ขอคำแนะนำเรื่องเพื่อนหน่อยค่ะ

เพื่อนเราคนนึงเรียนติวเข้ามหาลัยด้วยกันมานานแต่พึ่งได้สนิทกันจริงๆช่วงจะส่งพอร์ต เราไปทำงานด้วยกันตลอดเขายื่นพอร์ตอีกที่ทำไม่ทันขอให้เราช่วย เราก็ช่วยทั้งที่ของตัวเองก็ไม่ทันเหมือนกัน พอผลออกมาเราไม่ติดทั้งคู่ค่ะ เราก็เสียใจเขาก็เสียใจ เลยนัดไปเที่ยวกัน วันนั้นคณะก็โทรมาบอกว่าเขาติดตัวจริงในรอบสำรอง แต่เราไม่ เราดีใจกับเขามากๆที่ติดด้วยใจจริงเลยแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็รู้สึกแย่มากๆ หลังจากนั้นเขาก็ชวนเราไปเที่ยวอีก เราก็ไปเพราะเราไม่ค่อยมีเพื่อน แต่เขามักจะพูดแต่เรื่องมหาลัยตลอดเลยค่ะ ว่าเออว่างเลยอีก6เดือนทำไรดี เพื่อนคนนู้นคนนี้เป็นยังไง เราเคยอยากโทรไปถามว่าคะแนนที่สอบไม่ติดของตัวเองเป็นไงบ้างที่คณะ แต่ว่าอยู่ในช่วงทำใจลำบากมากๆเลยบอกเขาไปว่า ไม่กล้าโทรเลยทำไงดีแต่ก็อยากรู้คะแนนจะได้ปรับปรุงตัว เขาก็ทำหน้ารำคาญใส่เราแล้วด่าว่าต้องรู้จักทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง จะอยู่ยังไง นู่นนี่นั่น ซึ่งปกติตอนช่วงใกล้ส่งพอร์ตมีเรื่องอะไรเราโทรถามคณะเองตลอดทั้งเรื่องของเราและของเขา ไม่เคยขอให้ใครช่วยเลย แต่สาเหตุที่เราไม่กล้าโทรเพราะพูดไม่ออก เหมือนเดจาวูที่ต้องเจอกับความผิดหวังอีก แต่เขากลับด่าเรา เรารู้สึกแย่มากๆว่าเขาไม่คิดเลยหรอว่าเราไม่ติดแล้วไม่อยากคุยกับคณะเพราะเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เครียดขึ้นอะ หลังจากไม่ติดเราsensitiveเรื่องคณะนี้มาก แล้วเราก็มาเรียนติวใหม่ที่สถาบันนึง เขาก็ชอบมาพูดว่าเอออยากไปเรียนบ้างจัง แต่จะไปเรียนอะไรล่ะ เพราะเขาติดแล้ว พอเราบอกแพลนว่าถ้าไม่ติดอาจจะไปนู่นนี่นั่น มาเสริมความรู้เพิ่ม เขาก็บอกเราว่า ไม่ต้องคิดไรมากหรอก คิดว่าตัวเองโชคดีมีโอกาศลองมีโอกาศล้มไม่เหมือนคนอื่น ที่บ้านมีเงินซัพพอร์ตให้ได้ทำตามความฝัน เหมือนแซะเราว่าล้มก็ล้มบนฝูก ซึ่งความจริงเราลำบากมากๆกับการที่ติวเข้ามหาลัยและสอบไม่ติด ที่บ้านการเงินก็คิดขัดมากๆ แต่พ่อแม่เราเข้าใจและอยากให้เราทำตามความฝันให้ถึงที่สุด แต่เขากลับพูดแซะแบบนั้น เหมือนพอเขาเห็นว่าเราจะมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น ก็ดึงกลับมาให้คิดมาก เวลาเราพูดแลกเปลี่ยนความคิดอะไรกันเขาก็จะพยายามเถียงทุกอย่างจนชนะ ทั้งที่ปกติเราเป็นคนที่ชอบเถียงคนอื่นจนชนะมาเจอแบบเขายังยอมและรู้สึกผิดกับคนอื่นที่เคยเถียงเลย เถียงแบบขาดใจ เถียงแบบคิดว่าตัวเองถูกเท่านั้น เขาชวนเราไปเที่ยวเพราะอยากได้รุปลงไอจี ให้เราถ่ายให้ตลอด