
ยินดีต้อนรับเข้าสู่กระทู้ของพวกเราหมีสร้างบ้านครับ กลับมาครั้งนี้พวกเรามาพร้อมกับโปรเจคการปรับเปลี่ยนห้องนอนเดิม ๆ ของเราไปสู่พื้นที่ที่ทำหน้าที่ได้แบบ Multi-functional แต่…ก็ยังต้องคงความเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและให้ความผ่อนคลายซึ่งเป็นหน้าที่หลักของห้องนี้ไว้ให้มากที่สุด รูปแบบการจัดห้องจะออกมาเป็นแบบไหน ไปดูกันเลยครับ

เนื้อหาของเรามี 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 เตรียมพื้นที่ผนังและติดตั้งแอร์ใหม่
ส่วนที่ 2 ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอร์ Beko Smart Hygiene
ส่วนที่ 3 เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับพื้นที่และพฤติกรรมการใช้งาน

หลังจากการเข้ามาของโควิด เราพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ทั้งเรื่องของการใช้ชีวิตทั่วไปหรือการทำงาน เส้นกั้นระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเริ่มไม่ชัดเจน แยกออกจากกันได้ยากกว่าเมื่อก่อน คำว่า “Work From Home” ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ อย่างในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ห้องนอนที่ถูกสร้างมาสำหรับการพักผ่อน จู่ ๆ ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นห้องที่ใช้ทำงานและต้องใช้ชีวิตอยูในนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน (แบบงง ๆ และไม่พร้อมเท่าไหร่) ถึงแม้มันจะเป็นอะไรที่ขัดกันมาก ๆ ในความรู้สึก แต่มันก็ไม่ได้ให้ตัวเลือกอะไรกับเรามากนัก
เราเริ่มห่างไกลคำว่า Work-Life Balance ออกไปเรื่อย ๆ เวลาของการงานกับการใช้ชีวิตเริ่มแยกกันไม่ออก ซึ่งก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องพื้นที่ใช้สอยในบ้านที่ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละนิดตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเราเอง แม้ว่าอยากจะแยกพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและการทำงานออกจากกันให้ชัดเจน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะพื้นที่ของบ้านเราเองก็ไม่ได้มีมากพอที่จะทำเป็นห้องทำงานแยกออกไป

ในเมื่อแยกไม่ได้ ก็ต้องทำให้สองพื้นที่ที่ทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างห้องนอน (ที่ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ปลอดภัย) และ ห้องทำงาน (ที่ต้องการแรงบัลดาลใจ การปลุกเร้า ความมุ่งมั่นเต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ) ให้ทั้งสองห้องนั้นสามารถอยู่ร่วมกันให้ได้ในพื้นที่เดียว จึงเป็นโจทย์ที่เราต้องหาจุดลงตัวให้ได้มากที่สุดในการลงมือทำในครั้งนี้ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากการปรับตัวในโลกปัจจุบันที่เราเองก็ต้องปรับเปลี่ยนจากการหาสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) เป็นการใช้ชีวิตแบบ Work-Life Integration แทน
แล้วเราจะรวมสองห้องที่แตกต่างกันในพื้นที่เดียวกันได้ยังไงล่ะ…?
