คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 1/2

กระทู้สนทนา


นิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์มิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่อง  ทุกจักรวาล  ทุกหลุมดำ  ทางก่อนได้รับอนุญาต
แม้จะเป็นงานบ้า ๆ บอ ๆ   แต่  ก็เป็นงาน ที่คนเขียนรัก   เดอ สิบอกไห่

.......

               ผมชื่อ เด็กชายวิชา

               เป็นเด็กน่ารัก อย่างน้อย ผมก็คิดแบบนั้น

               เรื่องเล่าต่อไปนี้ เป็นสมัย ที่ผมยังเป็นเด็กครับ

              สมัยที่ผมยังเป็น เด็กชายวิชา บ้านอยู่ข้างวัดวึ่งขึ้นชื่อลือชาว่า ผีดุ มากที่สุดในย่านนั้น ความสัมพันธ์ของเด็กบ้านอย่างผม กับวัดข้างบ้าน ยังคงเป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะกับบรรดาสามเณรที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวละ

             ปกติวัดข้างบ้านไม่เคยมีเด็กวัด หรือมีเณรมาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมากนัก ซึ่งก็คงเพราะว่าชื่อเสียงเรื่องหลอนของวัดนั่นเอง  ทำให้พวกเราชาวเด็กบ้านและเณรวัดต่างคุ้นเคยสนิทสนมกันเป็นอย่างดี  วันหนึ่ง สารเณรน้อย เพื่อนเณรของผมบอกว่า วัดมีเณรใหม่มาหนึ่งรูป  อายุอานามก็ใกล้เคียงกับเพื่อนเณรทั้งหลายเรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้ 
 
            จากที่ฟังข้อมูล สามเณรหน้าใหม่รูปนี้ชื่อ เณรอู๋  เป็นลูกชายของชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงนี่เอง  เพิ่งบวชหน้าไฟได้ไม่นาน  ตอนแรกผมยังไม่ทราบว่า อะไรคือสาเหตุที่ สามเณรอู๋ มาจำวัดอยู่ที่นี่ จนกระทั่งสองวันผ่านไป ผมจึงมีโอกาสเจอหน้าเณรอู๋ เมื่อเณรน้อย พาผมไป พูดคุยทักทาย ทำความรู้จักกันถึงในศาลาวัดกันเลยทีเดีย  เณรอู๋ ดูไปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ รูปร่างผอมคล้ำเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป แต่ที่แปลกอยู่บ้างคือสายตาท่าทาง เหมือนคนมีอาการจะสะดุ้งผวาอยู่ได้เกือบทุกเวลา ผมพยายามชักชวนเณรเพื่อนใหม่ไปเล่นนอกศาลา แต่เณรอู๋ปฏิเสธ ท่าทางเหมือนยังไม่ไว้ใจหวาดกลัวอะไรสักอย่าง 

            หลังจากนั้น ผมและเพื่อนเณรอีกสามรูป ก็ได้ฟังเรื่องราวแปลกประหลาด น่ากลัว จากปากของสามเณรอู๋ ที่ยอมเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง ในบ่ายวันนั้นเอง

 
             เณรอู๋เล่าว่า ท่านมียายคนหนึ่ง ชื่อยายบุญล้อม ที่ยายคนนี้รักเอ็นดูเณรอู๋มากเป็นพิเศษ เพราะความที่เป็นหลานชายคนแรก ทำให้ยายบุญล้อมรักและเมตตามากกว่าหลานคนอื่น ๆ  ดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่แรกเกิด มีเงิน มีขนม นมเนย มักจะแอบเก็บไว้ให้คนเดียว  เป็นทั้งคนเลี้ยงดู เพื่อนเล่น แทบไม่คลาดสายตา  จนลุงป้าหลายคนเริ่มบ่นว่า ระวังจะทำให้หลานชาย กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ 

            ยายบุญล้อมอายุมากแล้ว ระยะหลังมายายแกเริ่มเจ็บออด ๆ  แอด ๆ ไปตามวัยของคนสูงอายุ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่า ยายจะด่วนจากไปแบบกะทันหัน
 
