ธุรกิจร้านอาหารอ่วม ค่าไฟพุ่ง 70% ดิ้นปรับตัวลดปริมาณ-ไม่จ้างงานเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/economy/news_3939454
ธุรกิจร้านอาหารอ่วม ค่าไฟพุ่ง 70% ดิ้นปรับตัวลดปริมาณ-ไม่จ้างงานเพิ่ม
นาง
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในตอนนี้ถือว่าปรับขึ้นมาสูงมาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ จากการสอบถามร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่า ค่าไฟฟ้าเดือนล่าสุดปรับขึ้นมาเป็น 1.7-1.8 ล้านบาท จากเดิม 1.1-1.2 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากว่า 70% แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้ทันที ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องเข้าไปอยู่ในการบริหารจัดการแทน ทำให้ค่าไฟที่แพงขึ้นส่งผลกระทบทั้งต่อธุรกิจ ที่มีต้นทุนมากขึ้น รายได้น้อยลง กำไรลดลง รวมถึงกระทบกับผู้บริโภคในส่วนของการจ่ายเท่าเดิม แต่ปริมาณที่ได้รับลดลง หรืออาจต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย
นางฐนิวรรณกล่าวว่า การปรับตัวของธุรกิจร้านอาหาร หรืออย่างภัตตาคาร ก็จะไม่เพิ่มกำลังคน หรือพนักงานในการทำงานมากขึ้น เพราะแรงงาน 1 อัตรา ถือเป็นต้นทุนที่สูงมากในแง่ของภาคธุรกิจ ซึ่งหากมองในอดีตก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด หรือช่วงที่เศรษฐกิจดีๆ เราจะเห็นการจ้างงานเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้จ่ายและความต้องการได้รับบริการในภาคธุรกิจบริการจำนวนมาก โดยตอนนี้เราอาจเห็นธุรกิจที่มีกำลังในด้านเงินทุน หันไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) หรือเทคโนโลยีแทนการจ้างแรงงานมนุษย์มากกว่าเดิม
“
โชคร้ายของภาคธุรกิจที่ภาวะค่าไฟฟ้าแพงแบบนี้ ดันมาเกิดในช่วงการเลือกตั้งใหม่พอดี ทำให้รัฐบาลอาจไม่สามารถเข้ามาช่วยผู้ประกอบการหรือประชาชน เพื่อลดความเดือดร้อนให้ได้ เพราะอาจมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนมากๆ ในปีนี้ ถือเป็นภาวะที่จำทนมากกว่าปกติ
ต้นทุนเพิ่มฉุดรายได้
นาง
ฐนิวรรณกล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น หากเทียบกับรายได้แล้ว ถือว่ายังโชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้จ่าย เพราะมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ด้วย ทำให้ธุรกิจร้านอาหารค่อนข้างขายดี จนถึงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ผู้ประกอบการจึงสามารถบริหารจัดการต้นทุนกับรายได้ได้อยู่ ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจด้วย แต่ในแง่รายได้ที่หักลบกับต้นทุนลดลง ก็ทำให้กำไรลดลงด้วย ทำให้แทนที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำกำไรส่วนนี้ไปใช้หนี้สะสมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็จำเป็นต้องนำมาบริหารกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นมามากแทน นอกจากนี้ อากาศที่ร้อนก็สนับสนุนให้คนใช้จ่ายในร้านอาหารหรือภัตตาคารมากขึ้นด้วย แต่จะเป็นอานิสงส์ในร้านที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก ทำให้โอกาสในการได้ลูกค้าที่มีศักยภาพใช้จ่ายสูงๆ อยู่ในร้านที่มีขนาดใหญ่มากกว่า
นาง
ฐนิวรรณกล่าวว่า เชื่อว่าทุกคนมีความคาดหวังในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องมีนโยบายในการดูแลเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในแง่เศรษฐกิจรวมจะได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ในช่วงนี้ที่เป็นการหาเสียงก่อนเลือกตั้ง ก็อาจยังไม่สามารถมีอะไรออกมาช่วยได้ ผู้ประกอบการที่มีกำลังก็บริหารจัดการได้ แต่เป็นห่วงธุรกิจขนาดเล็กมากๆ อย่างไมโครเอสเอ็มอี ที่แม้เศรษฐกิจฟื้นแต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ เพราะการเข้าถึงเงินทุนไม่มากเท่ารายใหญ่ บวกกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ได้เท่ากันทั้งหมดด้วย
เศรษฐา นำทัพ เพื่อไทย ปราศรัยปทุมธานี แฟนคลับพรึบ แห่ฟังกว่าครึ่งหมื่น!