เราถ่ายให้เขาทีคือทั้งหมดสองร้อยกว่ารูป กดรัวๆให้เขาได้ช็อตที่ต้องการ แต่พอเขาถ่ายให้เราเขาถ่ายให้รูปเดียวแล้วเอาโทรศัพท์ยื่นคืน เราเลยแบบเออพยายามให้เขารู้ว่าเราถ่ายต่ออีกนิดนนะเขาก็กดมาให้ห้ารูป หรือพอเราถ่ายอีกครั้งบอกให้เขากดรัวๆเขาก็บอกกดไม่เป็น หรือเวลาเราถ่ายสิ่งของอย่างอื่นเขาก็เอาตัวเองมาเข้าเฟรมให้ถ่ายตัวเอง เวลาเดินทางเขาก็แทบไม่หารค่ารถกับเราเลย เวลากลับบ้านที่เป็นทางเราแล้วกลับด้วยกันอันนั้นเราไม่นับนะเราจ่ายให้ได้ แต่เวลาไปที่อื่นด้วยรถโดยสารทางนึงที่ต้องกดในแอพคล้ายตุ้กๆเขาไม่เคยจ่ายเลย ทั้งที่ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยถามถึงเรื่องเงินทั้งที่น่าจะรู้ว่าไม่ฟรีอะ เราเคยพูดด้วยซ้ำว่าต้องเงินนะแปปนึง เขาก็บอกโอเคแล้วเดินไปดูเสื้อผ้า ปล่อยให้เราเติม แต่เราไม่อยากให้เสียมิตรภาพก็ไม่เคยทวง รวมถึงค่าปริ้นงานหรือค่าอาหารเรากินข้าวอยู่เขาฝากซื้อเราก็ซื้อให้เอามาวางให้ที่โต๊ะเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องเงินเลยระหว่างกินเราก็บอกว่าราคาเท่านี้นะเขาก็โอเคแล้วก็กินต่อไม่โอนอะไรทั้งสิ้น จนเราขึ้นไปซื้อของในห้างเลยโทรมาทวงเขาว่าต้องใช้เงินซื้อของถึงจะโอนมาเพราะก่อนหน้านี้เรื่องยืมเงินหลายๆครั้งเขาไม่เคยคืนเลย อาจจะเพราะเล้กน้อยไม่มากด้วย แต่ก็ไม่เคยคืน รวมกันก็ไม่น้อยแล้วอะ ความเชื่อใจเราต่อเขาก็ลดลง  หรือตอนทางกลับจากที่ที่นึงที่ไกลหน่อยเขาก็บอกว่านั่งวินมันถูกกว่า แต่วันนั้นเราใส่กระโปรงทรงแคบสั้นเหนือเข่า แถมเคยนั่งวินครั้งเดียวในชีวิตเองซึ่งครั้งนั้นใส่กระโปรงทรงแคบเหมือนกันแล้วขาด วันนั้นอากาศร้อนมากเดินกันมากนานมาก แล้วเราก็เป็นไมเกรนด้วย เราเข้าใจนะว่าเราอาจจะดูเป็นภาระสำหรับเขาแต่เราคิดว่าเพื่อนกันคงมีemphathyต่อกันบ้าง เราไม่ไหวจึงขอขึ้นแท็กซี่ซึ่งรถติดค่ารถเกือบสองร้อย เขาก็บ่นตลอดทางว่าถ้านั่งวินป่านนี้ถึงนานละ นั่งนิ่ง หงุดหงิด แล้วพอลงรถเราก็บอกว่าให้เขาโอนให้เรา80ก็ได้นะ เพราะเราเกรงใจเราจ่ายร้อยนึงเอง เขาก้พยักหน้า ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าเออยังไงก็ทางกลับบ้านเรา เขาไม่จ่ายก็ไม่เป็นไร หรือเราไม่ควรทวงด้วยซ้ำ แต่เห็นเขาพยักหน้าก็เลยคิดว่าโอเค แล้วเขาก็ขอยืมเงินสดนั่งวิน เราก็ให้ไปอีก50 แล้วบอกว่าโอนคืนมาพร้อมกับอีก80เลยนะ เขาก็บอกโอเค แต่หลังจากนั้นก็ไม่โอนมาเลย ด้วยความที่เราเคยนั่งวินครั้งเดียว เราก็ไม่รู้การโกงของวิน วันนึงมันต้องเดินไกลมากเราก็แบบเออยอมนั่งวินกับเขาก็ได้ไม่อยากให้เขาลำบากเดินหรือเรียนรถในแอพไปด้วย