แค่อยากให้ครอบครัวเข้าใจ มันยากหรอ?

เนื่องจากว่าตัวเองประมาณ 3 ปีที่แล้วเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุกมีชีวิตชีวากับชีวิตมากเท่าไหร่ ค่อนข้างเหนื่อย หดหู่และสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ, ตามตรงอยากไปพบแพทย์แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่มช่โรคอย่างที่คิด อีกเหตุผลคือครอบครัวบอกว่าไม่จำเป็นเดี๋ยวก็หาย ... แต่ปัจจุบันก็ยังเป็นเหมือนเดิม

อยากให้คนที่เข้ามาอ่านว่าตอนนี้ผมควรทำยังไงกับชีวิตดี ?,

อยากให้ฟังเรื่องราวของผมแล้วช่วยชี้แนะทีครับ,

 ตอนเด็กโตมาพร้อมกับคุณยายไม่เคยเจอหน้าพ่อแม่ของตัวเองสักครั้ง จนจะขึ้นอ.3 คุณแม่และพ่อ(ใหม่, เลี้ยง)ก็มารับไปอยู่ด้วย ตอนเด็กตอนนั้นคือมีความสุขมาก ได้ทำสิ่งที่ชอบ มีความฝันวาดฝันไว้นานา สภาพแวดล้อมตอนนั้นเหมือนครอบครัวสุขสันต์ มีสั่งสอนติเตือนบ้างแต่ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง เหมือนพึ่งได้รับความรักและความเอาใจใส่จากแม่และพ่อคนใหม่เป็นครั้งแรก

 ไม่นานพี่ชายก็มาอยู่ด้วย (พี่ชายตอนนั้นอาศัยกับแม่ของแม่ที่เป็นลูกของยายที่เลี้ยงดูผม) , หรือก็คือพวกเราสองพี่น้องแยกกันอยู่คนละที่ตั้งแต่เด็กแล้วมารับไปอยู่ด้วยอีกที

ค่อนข้างเข้ากันได้ดี แน่นอนว่าพ่อใหม่ที่เป็นพ่อเลี้ยงด้วย
ช่วงนั้นอ่จจะสนิทกับพ่อเลี้ยงเป็นพิเศษ

 ช่วงประถมตอนนั้นเป็นช่วงสนุกที่สุดเพราะโรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ ได้เป็นตัวแทนห้อง อื่นๆ ได้ช่วยค้าขายที่ร้านของตัวเอง

วัยนี้ยังปกติดี,

 จนกระทั่งเริ่มขึ้นชั้นมัธยมได้อย่างราบรื่นด้วยคะแนนสอบที่ผ่านแน่นอน,
 ช่วงนั้นคุณแม่กับพ่อเลี้ยงก็ได้มีน้องกัน ตอนนั้นรู้สึกตกใจและตื่นเต้นมาก อยากใชเห็นหน้าตาน้องเร็ว ๆ แต่พอน้องโตขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด, ช่วงม.2 ได้ทำร้านใหม่เป็นร้านอาหาร ตอนนั้นก็ช่วยทำงานตามปกติ แต่ที่โรงเรียนก็เริ่มมีปัญหากับกลุ่มเพื่อนจนมองหน้ากันไม่ติดไปบ้าง ตอนนั้นคิดมากกลัวว่าคนอื่นจะมองยังไงส่วนตัวเป็นคนlow selfมาก ๆ ไม่กล้าทำอะไร — แต่บางทีก็โดนเพื่อนใช้งานทำงานอยู่บ่อยเพราะเป็นคนที่ฉลาดสุดในกลุ่มก็ได้ จริง ๆ ก็แอบนอยบ้างที่ได้ทำคนเดียวแต่ปฏิเสธไม่เป็นเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองเราไม่ดี ช่วงนั้นรู้สึกกดดันกับชีวิตมากจนแพนิคเป็นครั้งแรก

 ตอนนั้นไม่ได้บอกกับครอบครัวเรื่องนี้เพราะกลัวโดนเป็นห่วง แถมตัวเองยังคิดมากอีกด้วย ไม่กล้าทำอะไรที่มันดูเอาแต่ใจ, 

 แล้วถึงช่วงสอบตอนนั้นเครียดมากเพราะอ่านหนังสือหนักโหมรุ่ง แถมยังพึ่งเลิกกับแฟนในโลกออนไลน์ครั้งแรก , ก็เลยไม่ไมีไปช่วยงานที่ร้านของครอบครัวเท่าไหร่จนพ่อแม่เริ่มด่าเรา แต่ผมก็ไม่กล้าบอกแค่บอกเหตุผลไปว่าใกล้สอบแล้วเลยขออ่านหนังสือ

แล้ว,
 พ่อแม่เริ่มเอาใจใส่น้องแปลก ๆ อาจจเพราะว่าเป็นเด็กอยู่ พอตัวเองไม่ได้ทำอะไรกับครอบครัวก็เหมือนไม่ได้โดนสนใจอะไรเลย ตอนสอบโครงการแลกเปลี่ยนแล้วติดพ่อแม่ก็ไม่ได้ดีใจหรือให้กำลังใจด้วย ตอนนั้นเป็นความรู้สึกแย่ ๆ จากครอบครัวมาก, จากนั้นเราก็ไม่ได้ไปช่วยงานที่ร้านอีกเลยแต่ช่วยทำงานที่บ้านจัดเก็บทำความสะอาดแทน แต่ก็เริ่มรู้สึกกดดันเครียดกับตัวเอง

 พี่ชายโตแล้วเลยช่วยทำงานที่ร้านแถมมีวุฒิภาวะมากกว่า
 น้องที่เป็นคนเล็กของครอบครัวได้รับความเอาใจใส่ไม่ต่างกัน

ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว, เริ่มทะเลาะกับครอบครัวบ่อยครั้ง โดนดุโดนสอนหนักถึงขั้นโดนตีเพื่อสอนบ้าง

 หลังจากนั้นก็มีเรื่องให้ทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มจนโดนเตะออกกลุ่ม, เมิน, แล้วตอนนั้นรูเาึกไร้เพื่อนไปเลย

กระทั่งมันหนักจริงก็ตอนวันนั้น เราเครียด กดดันมากเรื่องชีวิตของตัวเองรู้สึกว่าหมดแพชชั่น ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ความฝันที่เคยวาดไว้ในตอนเด็กก็รู้สึกว่าตัวเองทำมันไม่ได้ ทั้งเรื่องครอบครัวเรื่องโรงเรียนมันเต็มสมองเราไปหมด ตอนนั้นเลยปิดกั้นทุกอย่างขังตัวเองในห้อง (ตอนนั้นนอนห้องเดียวกับพี่) แม่เห็นว่าผมไม่ตอบแชทหรืออะไรเลยเลยบอกให้พี่กลับมาบ้านอล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เข้ามาในห้องด้วยสภาพเหนื่อยว่าทุกอย่างเป็นปัญหาเพราะผม จนกระทั่งต่อยกำแพงร้องไห้ขณะที่คอลกับแม่ไปด้วย ผมเห็นแล้วร้องไห้หนักมาก เลยคิดว่าถ้าไม่มีผมครอบครัวน่าจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ แม่กลับมาเพราะเห็นแบบนั้นบอกให้พี่ไปรอข้างนอก

 เราก็เลยได้ปรับความเข้าใจกับแม่จริง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องที่โรงเรียนไปเพราะไม่เยากให้เป็นห่วงกว่าเดิม
เรื่องนี้เราเคยคุยกับครูประจำชั้น แต่เหมือนที่เล่าจะส่วไปถึงแม่หมด รู้สึกคิดมากกว่าเดิม

 :

แต่ความจริงทุกอย่างที่ประบความเข้าใจกันเหมือนไม่มีค่า เพราะหลังจากวันนั้นผมก็พยายามปรับตัว เรียนหนังสือให้ดีได้เกรดดีมาอวดพ่อแม่แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ พ่อแม่ก็ยังสนใจน้องมากกว่า ไม่เคยเห็นผมในสายตาแม้ว่าจะสอบเข้าได้โรงเรียนจังหวัด แม้จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน

เพราะน้องเป็นลูกของพ่อเลี้ยง,

มันเลยทำให้เรารู้สึกอยากพยายามให้ตัวเองดีกว่านี้ เยากพยายามเพื่อให้พ่อแม่เห็นว่าตัวเองก็สำคัญ จนเรียนหนักแล้วกดดัน

พยายามปั้นหน้าฝืนยิ้มบอดว่าตัวเองไม่เป็นไร, กดดันมากแต่ก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเวลาเจอคนอื่น ทำตัวมีความสุขทั้งที่จริงเราเองก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น รู้สึกเย็นชาไม่อย่กทำอะไร

 จนมันยาวไปจนขึ้นมอปลาย. เพราะความเครียดดละคิดมากเลยไม่ได้ช่วยงานที่ร้านเหมือนแม่ แต่พอช่วยงานที่บ้านได้ แต่ค่าไปโรงเรียนก็เกือบไม่พอไปสำหรับหนึ่งวันเราเลยพยายามกินอะไรให้น้อยที่สุดแล้วเก็บเงิน

พ่อแม่ไม่รักเราเหมือนเมื่อก่อน, เรารู้สึกอิจฉากับน้องที่เกิดมาก็ได้เจอครอบครัวที่ตามใจ ไม่เหมือนเรากับพี่ที่แม้แต่หน้าพ่อแท้ ๆ ก็ยังไม่เคยเห็นตั้งแต่เด็ก

ในเรื่องโรงเรียนใหม่ก็ค่อนข้างเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ เพราะคนในกลุ่มดูสนใจกันเองแล้วเราเป็นส่วนเกิน

ตอนนั้นทะเลาะกับแม่เรื่องที่ตัวเองอาจเป็นซึมเศร้า อยากให้พาไปหาหมอแต่แม่ก็บอกมาว่าเดี๋ยวก็หาย, ตอนแรกไม่มีสิวแต่พอมีสิวแล้วก็อยากไปหาหมอ แม่ก็บอกเดี๋ยวก็หายทั้งที่ผ่านไปเกือบสามปี พอป่วยอะไรหรือไม่ไปโรงเรียนก็ไม่เคยมีใครถามสารทุกข์สุขดิบ

พอน้องเป็นอะไรก็พาไปหาหมอ, บางทีผมก็อิจฉาน้องมาก ...

 ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อ ตอนนี้ไม่มีคว่มสุขกับชีวิต อยากไปหาหมอแต่ก็ไม่กล้าไปเพราะกลัวเจอจิตแพทย์ที่ไม่เข้าใจว่าเราเจออะไรมา คิดมากกลัวว่าเขาจะบอกให้เห็นความสำคัญของพ่อแม่ที่ทำต่อเราทั้งที่เราเจ็บขนาดนี้แต่ก็ทนมาได้เกือบสามปี สามปี... แพนิคหลายครั้งมากแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรปรึกษากับใคร อีกเหตุผลคือไม่มีใครสามารถไปส่งในครอบครัวและญาติ ไม่มีเงินไปด้วย .. กลัวโดนครอบครัวตำหนิอีก

ปั้นหน้ายิ้มเป็นลูกที่ดีต่อหน้าคนอื่น, ทำผลงานหรือทำง่นแทนเพื่อนเพื่อให้คนอื่นสนใจ

จนปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นแบบเดิม

 โดนเพื่อนใช้งานหนัก, โดนแขวนในออนไลน์ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ผิดแต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งหรือเถียงใครปล่อยให้ข่าวลือห่ยไปเองเพราะเราสู้คนไม่เก่ง, ครอบครัวเมินไม่สนใจหรือให้ความสำคัญ แม้บางครั้งจะดีด้วยแต่ก็ดีแปปเดียวแล้วเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

อยากให้ช่วยแนะนำทีครับว่าควรทำยังไงต่อกับชีวิตดี 🙏🏻

เราเครียด เหนื่อย ไม่อยากทำอะไร( แต่เรื่องการเรียนกระตือรือร้นเพราะอยากให้คนอื่นสนใจ )

.ขอบคุณที่รับฟังครับ
(จริงๆ มันเยอะกว่านี้แต่เราไม่สามารถเรียบเรียงเป็นการบรรยายได้)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่