ก่อนอื่นเราก็ต้องรู้ข้อจำกัดของพื้นที่ก่อนว่าเรามีอะไรอยู่บ้างเพื่อให้เราวางแผนการทำงานได้ถูกต้อง ซึ่งห้องนอนของเรามีพื้นที่ขนาด 8.25 ตร.ม. (2.50 X 3.30 ม.) ซึ่งพอเอาเตียงขนาด 6 ฟุตไปวางแล้วจะเหลือพื้นที่ว่างข้างเตียงแค่พอสำหรับทางเดินเท่านั้น (0.5 ม.) ส่วนด้านปลายเตียงจะเหลือประมาณ 1.2 ม. เท่านั้น ลำพังแค่วางกระเป๋าเป้ใส่ Labtop และเครื่องกรองอากาศก็เต็มพื้นที่ ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีกแล้วล่ะสำหรับพื้นที่พื้นห้อง

ทางเลือกสุดท้ายคือการทำพื้นที่เก็บของในแนวตั้งเท่านั้น แต่…ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะพื้นที่แนวตั้งที่เราจะใช้งานนั้นดันมีแอร์รุ่นคุณปู่ติดตั้งและจับจองพื้นที่ไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งที่ติดตั้งนั้นยิ่งทำให้เราต้องคิดหนัก เพราะติดในตำแหน่งที่ต่ำมาก ๆ และดันเป็นตำแหน่งสำหรับการทำชั้นลอยพอดิบพอดี
ในเมื่อมีทางเลือกไม่มากนักและเราจำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่ผนังเป็นอย่างมาก ก็คงต้องรื้อแอร์เก่าออก เปลี่ยนตัวใหม่ และเปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งเท่านั้น

เนื่องจากแผนของเรา คือ ใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงาน ทำให้ช่วงเวลาใช้งานแอร์จะเพิ่มมากกว่าปกติ การใช้แอร์ตัวเก่าไม่น่าจะเหมาะแน่ๆ เพราะดูจากบิลค่าไฟที่ทำ New-hight พุ่งทะยานไปดาวอังคารติด ๆ กันทุกเดือนแบบนี้ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นแอร์รุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานแบบเรา น่าจะเป็นผลดีมากกว่าในระยะยาว เพราะฉะนั้นเราเลยขอเริ่มจาก
ส่วนที่ 1 เตรียมพื้นที่ผนังและติดตั้งแอร์ใหม่
ในเมื่อจะต้องใช้ชีวิตในห้องนี้เป็นหลัก ก็ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมก่อน แอร์รุ่นคุณปู่ที่มีอายุเกินสิบปี นอกจากจะเป็นตัวการกินไฟของบ้านแล้ว เปิดใช้งานแต่ละทีเหมือนมีเรือแล่นอยู่ในห้องตลอดเวลา (สาเหตุเกิดจากใบพัดลมหัก ทำให้เกิดความไม่สมดุลของใบพัด การสั่นทำให้เกิดเสียงดังขณะใช้งาน ซ่อมไม่ได้เพราะไม่รู้จะหาอะไหล่ที่ไหนมาเปลี่ยน ToT)
ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นที่การเลือกแอร์ ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ “ประหยัดไฟ” โดยเราจะมองหาแอร์ที่มีค่า SEER ของแอร์ขนาด 9000 BTU โดย SEER ต้องมากกว่า 21 W/W ถึงจะได้เข้ารอบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้SEER คือ ค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ ทำให้มีความใกล้เคียงกับสภาพการใช้พลังงานจริง โดยค่ายิ่งสูงประสิทธิภาพพลังงานยิ่งดี
ความทนทานและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก็เป็นหัวข้อที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้การประหยัดไฟ เพราะคงไม่มีใครชอบที่จะต้องมาคอยแก้ปัญหาหรือเรียกช่างเข้ามาแก้ไขปัญหาบ่อย ๆ ดังนั้น…นอกจากประหยัดไฟแล้ว ก็ต้องใช้วัสดุคุณภาพดี ทนทาน และต้องมีบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์