พอไปถึง วินพูดแบบกำกวมโกงเงินซึ่งเขานั่งบ่อยเขารู้ แต่เราไม่รู้ ก็เลยโดนโกงไปจากปกติคนละ20เป็นคนละ60 เขาก็ด่าเรายับ ว่าทำไมโง่แบบนี้ ไปจ่ายให้มันทำไม วินแถวนี้มันยิ้ม ทำอะไรลงไปเนี่ย ไอ ยิ้ม แล้วด่าไม่หยุดนานมากๆเสียงดังมากๆแบบคนตรงนั้นก็ต้องได้ยินแน่ๆ เพราะดังมาก เรารู้สึกแย่มากเพราะเราไม่เคยขึ้นจริงๆ เราก็ขอโทษเขา บางทีเรารู้สึกว่าเราพยายามปรับตัวหาเขาบ้างแล้ว ทั้งนั่งวิน ทั้งพยายามนั่งรถสาธารณะมากขึ้น ทั้งเวลานัดกันเขาเลทเราไปก่อนเวลา แต่ต้องมารอเขาครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำจนถึงชั่วโมงครึ่ง แล้วเราก็ต้องไปยืนรอเป็นชั่วโมงเพราะเราไม่รู้จักที่นั่นแถวนั้นเลยเราไปครั้งแรกเพราะเขา เราก็พยายามเข้าใจว่าบ้านเขาอาจจะอยู่ไกลเดินทางนาน แต่ครั้งล่าสุดเราพึ่งรู้ว่าเขาให้เเลทเราชั่วโมงครึ่งเขาไปสระผมทำผมที่ร้าน  รวมถึงเวลาเดินทางไปเที่ยวไหน อย่างที่บอกเขาไม่เคยบอกจะจ่ายเราไม่เคยคิดจะทวงเลยเพราะถือว่าเจ้ากันกับที่เขาต้องเดินทางมาไกลหน่อย แต่ทำไมเขาถึงพูดไม่นึกถึงเราอยู่เรื่อง พูดถึงชีวิตมหาลัยจะเป็นยังไงเล่าเรื่องมหาลัย ทั้งที่เราสอบไม่ติดและอยากเข้ามากๆ แล้วก็มาแซะเราว่าไม่เป็นไรหรอกบ้านรวย คือทั้งที่เราไม่ได้รวย ยิ่งหลังจากสอบติดเขายิ่งแบบทำตัวเหนือกว่า พูดกดเรา ไปไหนก็พยายามพูดเรื่องโยงเข้าว่าเรียนอยู่คณะนี้กับคนอื่น แล้วคนก็จะมาถามเราต่อว่าเรียนทั้งคู่หรอ เราก็ได้แต่ตอบหน้าเจื่อนๆไปว่าเปล่าค่ะ เขา้ใจว่าสอบติดภูมิใจแต่แค่คิดว่าเห็นใจเราหน่อยบ้างก็ยังดี เพราะถ้าเป็นเราคงทรีตเพื่อนดีกว่านี้ หรือตอนเดินทางกลับบ้านครั้งล่าสุดเราก็บอกว่าเอองั้นขากลับเรียกรถไปรถไฟฟ้าแถวบ้านเราละกันเพราะเขานั่งรถไฟฟ้ากลับและเราจะได้เดินกลับบ้านเลยเดี๋ยวเราจ่าย เขาก็โอเค พอเรียกได้แล้วแต่เราไม่มีเงินสดก็พยายามหา แต่เขาไม่ช่วยหาเลย ซึ่งเขาอาจจะรู้ตัวว่าไม่มีก็เลยไม่หาก็ได้ แบบว่าตรงนั้นมันเรียกรถยากมาก ก้เลยบอกเขาว่าเดินไปถนนใหญ่มั้ย ก็เดินไปกัน แล้วก็เรียกไม่ได้อีกก็เลยบอกว่างั้นเราเดินไปรถไฟฟ้ากันมั้ยเขาก็หงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็บอกโอเค เขาก็ให้เราเปิดแมพ เดินไปสักพักเราก็ดูแมพตลอดจนจะถึงทางเลี้ยว ซึ่งเราพึ่งเคยใช้แมพครั้งแรกๆ ใช้ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ก็เลยไม่รู้ว่าต้องดูทางเลี้ยวยังไงก็เลยคิดว่าเดินเลยๆไปสักสองสามก้าวว่าทางเลี้ยวนี้ถูกมั้ยก่อน แล้วมันก็ขึ้นว่าผิด ต้องเลี้ยวอีกทาง เราก็เลยบอกเพื่อนว่า เห้ยเรามาผิดทาง เพื่อนหันมาพูดกระแทกใส่เราว่า แล้วทำไมไม่ดูแมพตลอดอะ กูบอกแล้วขึ้นแกรปดีกว่า นู่นนี่นั่น สารพัดสิ่งที่เอาแต่โทษเรา เราฟางเส้นสุดท้ายมากเพราะวันนั้นเหนื่อยกันทั้งคู่ และเราก็ไม่เคยวีนหรือหืออืออะไรกับเขาเลยไม่ว่าจะเหนื่อยกันแค่นไหนเพราะเราอดทนกับเขามากๆ เราเลยบอกเขาว่ากูดูอยู่ตลอด ทั้งที่เขาก็น่าจะเห็นตอนที่เดินผ่านร้านน่ารักๆเขาชวนพูดคุยเราก็ไม่คุยเพราะมัวแต่ดูแมพกังวลว่าจะพาเพื่อนมาผิดทางจนเขาถามหงุดหงิดใส่ว่าไม่คิดจะดูรา้นข้างทางบ้างหรือไง แต่ก็เขาก็พูดไม่คิดออกมาเพราะตัวเองเหนื่อย ทั้งที่เราก็เหนื่อยเหมือนกันอะ แล้วแกรปเขาบอกตอนไหนเราก็ไม่รู้หรือไม่ได้ยินเพราะตอนอยู่ที่นั่นมัวแต่เครียดหาเงินสด แล้วเขาก็ถามเราว่าจะโมโหทำไมด้วยเสียงอ่อนลง เราโมโหและอยากพูดอะไรออกไปเยอะแยะมากแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวจะไปทำร้ายจิตใจเขา หรือเวลาไปคาเฟ่ทำงานหรือเขาฝากซื้อของเล็กๆน้อยๆเราไม่เคยเอาเงินเขาเลยซื้อให้ตลอดแม้ว่าบางอย่างมันจะแพงและบ้านเราไม่ได้รวย แต่พ่อแม่เราสอนเรามาแบบนี้จริงๆ พูดตรงๆเราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะได้อะไรคืนจากเขาเลย แค่อยากทำให้บรรยากาศระหว่างเรามันสบายขึ้น แต่เวลาเขาไปซื้ออะไรไม่เคยฝากเราเลย อันนี้เขาไม่ผิด แต่เป็นความน้อยใจของเรา ตอนนั่งแท็กซี่ไมรับเงินสดเราก็ไม่มีกันทั้งคู่เราก็พยายามคิดหาทางทำยังไงกดเงินยังไง เขาก็นั่งเงียบซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่าคิดอยู่มั้ยแต่ไม่พูดอะไรออกมาเราเลยบอกว่าไปถามยามดีกว่าว่ามีตู้ใกล้ๆมั้ย ซึ่งที่นั่งฝั่งเขาติดฟุตบาตซึ่งใกล้ยามมากถ้าเทียบกับเราที่ติดถนนใหญ่ทางเลี้ยวเราเลยมองๆเขา จะลงแต่ลงยากอะเพราะยังไงเขาก็ต้องลุกก่อน เขาก็พูดเสียงประชดว่า อ่อนี่กุต้องลงไปใช่มั้ย แล้วกระทั้นกระเป๋าลงเบาะเดินออกไป แล้วก็กลับมาบอกอะไรสักอย่างแต่ทำอะไรต่อไม่ได้เราเลยบอกว่าเออเดี๋ยวไปแลกเงินที่เซเว่นให้นะ แล้วเรากลับมาจ่าย หรือ ครั้งล่าสุดที่เราทวงเงิน เพราะไม่ไหวกับเขาแล้ว เราก็แกล้งๆถามเขาว่าเท่าไร่กับเท่าไหร่นะ เขาก็พูดจำนวนเงินทั้งคู่มาแบบน้อยลง ซึ่งเขาอาจจะจำไม่ได้หรือตั้งใจก็ไม่รู้ ซึ่งเราก็เกรงใจเขากลัวหักหน้าเลยบวกไปแบบที่เขาบอกอันนึงแล้วท้วงอีกอัน อย่างเรื่องวินเขาพูดเสียงดังใส่เราแล้วด่าเรา เราไม่ชอบคนพูดเสียงดังมากๆ ทำให้ตั้งแต่ต้นวันวันนั้นก็รู้สึกแย่ไปด้วย แล้วเขาไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียวตอนเกิดเรื่อง แต่เอามาพูดใส่เราอีกตอนจะกลับบ้าน