             หลังจากกลับมาจากโรงเรียน สามเณรอู๋ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กชายอู๋ มักจะชวนยายบุญล้อมเล่นซ่อนแอบกันเสมอ ซึ่งเป็นการเล่นแบบเด็ก ๆ ที่เด็กชายอู๋ชอบมาก บริเวณเล่นซ่อนแอบกัน ก็คือสวนหลังบ้านนั่นเอง บางทีก็ลามเข้าไปถึงในบ้านแล้วแต่จะตกลงอาณาเขต
    
             เณรอู๋ เล่าว่าความสนุกที่สุด ก็คือการซ่อนตัวนี่ละ ทำให้ใจเต้นแรง ลุ้นระทึก เมื่อเห็นคุณยายบุญล้อมใช้มือปิดหน้า หรือหันหน้าเข้าหาเสา นับเลข หนึ่ง  -สอง - สาม  ไปด้วย เพื่อให้เวลาแก่ผู้ซ่อน  จากนั้นคุณยายบุญล้อม ก็จะเริ่มเดินหาอย่างช้า ๆ  เด็กชายอู๋ในเวลานั้น จะต้องกลั้นลมหายใจให้แผ่วที่สุด เมื่อคุณยายบุญล้อมเดินมาใกล้ แล้วกลั้นเสียงหัวเราะเมื่อยายมองไม่เห็น แล้วเดินผ่านไป

             เมื่อถูกยาย โป้ง หลานชาย จะกลายเป็นผู้หา แต่ยายบุญล้อมก็มักจะแกล้งซ่อนตัวพอเป็นพิธี ให้หลานชายคนโปรด หาเจอได้แบบไม่ยาก ดังนั้นหลานชายจึงเหมาตำแหน่ง ผู้ซ่อน เป็นส่วนมาก

             เย็นวันนั้น ยายบุญล้อมกับเด็กชายอู๋ ก็เล่นซ่อนหากันตามปกติ ก่อนกินข้าวกินปลาก็ต้องมีการเรียกน้ำย่อยกันก่อน ผู้เป็นยายรับบท ผู้หา ตามเคย  หลานซ่อนตัวอยู่ใต้แคร่นานสองนาน ยายก็ไม่ยอมเดินมาเจอสักที กว่าแม่ของเด็กชายอู๋ จะมาพบว่า ยายบุญล้อมเสียชีวิต เพราะอาการหัวใจวายกะทันหัน เวลาก็ผ่านไปนาน 

             ร่มโพธิ์ร่มไทร ของเด็กชายอู๋โค่นลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว หลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม ลุงป้าน้าอาหลายคน ดุด่าเด็กชายอู๋แบบเกินกว่าเหตุ ทั้งที่ทำผิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย  ๆ เท่านั้น เรียกว่าทำผิดหนึ่งสลึง ถูกด่าห้าบาท ตามด้วยคำพูดว่า ต่อไปนี้ไม่มีใครถือหางเข้าข้าง จัดเต็มไปเลย เด็กชายอู๋ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม แต่ก็พอรู้ว่าหลายคนคงหาเรื่องด่าว่าแบบเก็บกด จากสมัยที่มียายบุญล้อมคอยปกป้อง พอได้โอกาสก็ใส่เต็มที่ ทั้งที่บางทีพ่อกับแม่เขาก็อยู่ด้วย ยังโดนเหมือนเดิมแบบไม่มีคำว่าเกรงใจ ทำให้เด็กชายอู๋เสียความรู้สึกไปพอสมควร

             แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่เด็กชายอู๋ เจอหลังจากนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย

             หลังยายบุญล้อมตายไปได้เจ็ดวัน พิธีศพงานศพผ่านพ้นไปด้วยดี  เด็กชายอู๋  บวชหน้าไฟอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับยายบุญล้อม  กลายเป็นสามเณรอู๋ ดูมีสง่าราศีขึ้นทันที ผู้ใหญ่หลายคนที่เคยว่ากล่าวดุด่า ต้องยกมือกราบไหว้  วันหนึ่งขณะโยมพ่อโยมแม่ถือปิ่นโตมาถวายจังหัน  พบน้าชายคนหนึ่งมาถวายจังหันเหมือนกัน เลยนั่งคุยกัน น้าคนนี้เล่าให้พ่อกับแม่ของเณรอู๋ฟังว่า หลังจากยายบุญล้อมเสียชีวิต น้าแกก็ฝันถึงยายบุญล้อมสามคืนติดต่อกัน ในฝันยายบุญล้อมชี้หน้าด่าแกอย่างรุนแรง ว่าไปด่าหลานทำไม  เณรอู๋ที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็นึกขำ ๆ ไปว่าน้าแกคงพูดเล่น แต่พอดูสีหน้าท่าทางเห็นจริงจังมาก แถมยังหันมาบอกเณรอู๋เสียงดัง ๆ เหมือนอยากให้ใครบางคนได้ยินว่า ต่อไปนี้จะไม่ว่าเณรอีกแล้ว เณรอู๋บอกว่าฟังแล้วก็ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าน้าแกจะพูดจริง เพราะน้าคนนี้มีนิสัยพูดเล่นพูดหัวอยู่เสมอ แต่ก็หวังว่าสึกออกไป น้าแกจะทำตามที่พูด เพราะเบื่อกับการโดนว่าโดนดุแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลมาตลอดหลังยายเสียชีวิต

             สามเณรอู๋เล่าต่ออีกว่า ก่อนเผาศพยายสองวัน ตอนนั้นยังไม่ได้บวชหน้าไฟ เด็กชายอู๋ช่วยพ่อแม่ญาติพี่น้องเก็บสิ่งของเครื่องใช้สำหรับจัดงานมาจากวัดเป็นที่เรียบร้อย ช่วงนั้นเป็นเวลาโผล้เพล้เข้าใต้เข้าไฟ ขณะกำลังนั่งเล่นรอให้แม่เรียกไปกินข้าวอยู่นอกชาน หูก็ได้ยินเสียงพูดยานคางช้า ๆ ว่า อยู่ไหนเอ่ย  อยู่ไหนเอ่ย... ดังแว่วมาตามลายลม  ตอนแรกเด็กชายอู๋ก็ไม่ค่อยสนใจ คิดว่าเป็นเสียงของชาวบ้าน ที่ยังคงเห็นเดินผ่านไปมาหน้าบ้าน แต่พอเริ่มรู้สึกคุ้น ๆ ก็ต้องสะดุ้งตกใจทันที เมื่อจำได้ว่า นั่นเป็นเสียงของยายบุญล้อม ที่พูดแบบนี้เวลาเล่นซ่อนแอบนั่นเอง  
 
             เด็กชายอู๋ขนลุก มองซ้ายมองขวาอย่างไม่ไว้ใจ ได้แต่พยายาม คิดว่าหูฝาดเฝื่อนไปเอง ยังไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง เพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน 
 
             แต่พอคืนนั้น เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับเขาอีก

             ครอบครัวของเด็กชายอู๋ เวลานอน จะนอนรวมกันบริเวณห้องนอนใหญ่ พ่อแม่มีเตียงไม้กางมุ้งนอนอยู่อีกด้าน มีน้องสาวสองคนปูที่นอนกางมุ้งนอนอยู่ใกล้ ๆ ส่วนเด็กชายอู๋แยกออกมานอนอีกฟาก ผนังมีหน้าต่างเล็ก ๆ แบบใช้ไม้ค้ำยัน ซึ่งปกติเปิดทิ้งรับลม ยกเว้นเวลาฝนฟ้าคะนอง 

             คืนนั้นพ่อแม่กับน้องนอนหลับไปแล้ว ตะเกียงน้ำมันปิดเรียบร้อย  แต่เด็กชายอู๋ยังคงนอนไม่หลับ เพราะยังไม่ชินที่ ปกติเขาจะนอนห้องโถงกับยายบุญล้อมจนชิน พอยายบุญล้อมเสียชีวิตไป เขาก็ต้องย้ายเข้ามานอนในห้องพ่อแม่