สำหรับงานนี้…เราตัดสินใจเลือกแอร์จากแบรนด์ Beko (เบโค) อย่าง Beko Smart Hygiene inverter serise รุ่น BSEOG โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ใช้งานที่ผ่านมา ทั้งตู้เย็น (5 ปี) และเครื่องซักผ้า (2 ปี) ซึ่งเราค่อนข้างประทับใจกับสินค้าของ Beko เพราะตอบโจทย์ด้านการประหยัดไฟฟ้า ราคาสมเหตุสมผล มาตรฐานการผลิตยุโรป มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าลอง รวมถึงช่วงเวลาบริการหลังการขายยาว มีทีมดูแลหลังการขายและ On-site service ที่ดีมาก ๆ แบรนด์หนึ่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Beko (เบโค) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของยุโรป ที่ได้รับการการันตีถึงคุณภาพและความนิยมมาอย่างยาวนานกว่า 67 ปี มีช่องทางจำหน่ายอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า 130 ประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่ต้องการก้าวไปไกลกว่าการเป็นแค่ธุรกิจพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แต่เป็นนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพทั่วโลก (ที่มา : https://thestandard.co/beko-goclean/)
มาตรฐานยุโรป หรือ CE (Conformité Européene) เป็นมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์บางอย่างที่จำหน่ายภายในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) กว่า 30 ประเทศ ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 500 ล้านรายได้โดยตรง เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย สุขภาพ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น มาตรฐาน CE ยังได้รับได้รับการยอมรับจากหลายประเทศนอกสหภาพยุโรปอีกด้วย
มาดูคุณสมบัติคร่าว ๆ ของ Beko Smart Hygiene รุ่น BSEOG
- ระบบล้างแผงคอยล์อัตโนมัติ GoClean ลดการสะสมของแบคทีเรีย
- กรองฝุ่น PM2.5 และดูดซับกลิ่นอับ
- ชุดคอยล์ ประกอบด้วยท่อทองแดงและแผงคอยล์เคลือบสารสีทอง ป้องกันการสึกกร่อน ใช้งานได้ยาวนาน
- กระจายลม 4 ทิศทาง
- ควมคุมแอร์ผ่าน Smart phone
- เซ็นเซอร์ตรวจจับและปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ เพื่อให้ได้อุณภูมิตามที่เลือกไว้

หลังจากตัดสินใจเลือกแอร์ที่ชอบได้แล้วก็ทำการนัดวันติดตั้ง ช่างใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการรื้อถอนแอร์เดิมและติดตั้งแอร์ใหม่ ซึ่งก็เป็นขั้นตอนการติดตั้งแอร์แบบทั่วไป
ส่วนที่ 2 ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอร์ Beko Smart Hygiene
หลังจากติดตั้งแอร์เสร็จแล้ว ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Beko Smart Hygiene inverter serise รุ่น BSEOG
หัวข้อที่ 1 : ทดสอบระบบล้างแผงคอยล์อัตโนมัติ
เริ่มจากกดเปิดแอร์ จากนั้นกดปุ่ม GoClean บนรีโมท ตัวรีโมทจะโชว์สัญลักษณ์ทำความสะอาด จอ LCD หน้าเครื่องจะขึ้นสัญลักษณ์ CL แต่ Application Homewhiz บนมือถือจะเห็นว่าเครื่องปิดอยู่

โดยขั้นตอนการทำงานของฟีเจอร์ GoClean จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ใช้ระยะเวลาทำงานทั้งหมด 30 นาที หลังจากกดคำสั่งเสร็จก็ปล่อยให้เครื่องทำงานเองได้เลย
เครื่องเริ่มทำงานฟีเจอร์ GoClean ด้วยการลดอุณหภูมิลง เร่งพัดลม ลดอุณหภูมิให้เย็นลงเพื่อให้เกิดหยดน้ำเกาะที่คอยล์ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นก็จะหยุดการทำงานของพัดลม

