“เมื่อไหร่ก็ตามที่พายุกำลังจะพัดมา คนเก่าแก่จะสอนให้เราดูเมฆ
และเมื่อไหร่ที่ลมพัดแรง เราทุกคนก็จะเอนตัวเข้าหากัน เพื่อต้านทานลมนั้น...”
จอห์น วินเทอร์ และ เจชอน พี่ชายกับน้องสาวชาวอเมริกันพื้นเมือง อาศัยอยู่กับแม่ของพวกเขาในเขตสงวนพันธุ์อินเดียนไพน์ริดจ์
จอห์นคนพี่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการขายแอลกอฮอล์อย่างผิดกฎหมายแก่เพื่อนบ้านใกล้เคียง
เขากำลังจะจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมและวางแผนที่จะออกไปหางานทำในเมืองใหญ่อย่าง ลอสแองเจลิส
เพื่อหวังตั้งต้นชีวิตใหม่กับแฟนสาวของเขา ออเรเลีย...
อย่างไรก็ตาม จอห์น ก็ยังเป็นห่วงเจชอน น้องสาววัย 12 ปี ซึ่งหากเขาจากไปใครจะดูแล
จะหวังพึ่งแม่ที่มักกินแต่เหล้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เขากังวลในเรื่องนี้มาก..
ความฝันของเขาอยากเป็นนักมวยในเมืองใหญ่ แต่ความเป็นห่วงในเมืองเล็กที่ดูไร้อนาคตแห่งนี้
ทำให้ จอห์น ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกก้าวไปทางใดต่อไป...
Songs My Brothers Taught Me คือผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของโคลอี้ เจา ในปี 2015 ที่สร้างชื่อให้กับเธออย่างสูง
จนมีผลงานที่เรารู้จักกันดีอย่าง Nomadland และงานชิ้นล่าสุดก็คือ Eternals
แน่นอนว่าสไตล์ของโคลอี้ ชัดเจนมากก็คือเรื่องการนำคนในพื้นที่มาร่วมแสดงซึ่งทำให้ตัวหนังออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด
จนสื่อบางสำนักยกให้เป็น หนังสารคดีกึ่งดราม่าด้วยซ้ำไป ซึ่ง The Rider และ Nomadland ก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ซึ่งความเป็นธรรมชาตินี่ล่ะครับ ที่ทำให้อินเข้าไปในโลกที่เธอต้องการจะสื่อให้เรารับรู้ได้อย่างไม่ยาก
หนังเรื่องนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่โคลอี้ เลือกที่จะนำเสนอประเด็นของคนชายขอบในสังคมอเมริกัน
ซึ่งก็คือชนพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงของกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เราจะได้เห็นรูปแบบการอยู่ร่วมกันโดยอิงวัฒนธรรมดั้งเดิม
แต่ขณะเดียวกันความต้องการทางวัตถุที่เริ่มมากขึ้น ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะเลือกทางไหนต่อไป
อยู่ในถิ่นฐานเดิมเพื่อรักษา หรือออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ที่รอเค้าอยู่
ภาพยนตร์ถ่ายทอดความผูกพันในรูปแบบต่างๆได้ดี ไม่เพียงแต่ระหว่างพี่กับน้องเท่านั้น
ในตอนท้ายยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมชนพื้นเมืองอเมริกันที่เขาเติบโตมาด้วย
ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับ Joshua James Richard แฟนหนุ่มของโคลอี้เอง ที่ถ่ายทอดบรรยากาศทุกอย่างให้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ...
เรื่องหน้าผมจะมารีวิว The Rider ผลงานเรื่องถัดจากนี้ของโคลอี้ให้ได้อ่านกันครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Songs My Brothers Taught Me (2015) ..บทเพลงจากพี่ชาย.. ถึงน้องสาว.. ==
“เมื่อไหร่ก็ตามที่พายุกำลังจะพัดมา คนเก่าแก่จะสอนให้เราดูเมฆ
และเมื่อไหร่ที่ลมพัดแรง เราทุกคนก็จะเอนตัวเข้าหากัน เพื่อต้านทานลมนั้น...”
จอห์น วินเทอร์ และ เจชอน พี่ชายกับน้องสาวชาวอเมริกันพื้นเมือง อาศัยอยู่กับแม่ของพวกเขาในเขตสงวนพันธุ์อินเดียนไพน์ริดจ์
จอห์นคนพี่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการขายแอลกอฮอล์อย่างผิดกฎหมายแก่เพื่อนบ้านใกล้เคียง
เขากำลังจะจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมและวางแผนที่จะออกไปหางานทำในเมืองใหญ่อย่าง ลอสแองเจลิส
เพื่อหวังตั้งต้นชีวิตใหม่กับแฟนสาวของเขา ออเรเลีย...
อย่างไรก็ตาม จอห์น ก็ยังเป็นห่วงเจชอน น้องสาววัย 12 ปี ซึ่งหากเขาจากไปใครจะดูแล
จะหวังพึ่งแม่ที่มักกินแต่เหล้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เขากังวลในเรื่องนี้มาก..
ความฝันของเขาอยากเป็นนักมวยในเมืองใหญ่ แต่ความเป็นห่วงในเมืองเล็กที่ดูไร้อนาคตแห่งนี้
ทำให้ จอห์น ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกก้าวไปทางใดต่อไป...
Songs My Brothers Taught Me คือผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของโคลอี้ เจา ในปี 2015 ที่สร้างชื่อให้กับเธออย่างสูง
จนมีผลงานที่เรารู้จักกันดีอย่าง Nomadland และงานชิ้นล่าสุดก็คือ Eternals
แน่นอนว่าสไตล์ของโคลอี้ ชัดเจนมากก็คือเรื่องการนำคนในพื้นที่มาร่วมแสดงซึ่งทำให้ตัวหนังออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด
จนสื่อบางสำนักยกให้เป็น หนังสารคดีกึ่งดราม่าด้วยซ้ำไป ซึ่ง The Rider และ Nomadland ก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ซึ่งความเป็นธรรมชาตินี่ล่ะครับ ที่ทำให้อินเข้าไปในโลกที่เธอต้องการจะสื่อให้เรารับรู้ได้อย่างไม่ยาก
หนังเรื่องนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่โคลอี้ เลือกที่จะนำเสนอประเด็นของคนชายขอบในสังคมอเมริกัน
ซึ่งก็คือชนพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงของกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เราจะได้เห็นรูปแบบการอยู่ร่วมกันโดยอิงวัฒนธรรมดั้งเดิม
แต่ขณะเดียวกันความต้องการทางวัตถุที่เริ่มมากขึ้น ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะเลือกทางไหนต่อไป
อยู่ในถิ่นฐานเดิมเพื่อรักษา หรือออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ที่รอเค้าอยู่
ภาพยนตร์ถ่ายทอดความผูกพันในรูปแบบต่างๆได้ดี ไม่เพียงแต่ระหว่างพี่กับน้องเท่านั้น
ในตอนท้ายยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมชนพื้นเมืองอเมริกันที่เขาเติบโตมาด้วย
ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับ Joshua James Richard แฟนหนุ่มของโคลอี้เอง ที่ถ่ายทอดบรรยากาศทุกอย่างให้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ...
เรื่องหน้าผมจะมารีวิว The Rider ผลงานเรื่องถัดจากนี้ของโคลอี้ให้ได้อ่านกันครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===