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7626605
เศรษฐา นำทัพ เพื่อไทย ปราศรัย จ.ปทุมธานี ย้ำนโยบายเป๋าเงินดิจิทัล-แก้ยาเสพติด ปลุกเลือกทั้งคนทั้งพรรค แฟนคลับแห่เชียร์กว่าครึ่งหมื่น
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่ลานข้างวัดโสภณาราม ต.บึงคอไห อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดเวทีปราศรัย นำโดย นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจ นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และนาย
ยงยุทธ มั่นบุปผาชาติ ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เบอร์ 1 เขต 7 ทั้งนี้ มีประชาชนกว่า 5,000 คน เข้ารับฟังนโยบายของพรรคเพื่อไทย
โดยนาย
เศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาของคนปทุมธานีในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา มีแต่หนี้สินเพิ่มพูน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาความยากจน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การโอนเข้าบัญชีให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคน ปัญหาใหญ่อีกเรื่อง คือ เรื่องยาเสพติด นับวันยิ่งเยอะ พรรคร่วมรัฐบาลยังมาเสนอเรื่องกัญชาเสรี พรรคเพื่อไทยสนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น
“
ถ้าพ่อแม่พี่น้องต้องการให้พรรคเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาล ก็เลือกพรรคเพื่อไทย เบอร์ 29 และผู้สมัครแต่ละเขตของพรรคเพื่อไทยทุกคน ซึ่งที่นี่เขต 7 ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย คือ นายยงยุทธ เบอร์ 1 ก็อย่าลืมกาทั้งพรรคทั้งคน” นายเศรษฐา กล่าว
‘ณัฐชา’ ยันไม่ปรับกลยุทธ์หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย เน้นลงพื้นที่ ชี้กระแส ‘พิธา-ก้าวไกล’ ดีอยู่แล้ว
https://www.matichon.co.th/election66/news_3939532
‘ณัฐชา’ ยันไม่ปรับกลยุทธ์หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย เน้นลงพื้นที่ ชี้กระแส ‘พิธา-ก้าวไกล’ ดีอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรค ก.ก. จะปรับกลยุทธ์หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ทั้งในพื้นที่ที่กระแสตอบรับดี และพื้นที่ที่กระแสยังเป็นรองหรือไม่ ว่า ตนเชื่อว่าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกระแสของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และกระแสของพรรคในวันนี้จนไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายจะดีขึ้น ทำให้หลายๆ เขตได้รับชัยชนะ น่าจะไม่มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมใดๆ เพราะเราก็หวังเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว และนโยบายต่างๆ ของเราทั้ง 300 นโยบายเราก็ประกาศให้ประชาชนทราบหมดแล้ว สิ่งที่เราทำวันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายคือ เดินทางไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เราอยากจะทำ ความตั้งใจที่เราบอกกับประชาชนไปแล้วว่า เราจะเข้าไปทำงานอย่างตรงไปตรงมา
นาย
ณัฐชากล่าวต่อว่า เราไม่ได้มองเรื่องของการประกาศจุดยืนต่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ แต่เราประกาศทั้งหมดไปตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เงื่อนไขที่เราประกาศว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร แนวทางของผู้สนับสนุนพรรคเรา สามารถรับได้ในสิ่งไหนบ้าง เราก็ได้ประกาศไปตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการประกาศแคนดิเดตนายกฯ จนถึงวันนี้สิ่งที่เราเดินหน้าทำอยู่ คือเรื่องที่เราพูดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เราทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้นๆ ในทุกๆ วัน จนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ไม่มีการปรับกลยุทธ์ ไม่มีการเพิ่มเติมเงื่อนไขต่างๆ เพราะสิ่งที่เราได้สื่อสารกับประชาชน เราได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก
เมื่อถามว่า กรณีโพลมติชน-เดลินิวส์ ที่กำลังเปิดโหวตครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-28 เมษายนนี้ สำหรับพรรค ก.ก.จะปรับกลยุทธ์การหาเสียงโค้งสุดท้ายอย่างไร นาย
ณัฐชากล่าวว่า ยังยืนยันคำตอบเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลโพลก็ดี หรือคะแนนิยมในพื้นที่ต่างๆ เองก็ดีทั้งในออนไลน์ และออนกราวด์ เรามีแต่เดินหน้าบอกเรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ที่เป็นสิ่งที่เราได้บอกกล่าวไปตั้งแต่วันแรก ฉะนั้นไม่ว่าจะทำโพลกี่ครั้ง คะแนนนิยมของเราที่เพิ่มขึ้น มีการรับรู้ มีจำนวนประชาชนที่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น บางคนอาจยังเข้าใจนโยบาย หรือแนวทางการทำงานของพรรคที่คลาดเคลื่อน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง คือการทำความเข้าใจ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน
ต้นทุนขยับ ดันราคาค่าก่อสร้างบ้านขึ้น 3.5%
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_537600/
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผย ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 ไม้-ผลิตภัณฑ์ไม้และสุขภัณฑ์-ค่างานออกแบบพุ่ง ดันค่าดัชนีเพิ่มขึ้น 3.5 %
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการคำนวณราคาค่าก่อสร้างจากแบบบ้าน 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 169 ตารางเมตร ใช้สมมติฐานระยะเวลาการก่อสร้างบ้านไว้ประมาณ 180 วัน นับรวมค่าดำเนินการ และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วแต่ไม่นับรวมราคาที่ดินและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่ดิน พบว่าดัชนีราคาที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าตอบแทนในหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบที่เพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในหมวดงานสถาปัตยกรรมร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ดร.
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า องค์ประกอบของดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน หมวดราคาวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้ง 7 รายการ ได้แก่ สุขภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ กระเบื้อง เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ผลิตภัณฑ์คอนกรีต และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ
โดยพบว่าราคาสุขภัณฑ์มีการปรับเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 13.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ในขณะที่ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.0 ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตและภาคการขนส่งวัสดุก่อสร้าง ทำให้เกิดการถ่ายโอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปเป็นราคาค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย ขณะที่องค์ประกอบหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ ปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการเช่นกัน จึงมีผลให้ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในไตรมาสนี้หมวดแรงงานยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจำแนกต้นทุนของงานก่อสร้างหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ พบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยหมวดงานสถาปัตยกรรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 65.6 ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ
JJNY : 5in1 ร้านอาหารอ่วม│เศรษฐาปราศรัยปทุมธานี│‘ณัฐชา’ไม่ปรับกลยุทธ์│ค่าก่อสร้างบ้านขึ้น│รัสเซียเตือน เลี่ยงไปแคนาดา
https://www.matichon.co.th/economy/news_3939454
ธุรกิจร้านอาหารอ่วม ค่าไฟพุ่ง 70% ดิ้นปรับตัวลดปริมาณ-ไม่จ้างงานเพิ่ม
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในตอนนี้ถือว่าปรับขึ้นมาสูงมาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ จากการสอบถามร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่า ค่าไฟฟ้าเดือนล่าสุดปรับขึ้นมาเป็น 1.7-1.8 ล้านบาท จากเดิม 1.1-1.2 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากว่า 70% แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้ทันที ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องเข้าไปอยู่ในการบริหารจัดการแทน ทำให้ค่าไฟที่แพงขึ้นส่งผลกระทบทั้งต่อธุรกิจ ที่มีต้นทุนมากขึ้น รายได้น้อยลง กำไรลดลง รวมถึงกระทบกับผู้บริโภคในส่วนของการจ่ายเท่าเดิม แต่ปริมาณที่ได้รับลดลง หรืออาจต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย
นางฐนิวรรณกล่าวว่า การปรับตัวของธุรกิจร้านอาหาร หรืออย่างภัตตาคาร ก็จะไม่เพิ่มกำลังคน หรือพนักงานในการทำงานมากขึ้น เพราะแรงงาน 1 อัตรา ถือเป็นต้นทุนที่สูงมากในแง่ของภาคธุรกิจ ซึ่งหากมองในอดีตก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด หรือช่วงที่เศรษฐกิจดีๆ เราจะเห็นการจ้างงานเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้จ่ายและความต้องการได้รับบริการในภาคธุรกิจบริการจำนวนมาก โดยตอนนี้เราอาจเห็นธุรกิจที่มีกำลังในด้านเงินทุน หันไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) หรือเทคโนโลยีแทนการจ้างแรงงานมนุษย์มากกว่าเดิม
“โชคร้ายของภาคธุรกิจที่ภาวะค่าไฟฟ้าแพงแบบนี้ ดันมาเกิดในช่วงการเลือกตั้งใหม่พอดี ทำให้รัฐบาลอาจไม่สามารถเข้ามาช่วยผู้ประกอบการหรือประชาชน เพื่อลดความเดือดร้อนให้ได้ เพราะอาจมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนมากๆ ในปีนี้ ถือเป็นภาวะที่จำทนมากกว่าปกติ