ต่อด้วยการลดอุณหภูมิให้เย็นลงอีก แต่ขั้นตอนนี้ไม่เปิดการทำงานของพัดลม ความเย็นของคอยล์จะทำให้น้ำที่เกาะกลายเป็นน้ำแข็ง ประมาณ 10 นาที (ขั้นตอนนี้จะมีเสียงแก๊ก ๆ เกิดภายในเครื่องเป็นระยะเนื่องจากโลหะได้รับความเย็นจึงเกิดการหดตัวและทำให้เกิดเสียงขึ้น) น้ำแข็งจะเกิดการสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมพื้นที่คอยล์ทั้งหมด (เปลี่ยนจากแผงโลหะสีทองเป็นแผงสีขาว)

จากนั้นพัดลมร้อนจะเริ่มทำงานเพื่อละลายน้ำแข็งที่เกาะบนคอยล์ทั้งหมดอีก 10 นาที ขั้นตอนนี้ก็จะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ลดกลิ่นอัพได้ด้วย หลังจากนั้นเครื่องจะหยุดทำงานให้เอง เป็นการเสร็จสิ้นการล้างแอร์

เราชอบมากกกกก ไม่ต้องเหนื่อยล้างแอร์เอง ไม่ต้องเรียกช่างเข้าห้องมาทำความสะอาดบ่อย ๆ ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ไว้สำหรับล้างแอร์ ไม่ต้องเก็บกวาดล้างหลังจากทำความสะอาดเสร็จ ยิ่งคนพื้นที่น้อย ๆ หรือของในห้องรก ๆ ไม่มีพื้นที่จะให้คนยืนหรือผู้หญิงอยู่ในห้องคนเดียวไม่อยากให้ใครเข้าห้องบ่อย ๆ จะต้องชอบฟีเจอร์นี้
หัวข้อที่ 2 : กรองฝุ่น PM2.5
เราต้องขอโทษทุกคนด้วยที่เราไม่มีเครื่องวัด PM2.5 ให้ทุกคนได้ดูตัวเลข ว่ากรองแล้วเหลือ PM2.5 เท่าไหร่ เรามีแค่ความรู้สึกหลังใช้งานมาแชร์
แอร์เก่าเราล้างแอร์ทุก 6 เดือน ห้องเราจะเปิดเฉพาะประตูเท่านั้น แต่ตอนตื่นทุกเช้าจะเจ็บคอ ตอนนั้นคิดแค่ว่าที่เจ็บคอคงเป็นเพราะแอร์หนาวเกินไป (แอร์เก่าเราปรับอะไรไม่ได้แล้ว ปุ่มบนรีโมทใช้งานไม่ได้นอกจากการเปิดและปิดเครื่องเท่านั้น 555) แต่ก็ไม่รู้สาเหตุจริง ๆ ว่าอาการเจ็บคอเกิดจากอะไร
แต่หลังจากที่ติดตั้ง Beko Smart Hygiene inverter serise อาการเจ็บก็ดีขึ้น ไม่รู้สึกเหมือนช่วงที่ผ่านมา
วันที่ PM2.5 เยอะที่สุดที่ได้ทดสอบ ก็คงเป็นวันที่ช่างมาติดตั้งแอร์นั่นแหละ เพราะว่ามีการเจาะผนังเยอะมาก วันนั้นอากาศร้อนมาก ๆ เราก็เลยเปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศในห้อง ผลที่ตามมาคือฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง พอติดตั้งเสร็จก็มีการเปิดเครื่องทดสอบปัญหาการติดตั้ง ระบบการกรองฝุ่น PM2.5 ก็ทำงานได้ดีเลยทีเดียว
[BR] เปลี่ยนอากาศร้อนๆ ให้เย็นสบาย ด้วยแอร์ Beko ที่ทำความสะอาดตัวเองได้ สะดวกสบายเข้ากับห้องอเนกประสงค์แบบใหม่
ยินดีต้อนรับเข้าสู่กระทู้ของพวกเราหมีสร้างบ้านครับ กลับมาครั้งนี้พวกเรามาพร้อมกับโปรเจคการปรับเปลี่ยนห้องนอนเดิม ๆ ของเราไปสู่พื้นที่ที่ทำหน้าที่ได้แบบ Multi-functional แต่…ก็ยังต้องคงความเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและให้ความผ่อนคลายซึ่งเป็นหน้าที่หลักของห้องนี้ไว้ให้มากที่สุด รูปแบบการจัดห้องจะออกมาเป็นแบบไหน ไปดูกันเลยครับ
เนื้อหาของเรามี 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 เตรียมพื้นที่ผนังและติดตั้งแอร์ใหม่
ส่วนที่ 2 ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอร์ Beko Smart Hygiene
ส่วนที่ 3 เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับพื้นที่และพฤติกรรมการใช้งาน
