Scene Action มีน้อย แต่มาทีโหดเอาเรื่องจนติดเรท 18 + เข้าให้ อีกอย่างคือการใช้เสียง Sound ประกอบเสริมที่เข้าทางถูกทางช่วยทำให้เรื่องมี Details น่าสนใจมากขึ้น ข้อด้อยคือ เหตุผลของตัวบงการไร้ที่มามาก ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร ทำไปเพื่ออะไร ขณะดูไปเราจึงมีแต่คำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด ในเมื่อไม่มีคำตอบตายตัว สิ่งที่เห็นชัดเจนแทนก็คือ ความไม่ Make Sense ในตรรกะความไร้เหตุผลของผู้บงการถูกทำให้กลายเป็นส่วนประกอบย่อยเพื่อส่งเสริมความน่ากลัวของพิธีกรรมลัทธิบูชาซาตานและบรรยากาศรอบข้างที่มีแต่ป่ากลบความสมจริงของบทให้ดูน่ากลัวขนลุกมากขึ้นแทน

Neil Maskell นักแสดงชาวอังกฤษจาก High Rise (2015) พระเอกของเรื่อง ( และเป็นนักแสดงคู่บุญของผู้กำกับด้วย ) แสดงได้หลายอารมณ์ ทั้งอบอุ่น ทั้งเก็บกดและเดือดดาลได้ระห่ำสุด ๆ เป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ตอนอยู่กับครอบครัวดูเป็น Family Man แต่พออยู่ในโหมดนักฆ่าก็ไร้ปราณีได้สุด ๆ โดยมีเพื่อนพระเอกอย่าง Michael Smiley จาก A Field in England (2013) (นักแสดงคู่บุญของผู้กำกับอีกคน) ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับพระเอก เหมือนเป็น Bodyguard คอยปกป้องตักเตือนพระเอกมากกว่า ส่วนตัวละครอื่นอย่าง MyAnna Buring จาก Doomsday (2008) กับ Harry Simpson รับบทเป็นภรรยาและลูกตามลำดับ แสดงดีแต่บทไม่ได้เด่นอะไรมากไปกว่าการทำเสียงกรี๊ดบ้านแตกของนางที่จดจำได้อยู่อย่างเดียว และ Struan Rodger จาก Stardust (2007) รับบทเป็นผู้จ้างวาน เป็น Keywords สำคัญที่น่าเกรงขามแต่บทกลับทำให้เขาไร้เสน่ห์ ไม่น่ากลัวแถมโดนเพื่อนกลบหมด ซึ่งเรื่องนี้เป็นงานกำกับเรื่องแรก ๆ ของ Ben Wheatley ผู้กำกับหน้าใหม่ในขณะนั้นจากเกาะอังกฤษที่เคยฝากผลงานมาแล้วอย่าง High Rise (2015) , Free Fire (2016) , In the Earth (2021) และเรื่องล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง Meg 2 : The Trench (2023) ผลงานที่ผ่านมาของแกจะมี Concept ไม่ชัดเจนจ๋ามีหลายแนวผสมปะปนกันไป แต่ถือว่าเป็นคนที่กำกับได้สนุกอีกคนหนึ่ง ผลงานของแก เหมือนทำหนังเชิงทดลองฝีมือตนเองเล่น ๆ แต่ยังคงเสน่ห์ในกลิ่นอายความเป็นผู้ดีอังกฤษอยู่ทุกเรื่อง ส่วนตัวผมชอบบ้าง และ เฉย ๆ บ้าง ผมว่าแกเหมาะกับแนวดิบ ๆ จิตตก กึ่ง ๆ ซาดิสม์แบบเรื่องนี้มากกว่า ดูเข้ากับสไตล์งานกำกับของแกดี