เรารู้สึกแย่หลายๆครั้งเวลาไปกับเขา แต่มันหนักขึ้นหลังจากเรื่องมหาลัย เขาชวนเราไปเที่ยวบ่อยขึ้นเพราะเขาคงสบายใจแล้วแต่เราต้องสอบอีกครั้งปีหน้า แต่เราไม่ปฎิเสธเขาเลยเพราะกลัวเขาคิดมาก หรือไม่มีเพื่อนไป ทั้งที่สภาพจิตใจเราแย่มากๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยังอยู่ในช่วงยอมรับไม่ได้ เราผิดหวังในตัวเองมากๆที่ทำให้คนอื่นผิดหวังในตัวเรา อย่างที่บอกบ้านเราไม่ได้รวยจริงๆ ปัญหาเรื่องเงินมีอยู่ตลอดจนกระทั่งตอนนี้ ยิ่งต้องให้เราแก็ปเยียร์ ก็ยิ่งเครียด แต่เราไม่เคยเอาความเครียดไปลงที่เขาเลย เราพูดแต่ว่าเราโอเคแล้ว แล้วก็ไม่พูดอะไรเพิ่มอีก เพราะเราพยายามจะโอเคขึ้นจริงๆ แต่เขาเอาแต่พูดเรื่องคณะ ทำให้ใจเราแย่ลงๆ เขาไม่ได้พูดผิดหรือทำอะไรผิด แต่เราแค่รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ถนอมใจเราเลย ทั้งที่รู้ว่าเราไม่ติดและเสียใจมากๆไม่ต่างจากเขาตอนที่ประกาศครั้งแรกแล้วไม่ติดเราก็อยู่ปลอบใจเขาพยายามทำตัวสดใสเขาจะได้ไม่คิดมากแล้วมาเริ่มใหม่อีกรอบปีหน้ากัน แต่พอเขาติด เขากลับทิ้งเราไปเลย ไม่มาสนใจแยแสเรื่องที่เราจะเเรียนอีก พอเห็นว่าเรามีแพลนใหม่ๆ ก็มาแซะว่าบ้านรวยล้มบนฟูก พอเราเริ่มพูดความเหนื่อยของเราออกมาเขาก็เงียบแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง เหมือนไม่อยากให้เราระบายไม่อยากฟัง เรารักเขามากๆ เราพึ่งย้ายเมืองมาทำให้แทบไม่มีเพื่อน มีอะไรก็อยากช่วยเหลือ อยากเห็นเขาประสบความสำเร็จ อยากให้เขามีชีวิตดีๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มองเราเป็นเพื่อนคนสำคัญสักคนในชีวิตเลย เราเหนื่อยแล้วที่จะต้องรู้สึกแบบนี้ คิดว่าหลังจากนี้อยากจะลดระยะห่างกับเขามากขึ้นเวลาเขาชวนเที่ยวหรือไปขา้งนอก เพราะสุดท้ายมันทำให้เรากลับมานั่งร้องไห้คนเดียวตลอด เรามานั่งทบทวนว่า เขานิสัยแย่จริงๆมั้ย หรือ เราเริ่มอึดอัดกับเขาเพราะเขาสอบติดแต่เราไม่ติด หรือบางเรื่องเราsensitiveไปเอง น้อยใจไปเอง คิดไปเอง หรือเห็นแก่ตัวไปเอง ตรงนี้ก็ต้องขอโทษจริงๆค่ะ เราเหนื่อยจะมานั่งฟังความคิดของตัวเองแล้ว เรารู้แค่ว่าเรารู้สึกแย่ที่อยู่กับเพื่อนคนนี้ตลอดเวลา เลยอยากเว้นระยะห่าง แต่เราคิดจริงๆว่าเรามีส่วนที่เห็นแก่ตัวหรือเด็กน้อยอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้ด้วย เลยอยากได้คำตักเตือนหรือ คำแนะนำนิสัย หรือmindsetที่ดีกว่านี้หรืออะไรที่เรามองแต่ในมุมของตัวเองให้เราหน่อยค่ะจะนำไปปรับปรุงตัว ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่