หลังจากการเข้ามาของโควิด เราพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ทั้งเรื่องของการใช้ชีวิตทั่วไปหรือการทำงาน เส้นกั้นระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเริ่มไม่ชัดเจน แยกออกจากกันได้ยากกว่าเมื่อก่อน คำว่า “Work From Home” ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ อย่างในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ห้องนอนที่ถูกสร้างมาสำหรับการพักผ่อน จู่ ๆ ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นห้องที่ใช้ทำงานและต้องใช้ชีวิตอยูในนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน (แบบงง ๆ และไม่พร้อมเท่าไหร่) ถึงแม้มันจะเป็นอะไรที่ขัดกันมาก ๆ ในความรู้สึก แต่มันก็ไม่ได้ให้ตัวเลือกอะไรกับเรามากนัก
เราเริ่มห่างไกลคำว่า Work-Life Balance ออกไปเรื่อย ๆ เวลาของการงานกับการใช้ชีวิตเริ่มแยกกันไม่ออก ซึ่งก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องพื้นที่ใช้สอยในบ้านที่ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละนิดตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเราเอง แม้ว่าอยากจะแยกพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและการทำงานออกจากกันให้ชัดเจน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะพื้นที่ของบ้านเราเองก็ไม่ได้มีมากพอที่จะทำเป็นห้องทำงานแยกออกไป
ในเมื่อแยกไม่ได้ ก็ต้องทำให้สองพื้นที่ที่ทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างห้องนอน (ที่ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ปลอดภัย) และ ห้องทำงาน (ที่ต้องการแรงบัลดาลใจ การปลุกเร้า ความมุ่งมั่นเต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ) ให้ทั้งสองห้องนั้นสามารถอยู่ร่วมกันให้ได้ในพื้นที่เดียว จึงเป็นโจทย์ที่เราต้องหาจุดลงตัวให้ได้มากที่สุดในการลงมือทำในครั้งนี้ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากการปรับตัวในโลกปัจจุบันที่เราเองก็ต้องปรับเปลี่ยนจากการหาสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) เป็นการใช้ชีวิตแบบ Work-Life Integration แทน
แล้วเราจะรวมสองห้องที่แตกต่างกันในพื้นที่เดียวกันได้ยังไงล่ะ…?
ก่อนอื่นเราก็ต้องรู้ข้อจำกัดของพื้นที่ก่อนว่าเรามีอะไรอยู่บ้างเพื่อให้เราวางแผนการทำงานได้ถูกต้อง ซึ่งห้องนอนของเรามีพื้นที่ขนาด 8.25 ตร.ม. (2.50 X 3.30 ม.) ซึ่งพอเอาเตียงขนาด 6 ฟุตไปวางแล้วจะเหลือพื้นที่ว่างข้างเตียงแค่พอสำหรับทางเดินเท่านั้น (0.5 ม.) ส่วนด้านปลายเตียงจะเหลือประมาณ 1.2 ม. เท่านั้น ลำพังแค่วางกระเป๋าเป้ใส่ Labtop และเครื่องกรองอากาศก็เต็มพื้นที่ ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีกแล้วล่ะสำหรับพื้นที่พื้นห้อง
ทางเลือกสุดท้ายคือการทำพื้นที่เก็บของในแนวตั้งเท่านั้น แต่…ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะพื้นที่แนวตั้งที่เราจะใช้งานนั้นดันมีแอร์รุ่นคุณปู่ติดตั้งและจับจองพื้นที่ไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งที่ติดตั้งนั้นยิ่งทำให้เราต้องคิดหนัก เพราะติดในตำแหน่งที่ต่ำมาก ๆ และดันเป็นตำแหน่งสำหรับการทำชั้นลอยพอดิบพอดี