สรุป ชอบ สนุก ดุเดือด อึดอัด บ้าคลั่ง และ สะใจลึก ๆ แม้ช่วงแรก ๆ จะรู้สึกน่าเบื่อกับ Part ดราม่าปัญหาครอบครัวที่ทำได้ยืดเยื้อหยั่งกะละครไทยจนเกือบจะเลิกดู แต่พอเข้ากลางเรื่องเริ่มสนุกขึ้นทันที ช่วงหลัง ๆ รู้สึกว่ามันขยายสถานการณ์หลาย Scene มาประกบทับซ้อนกันด้วยความจงใจเกินไปหน่อยเพื่อสรุปให้ทันต่อเวลาที่กำหนดแต่ก็มีเหตุการณ์ที่เราคาดเดาไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะความมืดของบรรยากาศในเรื่องช่วยไว้ได้มากจนนำไปสู่บทสรุปที่ชวนตะลึงจนสตั๊นไปชั่วครู่นึง รู้สึกงง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะ หนังตัดภาพไวมากจนไม่ทันสังเกตบริบทรอบข้างได้หมด หากย้อนกลับไปคิดทบทวนตั้งแต่ต้นก็พอจะเดาทางได้อยู่บ้าง แม้บางอย่างจะรู้สึกว่ายังเคลียร์ไม่หมดหรือเลือกปัดทิ้งไปกลางทาง แล้วยิ่งในองค์ 3 ในช่วงท้ายเรื่องเป็นต้นไปหนังเริ่มใส่ความเป็น Action ผสมกับ Religious Horror (ลัทธิสยอง) ของพิธีกรรมพื้นบ้าน (Folkhore) และไสยศาสตร์ ผลลัพธ์คือสนุก กดดัน ตื่นเต้น ลุ้นหัวใจเต้นตุ่บตับจนเยี่ยวเหนียว แม้จะไม่ได้มีความสดใหม่ในเรื่องบท แต่ในแง่ของความแตกต่างของ 2 โทนบวกกับจังหวะการตัดต่อข้ามฉากกระโดดแบบเหวี่ยง ๆ ที่ผสมกันแล้วกลับให้รสชาติเข้ากันดีจนกลายเป็นความแปลกใหม่ที่น่าท้าทายอยากให้ทำอีก

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.34 Kill List : ใบสั่งฆ่า ล่าตามคิว
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที สำหรับผมรู้สึกว่าโทนหนังมันมีความก่ำกึ่งระหว่างความแมสกับความอินดี้แต่ยอมรับว่าเดินเรื่องสนุกอยู่ แม้ช่วงแรกจะเดินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ไปหน่อย แถมการตัดต่อยังขรุขระ ไม่ค่อย Smooth ลื่นไหลเท่าที่ควร โดยในช่วง 30 นาทีแรกของหนังหมดไปกับการแนะนำตัวครอบครัวพระเอกเป็นหลัก เกริ่นนำความเป็นมาว่าพระเอกเป็นใคร ทำอะไร ครอบครัวเป็นอย่างไร โทนหนังจะเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ หยั่งกะไบโพล่าร์ที่ทำให้เรารู้สาเหตุถึงความ Loser ในตัวพระเอก ที่เจอปัญหารุมเร้าทั้งตกงาน ไม่มีรายได้ แถมตัวภรรยาชอบขี้วีน อารมณ์ร้าย ลูกชายก็ยังไร้เดียงสาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดความล้มเหลวของพระเอกจนทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกันจนบ้านแตก ช่วงแรกจึงเน้น Drama สำรวจปัญหาครอบครัวที่ใช้เวลาค่อนข้างนานไปซะหน่อย แต่พอกลางเรื่องหนังเริ่มจะปรับจูนติดกับเราทันที แถมตัดฉากก็ดันตัดเร็วเกิน ตัดสลับกันไปมาอย่างไวไม่ทันได้เสพเนื้อเรื่องในช่วงขณะนั้นให้เรียบร้อยให้เสร็จจนอารมณ์ค้างซะงั้น