             หลังจากนอนพลิกไปพลิกมาในความมืด ฟังเสียงลมพัดใบไม้กิ่งไม้ไหวเป็นระยะ ทันใด เด็กชายอู๋ก็ต้องตัวเย็นเฉียบ ลืมตาโพลง เมื่อได้ยินเสียงพูดแบบคนแก่ยานคางเยือกเย็นว่า  อยู่ไหนเอ่ย  อยู่ไหนเอ่ย...   ซึ่งฟังเป็นเสียงอันเยือกเย็นของยายบุญล้อม  ดังซ้ายทีขวาที เหมือนเจ้าของเสียงกำลังเดินวนอยู่ใต้ถุน 

             เณรอู๋เล่าว่าต้องนอนตัวแข็ง ไม่กล้าร้องโวยวายกลัวโดนพ่อแม่ดุเอาว่า กลัวไม่เข้าเรื่อง  เสียงร้องของยายบุญล้อมดังวนไปวนมา อยู่ใต้ถุนพักหนึ่งก่อนดังห่างออกไปทางหลังบ้าน ซึ่งบริเวณนั้นเด้กชายอู๋ เคยไปซ่อนตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้เวลาเล่นซ่อนแอบ 

             ถึงจะกลัวปานใด ก็ยังอยากรู้อยากเห็น ให้รู้แน่แก่ใจกันไปเลย ฝาบ้านเป็นไม้เก่า ๆ บางจุดมีรอยแยกแตก พอมองลอดออกไปด้านนอกได้  เด็กชายอู๋ค่อย ๆ ขยับตัวไปมองผ่านช่องรอยแยกของไม้
 
             คืนนี้มีแสงจันทร์เสี้ยว เด็กชายอู๋สาบานเลยว่า ร่างที่ยืนนิ่งอยู่ข้างบ้านใกล้ ๆ ยุ้งฉางข้าว คือร่างของยายบุญล้อม ในชุดเสื้อคอกระเช้าผ้าซิ่นตัวโปรด แกยกมือป้องใบหน้า มองซ้ายทีขวาทีพร้อมกับพูดช้าๆ ว่า อยู่ไหนเอ่ย   อยู่ไหนเอ่ย...เห็นดังนั้น เด็กชายอู๋ถึงกับตะลึง ความกลัววิ่งจับขั้วหัวใจ เมื่อความรู้สึกบอกย้ำกับตัวเองว่า ยายบุญล้อมตายไปแล้ว เวลานั้นมองหน้ายายบุญล้อมไม่ชัดเจนนัก เพราะแสงจันทร์ไม่สว่างพอ แต่มั่นใจว่าเป็นยายบุญล้อมแน่นอน

             เหมือนยายบุญล้อมจะรู้ว่า มีคนกำลังแอบมองจากฝาบ้าน ยายแกหยุดนิ่ง ลดมือลงจากการป้องใบหน้า จ้องเขม็งมายังตำแหน่งที่เด็กชายอู๋กำลังนอนตัวแข็ง  เสียงพูดแหบๆ ว่า  อ้อ อยู่นี่เอง  แล้วแกก็เริ่มเดินอย่างช้า ๆ ออกมาจากเงาไม้

             คราวนี้แสงจันทร์ส่องสว่างให้เห็นเต็มร่าง ยายบุญล้อมไม่ได้มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว แต่เหมือนคนปกติดี ๆ นี่เอง ซึ่งคงจะไม่ทำให้ขนพองสยองเกล้า ถ้าไม่รู้สึกว่า นั่นคือคนตายไปแล้ว 

             ยายบุญล้อม ยกมือ ชี้มายังจุดที่เด็กชายอู๋นอนแอบมองอยู่ ใบหน้าของแกยิ้มละมัย เดินตรงมาหาอย่างช้า ๆ เด็กชายอู๋ใจหายวาบ ผงะออกมาจากการแอบมองทันที เอาผ้าห่มคลุมโปงหัวจดเท้าเอามือปิดหูแน่น นอนตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว  นานจนคิดว่าผีคุณยายบุญล้อมคงไม่อยู่แล้ว จึงค่อย ๆ  เปิดผ้าห่มคลุมหน้าออกมา 

             แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นร่างของยายบุญล้อมครึ่งท่อนบน ยื่นโค้งยาวเข้ามาทางหน้าต่าง ก้มหน้าลงมอง เห็นชัดเจนในความมืดว่ายายแกกำลังจ้องหน้ายิ้มให้ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเมตตา เหมือนสมัยครั้งยังมีชีวิตไม่มีผิด แกยกมือขึ้นชี้ลงมา แล้วร้องเสียงดังลั่นว่า โป้ง  อู๋!

             เท่านั้นแหละ เด็กชายอู๋แหกปากร้องลั่นบ้าน จนทุกคืนตื่นตกใจ ลุกมาจุดตะเกียงถามหาสาเหตุพ่อแม่พยายามถามสาเหตุ แต่พอฟังแล้วพ่อแม่บอกว่าคงฝันร้ายไป เด็กชายอู๋ก็อยากเชื่อเหมือนกันว่าเป็นเพียงฝันร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องเท่านั้น 
 
             ต่อมา ยายบุญล้อมยังคงปรากฏตัวให้เห็นเรื่อย ๆ ไม่เลือกเวลาและสถานที่ เรียกว่าผิดธรรมชาติของการหลอกหลอนชนิดไม่เคยมีในตำรากันเลยทีเดียว

             หลังจากบวชหน้าไฟ เณรอู๋ไม่กล้าสึก เพราะแม้แต่ในวัด ยังได้ยินเสียงของยายเดินตามหา ขนาดในวัดยังแค่นี้ ถ้าในบ้านจะแค่ไหน  ต่อมามีพระและสามเณรรูปอื่น ได้ยินเสียงของยายบุญล้อมเหมือนกัน ญาติพี่น้องทำบุญกรวดน้ำให้ยังไงก็เหมือนเดิม  สุดท้ายเจ้าอาวาสวัดนั้นต้องส่งตัวเณรอู๋มาวัดข้างบ้านผม ซึ่งคิดว่าที่นี่ เอาอยู่
 
             ฟังที่เณรอู๋เล่า นึกภาพตามแล้วทำให้รู้สึกเห็นใจเณรอู๋จริง ๆ เพราะการมาเยือนของยายบุญล้อม มาแบบทำให้ตกใจเสมอ อยู่ในห้องน้ำอยู่ ดี ๆ ยายบุญล้อมก็โผล่ออกมาจากเพดาน โป้ง!  แม้แต่อยู่โรงเรียนกับเพื่อน ๆ หลายครั้งมองเห็นยายบุญล้อมเอามือป้องหน้า เดินสอดส่ายสายตาทำท่ามองหา ปะปนอยู่กับบรรดานักเรียนหรือครู  หรือไม่ก็ยืนนิ่งหันหลังเอามือปิดตา นับเลขหนึ่ง สอง  สาม อยู่ตามมุมห้อง พอเจอยายบุญล้อมทีไร ก็ต้องรีบเผ่นหนีไปให้ไกล ก่อนที่ยายบุญล้อมแกจะหาเจอแล้ว พุ่งตรงเข้ามา โป้งอย่างรวดเร็ว

             ผมถามเณรอู๋ว่า ถ้ายายบุญล้อมมาแบบไม่น่ากลัว ไม่ต้องใส่ใจได้ไหม ทำเป็นไม่สนใจ แกอยากทำอะไรก็ทำไป  เณรอู๋ส่ายหน้าตอบว่า ไม่ไหว    ทำอะไรอยู่เพลิน ๆ  จู่ ๆ ยายแกก็พุ่งพรวดเข้ามาโป้ง  เกรงว่าจะตกใจ ช็อก ตายไปก่อน  พวกเณรเพื่อนที่นั่งล้อมวงฟังอยู่ต่างพากันร้องฮือ บอกว่า แบบนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่