ในเมื่อมีทางเลือกไม่มากนักและเราจำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่ผนังเป็นอย่างมาก ก็คงต้องรื้อแอร์เก่าออก เปลี่ยนตัวใหม่ และเปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งเท่านั้น
เนื่องจากแผนของเรา คือ ใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงาน ทำให้ช่วงเวลาใช้งานแอร์จะเพิ่มมากกว่าปกติ การใช้แอร์ตัวเก่าไม่น่าจะเหมาะแน่ๆ เพราะดูจากบิลค่าไฟที่ทำ New-hight พุ่งทะยานไปดาวอังคารติด ๆ กันทุกเดือนแบบนี้ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นแอร์รุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานแบบเรา น่าจะเป็นผลดีมากกว่าในระยะยาว เพราะฉะนั้นเราเลยขอเริ่มจาก
ส่วนที่ 1 เตรียมพื้นที่ผนังและติดตั้งแอร์ใหม่
ในเมื่อจะต้องใช้ชีวิตในห้องนี้เป็นหลัก ก็ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมก่อน แอร์รุ่นคุณปู่ที่มีอายุเกินสิบปี นอกจากจะเป็นตัวการกินไฟของบ้านแล้ว เปิดใช้งานแต่ละทีเหมือนมีเรือแล่นอยู่ในห้องตลอดเวลา (สาเหตุเกิดจากใบพัดลมหัก ทำให้เกิดความไม่สมดุลของใบพัด การสั่นทำให้เกิดเสียงดังขณะใช้งาน ซ่อมไม่ได้เพราะไม่รู้จะหาอะไหล่ที่ไหนมาเปลี่ยน ToT)
ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นที่การเลือกแอร์ ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ “ประหยัดไฟ” โดยเราจะมองหาแอร์ที่มีค่า SEER ของแอร์ขนาด 9000 BTU โดย SEER ต้องมากกว่า 21 W/W ถึงจะได้เข้ารอบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความทนทานและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก็เป็นหัวข้อที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้การประหยัดไฟ เพราะคงไม่มีใครชอบที่จะต้องมาคอยแก้ปัญหาหรือเรียกช่างเข้ามาแก้ไขปัญหาบ่อย ๆ ดังนั้น…นอกจากประหยัดไฟแล้ว ก็ต้องใช้วัสดุคุณภาพดี ทนทาน และต้องมีบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์
สำหรับงานนี้…เราตัดสินใจเลือกแอร์จากแบรนด์ Beko (เบโค) อย่าง Beko Smart Hygiene inverter serise รุ่น BSEOG โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ใช้งานที่ผ่านมา ทั้งตู้เย็น (5 ปี) และเครื่องซักผ้า (2 ปี) ซึ่งเราค่อนข้างประทับใจกับสินค้าของ Beko เพราะตอบโจทย์ด้านการประหยัดไฟฟ้า ราคาสมเหตุสมผล มาตรฐานการผลิตยุโรป มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าลอง รวมถึงช่วงเวลาบริการหลังการขายยาว มีทีมดูแลหลังการขายและ On-site service ที่ดีมาก ๆ แบรนด์หนึ่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาดูคุณสมบัติคร่าว ๆ ของ Beko Smart Hygiene รุ่น BSEOG
- ระบบล้างแผงคอยล์อัตโนมัติ GoClean ลดการสะสมของแบคทีเรีย
- กรองฝุ่น PM2.5 และดูดซับกลิ่นอับ
- ชุดคอยล์ ประกอบด้วยท่อทองแดงและแผงคอยล์เคลือบสารสีทอง ป้องกันการสึกกร่อน ใช้งานได้ยาวนาน
- กระจายลม 4 ทิศทาง
- ควมคุมแอร์ผ่าน Smart phone
- เซ็นเซอร์ตรวจจับและปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ เพื่อให้ได้อุณภูมิตามที่เลือกไว้
หลังจากตัดสินใจเลือกแอร์ที่ชอบได้แล้วก็ทำการนัดวันติดตั้ง ช่างใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการรื้อถอนแอร์เดิมและติดตั้งแอร์ใหม่ ซึ่งก็เป็นขั้นตอนการติดตั้งแอร์แบบทั่วไป