ขณะเดียวกันระหว่างทางมันมีช่วงน่าเบื่อไปกับบท Speech ของตัวละครที่พูดเยอะพร่ำเพรื่อเกินเหตุ ทั้งที่มีตัวละครหลักแค่ไม่กี่คน เหมือนปั้นตัวให้เป็นน้ำมากกว่า จนกระทั่งช่วงที่เพื่อนพระเอกมาหาพระเอกที่บ้านนี่แหล่ะ ความสนุกของหนังเริ่มทำงานขึ้นมาทันที รวมถึงหลังจากนั้นเราจะรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของพระเอกเป็นคนอย่างไรก็จะค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละนิด
แม้จะเดินเรื่องช้า ๆ ไม่รีบร้อนใด ๆ แต่ก็มีจังหวะลุ้นระทึกเอาให้เราตื่นตาตื่นใจได้อยู่ไม่น้อย พอหนังเข้าสู่ช่วงที่พระเอกกลับมารับจ๊อบ เหมือนการเดินเรื่องมีจังหวะเข้าที่ขึ้น มีความสนุกเพิ่มขึ้น ลุ้นระทึกเป็นระยะ ให้อารมณ์กึ่ง ๆ หนังสายลับอยู่เล็กน้อย ในแต่ละ Mission พาชวนร่วมติดตามไปกับพระเอกและเพื่อนของเขา หนังแบ่งแยกเป็น 4 Mission หลัก ๆ คือ Priest , Liberian , Politician และ Hunchback ซึ่งแต่ละ Part ก็จะมี Timeline เชื่อมโยงต่อกันเหมือนเล่นเกมส์ต่อตัวจิ๊กซอว์ที่เข้าใจ Details ง่าย มี Symbol ซ่อนอยู่ตามทางให้เก็บไปคิดตามแต่ไม่รู้สึกว่าซับซ้อนเท่าไหร่ ถึงแม้ Scene Action มีน้อย แต่มาทีโหดเอาเรื่องจนติดเรท 18 + เข้าให้ อีกอย่างคือการใช้เสียง Sound ประกอบเสริมที่เข้าทางถูกทางช่วยทำให้เรื่องมี Details น่าสนใจมากขึ้น ข้อด้อยคือ เหตุผลของตัวบงการไร้ที่มามาก ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร ทำไปเพื่ออะไร ขณะดูไปเราจึงมีแต่คำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด ในเมื่อไม่มีคำตอบตายตัว สิ่งที่เห็นชัดเจนแทนก็คือ ความไม่ Make Sense ในตรรกะความไร้เหตุผลของผู้บงการถูกทำให้กลายเป็นส่วนประกอบย่อยเพื่อส่งเสริมความน่ากลัวของพิธีกรรมลัทธิบูชาซาตานและบรรยากาศรอบข้างที่มีแต่ป่ากลบความสมจริงของบทให้ดูน่ากลัวขนลุกมากขึ้นแทน
Neil Maskell นักแสดงชาวอังกฤษจาก High Rise (2015) พระเอกของเรื่อง ( และเป็นนักแสดงคู่บุญของผู้กำกับด้วย ) แสดงได้หลายอารมณ์ ทั้งอบอุ่น ทั้งเก็บกดและเดือดดาลได้ระห่ำสุด ๆ เป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ตอนอยู่กับครอบครัวดูเป็น Family Man แต่พออยู่ในโหมดนักฆ่าก็ไร้ปราณีได้สุด ๆ โดยมีเพื่อนพระเอกอย่าง Michael Smiley จาก A Field in England (2013) (นักแสดงคู่บุญของผู้กำกับอีกคน) ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับพระเอก เหมือนเป็น Bodyguard คอยปกป้องตักเตือนพระเอกมากกว่า ส่วนตัวละครอื่นอย่าง MyAnna Buring จาก Doomsday (2008) กับ Harry Simpson รับบทเป็นภรรยาและลูกตามลำดับ แสดงดีแต่บทไม่ได้เด่นอะไรมากไปกว่าการทำเสียงกรี๊ดบ้านแตกของนางที่จดจำได้อยู่อย่างเดียว และ Struan Rodger จาก Stardust (2007) รับบทเป็นผู้จ้างวาน เป็น Keywords สำคัญที่น่าเกรงขามแต่บทกลับทำให้เขาไร้เสน่ห์ ไม่น่ากลัวแถมโดนเพื่อนกลบหมด ซึ่งเรื่องนี้เป็นงานกำกับเรื่องแรก ๆ ของ Ben Wheatley ผู้กำกับหน้าใหม่ในขณะนั้นจากเกาะอังกฤษที่เคยฝากผลงานมาแล้วอย่าง High Rise (2015) , Free Fire (2016) , In the Earth (2021) และเรื่องล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง Meg 2 : The Trench (2023) ผลงานที่ผ่านมาของแกจะมี Concept ไม่ชัดเจนจ๋ามีหลายแนวผสมปะปนกันไป แต่ถือว่าเป็นคนที่กำกับได้สนุกอีกคนหนึ่ง ผลงานของแก เหมือนทำหนังเชิงทดลองฝีมือตนเองเล่น ๆ แต่ยังคงเสน่ห์ในกลิ่นอายความเป็นผู้ดีอังกฤษอยู่ทุกเรื่อง ส่วนตัวผมชอบบ้าง และ เฉย ๆ บ้าง ผมว่าแกเหมาะกับแนวดิบ ๆ จิตตก กึ่ง ๆ ซาดิสม์แบบเรื่องนี้มากกว่า ดูเข้ากับสไตล์งานกำกับของแกดี
สรุป ชอบ สนุก ดุเดือด อึดอัด บ้าคลั่ง และ สะใจลึก ๆ แม้ช่วงแรก ๆ จะรู้สึกน่าเบื่อกับ Part ดราม่าปัญหาครอบครัวที่ทำได้ยืดเยื้อหยั่งกะละครไทยจนเกือบจะเลิกดู แต่พอเข้ากลางเรื่องเริ่มสนุกขึ้นทันที ช่วงหลัง ๆ รู้สึกว่ามันขยายสถานการณ์หลาย Scene มาประกบทับซ้อนกันด้วยความจงใจเกินไปหน่อยเพื่อสรุปให้ทันต่อเวลาที่กำหนดแต่ก็มีเหตุการณ์ที่เราคาดเดาไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะความมืดของบรรยากาศในเรื่องช่วยไว้ได้มากจนนำไปสู่บทสรุปที่ชวนตะลึงจนสตั๊นไปชั่วครู่นึง รู้สึกงง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะ หนังตัดภาพไวมากจนไม่ทันสังเกตบริบทรอบข้างได้หมด หากย้อนกลับไปคิดทบทวนตั้งแต่ต้นก็พอจะเดาทางได้อยู่บ้าง แม้บางอย่างจะรู้สึกว่ายังเคลียร์ไม่หมดหรือเลือกปัดทิ้งไปกลางทาง แล้วยิ่งในองค์ 3 ในช่วงท้ายเรื่องเป็นต้นไปหนังเริ่มใส่ความเป็น Action ผสมกับ Religious Horror (ลัทธิสยอง) ของพิธีกรรมพื้นบ้าน (Folkhore) และไสยศาสตร์ ผลลัพธ์คือสนุก กดดัน ตื่นเต้น ลุ้นหัวใจเต้นตุ่บตับจนเยี่ยวเหนียว แม้จะไม่ได้มีความสดใหม่ในเรื่องบท แต่ในแง่ของความแตกต่างของ 2 โทนบวกกับจังหวะการตัดต่อข้ามฉากกระโดดแบบเหวี่ยง ๆ ที่ผสมกันแล้วกลับให้รสชาติเข้ากันดีจนกลายเป็นความแปลกใหม่ที่น่าท้าทายอยากให้ทำอีก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้