ต้นทุนเพิ่มฉุดรายได้
นางฐนิวรรณกล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น หากเทียบกับรายได้แล้ว ถือว่ายังโชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้จ่าย เพราะมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ด้วย ทำให้ธุรกิจร้านอาหารค่อนข้างขายดี จนถึงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ผู้ประกอบการจึงสามารถบริหารจัดการต้นทุนกับรายได้ได้อยู่ ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจด้วย แต่ในแง่รายได้ที่หักลบกับต้นทุนลดลง ก็ทำให้กำไรลดลงด้วย ทำให้แทนที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำกำไรส่วนนี้ไปใช้หนี้สะสมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็จำเป็นต้องนำมาบริหารกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นมามากแทน นอกจากนี้ อากาศที่ร้อนก็สนับสนุนให้คนใช้จ่ายในร้านอาหารหรือภัตตาคารมากขึ้นด้วย แต่จะเป็นอานิสงส์ในร้านที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก ทำให้โอกาสในการได้ลูกค้าที่มีศักยภาพใช้จ่ายสูงๆ อยู่ในร้านที่มีขนาดใหญ่มากกว่า
นางฐนิวรรณกล่าวว่า เชื่อว่าทุกคนมีความคาดหวังในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องมีนโยบายในการดูแลเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในแง่เศรษฐกิจรวมจะได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ในช่วงนี้ที่เป็นการหาเสียงก่อนเลือกตั้ง ก็อาจยังไม่สามารถมีอะไรออกมาช่วยได้ ผู้ประกอบการที่มีกำลังก็บริหารจัดการได้ แต่เป็นห่วงธุรกิจขนาดเล็กมากๆ อย่างไมโครเอสเอ็มอี ที่แม้เศรษฐกิจฟื้นแต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ เพราะการเข้าถึงเงินทุนไม่มากเท่ารายใหญ่ บวกกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ได้เท่ากันทั้งหมดด้วย
เศรษฐา นำทัพ เพื่อไทย ปราศรัยปทุมธานี แฟนคลับพรึบ แห่ฟังกว่าครึ่งหมื่น!
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7626605
เศรษฐา นำทัพ เพื่อไทย ปราศรัย จ.ปทุมธานี ย้ำนโยบายเป๋าเงินดิจิทัล-แก้ยาเสพติด ปลุกเลือกทั้งคนทั้งพรรค แฟนคลับแห่เชียร์กว่าครึ่งหมื่น
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่ลานข้างวัดโสภณาราม ต.บึงคอไห อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดเวทีปราศรัย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และนายยงยุทธ มั่นบุปผาชาติ ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เบอร์ 1 เขต 7 ทั้งนี้ มีประชาชนกว่า 5,000 คน เข้ารับฟังนโยบายของพรรคเพื่อไทย
โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาของคนปทุมธานีในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา มีแต่หนี้สินเพิ่มพูน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาความยากจน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การโอนเข้าบัญชีให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคน ปัญหาใหญ่อีกเรื่อง คือ เรื่องยาเสพติด นับวันยิ่งเยอะ พรรคร่วมรัฐบาลยังมาเสนอเรื่องกัญชาเสรี พรรคเพื่อไทยสนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น
“ถ้าพ่อแม่พี่น้องต้องการให้พรรคเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาล ก็เลือกพรรคเพื่อไทย เบอร์ 29 และผู้สมัครแต่ละเขตของพรรคเพื่อไทยทุกคน ซึ่งที่นี่เขต 7 ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย คือ นายยงยุทธ เบอร์ 1 ก็อย่าลืมกาทั้งพรรคทั้งคน” นายเศรษฐา กล่าว
‘ณัฐชา’ ยันไม่ปรับกลยุทธ์หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย เน้นลงพื้นที่ ชี้กระแส ‘พิธา-ก้าวไกล’ ดีอยู่แล้ว
https://www.matichon.co.th/election66/news_3939532
‘ณัฐชา’ ยันไม่ปรับกลยุทธ์หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย เน้นลงพื้นที่ ชี้กระแส ‘พิธา-ก้าวไกล’ ดีอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรค ก.ก. จะปรับกลยุทธ์หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ทั้งในพื้นที่ที่กระแสตอบรับดี และพื้นที่ที่กระแสยังเป็นรองหรือไม่ ว่า ตนเชื่อว่าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกระแสของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และกระแสของพรรคในวันนี้จนไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายจะดีขึ้น ทำให้หลายๆ เขตได้รับชัยชนะ น่าจะไม่มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมใดๆ เพราะเราก็หวังเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว และนโยบายต่างๆ ของเราทั้ง 300 นโยบายเราก็ประกาศให้ประชาชนทราบหมดแล้ว สิ่งที่เราทำวันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายคือ เดินทางไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เราอยากจะทำ ความตั้งใจที่เราบอกกับประชาชนไปแล้วว่า เราจะเข้าไปทำงานอย่างตรงไปตรงมา
นายณัฐชากล่าวต่อว่า เราไม่ได้มองเรื่องของการประกาศจุดยืนต่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ แต่เราประกาศทั้งหมดไปตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เงื่อนไขที่เราประกาศว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร แนวทางของผู้สนับสนุนพรรคเรา สามารถรับได้ในสิ่งไหนบ้าง เราก็ได้ประกาศไปตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการประกาศแคนดิเดตนายกฯ จนถึงวันนี้สิ่งที่เราเดินหน้าทำอยู่ คือเรื่องที่เราพูดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เราทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้นๆ ในทุกๆ วัน จนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ไม่มีการปรับกลยุทธ์ ไม่มีการเพิ่มเติมเงื่อนไขต่างๆ เพราะสิ่งที่เราได้สื่อสารกับประชาชน เราได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก
เมื่อถามว่า กรณีโพลมติชน-เดลินิวส์ ที่กำลังเปิดโหวตครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-28 เมษายนนี้ สำหรับพรรค ก.ก.จะปรับกลยุทธ์การหาเสียงโค้งสุดท้ายอย่างไร นายณัฐชากล่าวว่า ยังยืนยันคำตอบเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลโพลก็ดี หรือคะแนนิยมในพื้นที่ต่างๆ เองก็ดีทั้งในออนไลน์ และออนกราวด์ เรามีแต่เดินหน้าบอกเรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ที่เป็นสิ่งที่เราได้บอกกล่าวไปตั้งแต่วันแรก ฉะนั้นไม่ว่าจะทำโพลกี่ครั้ง คะแนนนิยมของเราที่เพิ่มขึ้น มีการรับรู้ มีจำนวนประชาชนที่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น บางคนอาจยังเข้าใจนโยบาย หรือแนวทางการทำงานของพรรคที่คลาดเคลื่อน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง คือการทำความเข้าใจ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน
ต้นทุนขยับ ดันราคาค่าก่อสร้างบ้านขึ้น 3.5%
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_537600/
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผย ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 ไม้-ผลิตภัณฑ์ไม้และสุขภัณฑ์-ค่างานออกแบบพุ่ง ดันค่าดัชนีเพิ่มขึ้น 3.5 %
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการคำนวณราคาค่าก่อสร้างจากแบบบ้าน 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 169 ตารางเมตร ใช้สมมติฐานระยะเวลาการก่อสร้างบ้านไว้ประมาณ 180 วัน นับรวมค่าดำเนินการ และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วแต่ไม่นับรวมราคาที่ดินและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่ดิน พบว่าดัชนีราคาที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าตอบแทนในหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบที่เพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในหมวดงานสถาปัตยกรรมร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า องค์ประกอบของดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน หมวดราคาวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้ง 7 รายการ ได้แก่ สุขภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ กระเบื้อง เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ผลิตภัณฑ์คอนกรีต และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ
โดยพบว่าราคาสุขภัณฑ์มีการปรับเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 13.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ในขณะที่ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.0 ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตและภาคการขนส่งวัสดุก่อสร้าง ทำให้เกิดการถ่ายโอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปเป็นราคาค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย ขณะที่องค์ประกอบหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ ปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการเช่นกัน จึงมีผลให้ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 1 ปี 2566 มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในไตรมาสนี้หมวดแรงงานยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจำแนกต้นทุนของงานก่อสร้างหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ พบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยหมวดงานสถาปัตยกรรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 65.6 ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