ส่วนที่ 2 ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอร์ Beko Smart Hygiene
หลังจากติดตั้งแอร์เสร็จแล้ว ทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Beko Smart Hygiene inverter serise รุ่น BSEOG
หัวข้อที่ 1 : ทดสอบระบบล้างแผงคอยล์อัตโนมัติ
เริ่มจากกดเปิดแอร์ จากนั้นกดปุ่ม GoClean บนรีโมท ตัวรีโมทจะโชว์สัญลักษณ์ทำความสะอาด จอ LCD หน้าเครื่องจะขึ้นสัญลักษณ์ CL แต่ Application Homewhiz บนมือถือจะเห็นว่าเครื่องปิดอยู่
โดยขั้นตอนการทำงานของฟีเจอร์ GoClean จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ใช้ระยะเวลาทำงานทั้งหมด 30 นาที หลังจากกดคำสั่งเสร็จก็ปล่อยให้เครื่องทำงานเองได้เลย
เครื่องเริ่มทำงานฟีเจอร์ GoClean ด้วยการลดอุณหภูมิลง เร่งพัดลม ลดอุณหภูมิให้เย็นลงเพื่อให้เกิดหยดน้ำเกาะที่คอยล์ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นก็จะหยุดการทำงานของพัดลม
ต่อด้วยการลดอุณหภูมิให้เย็นลงอีก แต่ขั้นตอนนี้ไม่เปิดการทำงานของพัดลม ความเย็นของคอยล์จะทำให้น้ำที่เกาะกลายเป็นน้ำแข็ง ประมาณ 10 นาที (ขั้นตอนนี้จะมีเสียงแก๊ก ๆ เกิดภายในเครื่องเป็นระยะเนื่องจากโลหะได้รับความเย็นจึงเกิดการหดตัวและทำให้เกิดเสียงขึ้น) น้ำแข็งจะเกิดการสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมพื้นที่คอยล์ทั้งหมด (เปลี่ยนจากแผงโลหะสีทองเป็นแผงสีขาว)
จากนั้นพัดลมร้อนจะเริ่มทำงานเพื่อละลายน้ำแข็งที่เกาะบนคอยล์ทั้งหมดอีก 10 นาที ขั้นตอนนี้ก็จะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ลดกลิ่นอัพได้ด้วย หลังจากนั้นเครื่องจะหยุดทำงานให้เอง เป็นการเสร็จสิ้นการล้างแอร์
เราชอบมากกกกก ไม่ต้องเหนื่อยล้างแอร์เอง ไม่ต้องเรียกช่างเข้าห้องมาทำความสะอาดบ่อย ๆ ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ไว้สำหรับล้างแอร์ ไม่ต้องเก็บกวาดล้างหลังจากทำความสะอาดเสร็จ ยิ่งคนพื้นที่น้อย ๆ หรือของในห้องรก ๆ ไม่มีพื้นที่จะให้คนยืนหรือผู้หญิงอยู่ในห้องคนเดียวไม่อยากให้ใครเข้าห้องบ่อย ๆ จะต้องชอบฟีเจอร์นี้
หัวข้อที่ 2 : กรองฝุ่น PM2.5
เราต้องขอโทษทุกคนด้วยที่เราไม่มีเครื่องวัด PM2.5 ให้ทุกคนได้ดูตัวเลข ว่ากรองแล้วเหลือ PM2.5 เท่าไหร่ เรามีแค่ความรู้สึกหลังใช้งานมาแชร์
แอร์เก่าเราล้างแอร์ทุก 6 เดือน ห้องเราจะเปิดเฉพาะประตูเท่านั้น แต่ตอนตื่นทุกเช้าจะเจ็บคอ ตอนนั้นคิดแค่ว่าที่เจ็บคอคงเป็นเพราะแอร์หนาวเกินไป (แอร์เก่าเราปรับอะไรไม่ได้แล้ว ปุ่มบนรีโมทใช้งานไม่ได้นอกจากการเปิดและปิดเครื่องเท่านั้น 555) แต่ก็ไม่รู้สาเหตุจริง ๆ ว่าอาการเจ็บคอเกิดจากอะไร
แต่หลังจากที่ติดตั้ง Beko Smart Hygiene inverter serise อาการเจ็บก็ดีขึ้น ไม่รู้สึกเหมือนช่วงที่ผ่านมา
วันที่ PM2.5 เยอะที่สุดที่ได้ทดสอบ ก็คงเป็นวันที่ช่างมาติดตั้งแอร์นั่นแหละ เพราะว่ามีการเจาะผนังเยอะมาก วันนั้นอากาศร้อนมาก ๆ เราก็เลยเปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศในห้อง ผลที่ตามมาคือฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง พอติดตั้งเสร็จก็มีการเปิดเครื่องทดสอบปัญหาการติดตั้ง ระบบการกรองฝุ่น PM2.5 ก็ทำงานได้ดีเลยทีเดียว
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน