ชีวิตก็เหมือนเป็นการเดินทางอย่างหนึ่งที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและพาเราผ่านเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตราวกับเป็นภาพวิวที่พบเห็นได้เมื่อเราเดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง ผมเดินมาจนถึงทางแยกตรงหลักกิโลเมตรที่ 40 พอดีเป๊ะ เลยมาเล่าสู่กันฟังสำหรับคนที่อาจจะกำลังเดินเข้ามาหรืออยู่ที่ทางแยกเดียวกันกับผม
คุณเคยตกหลุมรักใครซักคนแล้วพบว่าเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของช่วงจุดชีวิตสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่มั้ยครับ เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณ 15-16 ปี ผมตกหลุมรักเป็นครั้งแรก แต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ในความรักมันทำให้ผมคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้คือการตัดสินใจครั้งสุดท้ายทั้งๆ ที่มันคือครั้งแรกของผม จะด้วยเหตุเพราะความเป็นวัยรุ่นที่ได้รับอิทธิพลของโฮโมนที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ทำให้ผมรู้สึกอยากทุ่มชีวิตทั้งหมดที่มีให้กับความรักนี้และต้องการให้มันเป็นความรักครั้งสุดท้ายไปโดยปริยาย แต่นั่นเป็นเพียงการด้อยความฉลาดของผมเองและการเดินทางของผมก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้แหละครับ
ผมสนุกและเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์ครั้งแรกนี้จนไม่อยากจะให้มันจบลง ในขณะที่คนรอบข้างที่ผ่านประสบการณ์มาก่อนก็มักจะบอกไปในทำนองเดียวกันว่า
"ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูกันไปก่อน เผื่อไปกันไม่ได้จะได้มีทางออก"
ก็แล้วยังงัยล่ะ…อนาคตไม่มีใครรู้แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราในวันนี้นี่นา ผมคิดในใจ ทั้งๆ ที่ก็กลัวว่ามันจะเกิดขึ้น อาจจะเพราะเหตุนี้ผมก็เริ่มต้นคิดว่าผมต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อที่เมื่อใดที่เรามีปัญหาเราจะแยกจากกันไม่ได้ หลังจากคิดไปคิดมาก็ลงมือทำและพยายามอยู่ระยะเวลาหนึ่งจนผลที่ออกมาคือครอบครัวของเราทั้งสองคนก็สนิทกัน เอาล่ะ! สำเร็จไปอีกขั้นต่อไปก็ต้องหมั้นและแต่งงานแต่เดี๋ยวก่อน…
…ยังเรียนอยู่เลย…
…ความสามารถในการรับผิดชอบอนาคตยังไม่มีเลย…
…จะรีบไปไหน…
ก็เพราะใจมันหวงและไม่อยากให้มันจบลงง่ายๆ นั่นแหละ พอถึงเวลาไปสู่วัยรุ่นและต่างคนต้องไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมันก็มาถึง ความสัมพันธ์ก็ยุติลงด้วยหลายปัจจัยแวดล้อมในเวลานั้น เราตกลงกันว่าจะจบกันเท่านี้จากนี้ไปก็ไปเริ่มต้นใหม่ และช่วงเวลาหลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายนักหรอกสำหรับทั้งสองฝ่าย มันก็จะอึนๆ ไปพักนึงและอยู่กับความไม่คุ้นเคยกับการไม่มีความสัมพันธ์จนวันหนึ่งมันหายดีไปเองเร็วช้าต่างกันไป
บางครั้งเราก็คิดว่าเรารอบคอบแล้ว เราป้องกันทุกอย่างเอาไว้แล้วแต่เราก็เหมือนคนที่มองโลกทั้งใบผ่านรูกุญแจที่เล็กนิดเดียว เรายังไม่เห็นอีกหลายสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น และเรายังไม่มีประสบการณ์เพราะมันยังมาไม่ถึง ทุกๆ การตัดสินใจเราจึงควรให้โอกาสกับตัวเอง คิดถึงตัวเอง และรักตัวเองไปพร้อมๆ กับรักที่สิ่งเรากำลังจะตัดสินใจทิ้งเพื่อจะเดินเข้าไปหาสิ่งใหม่ แม้มันไม่ได้ดั่งใจในที่สุดแต่มันก็จะมีประตูบานน้อยๆ เปิดเอาไว้ให้เราเดินกลับออกมาแล้วกอดตัวเองไว้แน่นๆ อย่างอบอุ่น
อ่านมาถึงตรงนี้มันก็เหมือนเรื่องราวต่างๆ มันจะจบแค่นี้แต่เปล่าเลย เมื่อเวลาผ่านพ้นมาจนผมเข้าสู่วัยทำงานและเริ่มมีงานทำที่มั่นคงเพียงพอในระยะเริ่มต้นของคนที่จบการศึกษาออกมาใหม่ๆ ประมาณ 2-3 ปี ผมก็เริ่มรู้สึกว่าหัวใจอยากที่จะเริ่มต้นใหม่ แต่เพราะประสบการณ์ของความสัมพันธ์ที่ผ่านผมจึงค่อยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบเหมือนก่อนหน้านี้ ผมเฝ้ามองคนที่ผมรู้สึกสนใจในเวลานั้นพยายามสังเกตุพฤติกรรมของทุกคนที่ผ่านเข้ามาในความสนใจว่าเข้าตอบสนองต่ออารมณ์ต่างๆ อย่างไร และเอาพฤติกรรมนั้นคูณ 10 เท่าดูซิว่าผมรับได้มั๊ย ใช่ครับ…
…ทั้งหมดเกิดขึ้นในจินตนาการของผมเอง…
…สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง…
…จากพื้นฐานความเป็นตัวผมทั้งนั้น…
ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่กับใคร แต่ใครจะรู้หรือจะไปคิดว่าผมก็ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่กับความสัมพันธ์เดิมที่ยุติไปแล้วก่อนหน้านี้
"ความเปลี่ยนแปลงของความคิดคนเรามันก็จะปรับเปลี่ยนไปตามวัยและประสบการณ์ของเราเอง"
ในเวลานั้นผมก็มีความคิดที่มีหลักเหตุและผลมากขึ้น ไม่ได้เลือกแต่จะใช้ความรู้สึกและอารมณ์ตัดสินใจแต่เพียงลำพัง ม่ะ…เริ่มกันใหม่อีกรอบครั้งนี้ขอให้ดีขึ้น เราก็คุยกันถึงข้อตกลงต่างๆ ว่า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ผมทราบทั้งหมดที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกไว้ แต่ผมไม่ได้บอกทั้งหมดที่ผมต้องการเพราะรู้สึกว่าผมเห็นแก่ตัวจังถ้าผมขอสิ่งเหล่านั้น เพราะความไม่กล้าแสดงออกตรงนี้ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดที่กำลังจะตามมาแหละ
หลังจากที่เรากลับมาเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางไกลกันไม่นานผมก็ทราบว่าเรากำลังจะมีลูกคนแรก แต่แล้วยังงัยล่ะก็เราตัดสินใจไปแล้วว่าเราจะกลับเข้ามาในความสัมพันธ์นี้ ผมไม่ได้ถูกบังคับและได้รับโอกาสให้เลือกที่จะตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือว่าพอแค่นี้ หลังจากใช้เวลาอยู่พักหนึ่งผมก็ตัดสินใจว่า…ไปต่อ เตรียมใจไว้ว่าเมื่อตัดสินใจไปแล้วผลที่ตามมาก็คือเราตัดสินใจเองไม่มีใครบังคับ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะการตัดสินใจนี้มันคือการเข้าร่วมผูกพันธ์กันมากกว่าแค่ความสัมพันธ์ทางความรู้สึกและเราจะเริ่มต้นครอบครัวพร้อมด้วยสมาชิกใหม่ทันที หลังจากแต่งงานและจดทะเบียนสมรสเราก็เดินทางไปที่ต่างประเทศและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 1 ปี ก่อนจะกลับมาพร้อมสมาชิกใหม่ 1 คน
เมื่อกลับเริ่มต้นชีวิตกันใหม่อีกครั้งที่ประเทศไทย ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยสีสันที่แปลกใหม่ไปหมดทั้งที่รู้สึกชอบและไม่ชอบ รู้สึกพอใจและไม่พอใจ และก็เพราะผมเลือกที่จะเก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้เงียบๆ ก็เลยมีหลายอย่างที่ไม่พูดแต่ก็ไม่ชอบ ถ้ามันเป็นเรื่องนอกบ้านก็คงไม่ได้จะมีปัญหาอะไรมากแต่มันดันเป็นเรื่องในบ้านจนในที่สุดปัญหาที่ไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดมันก็มาถึงจุดเริ่มต้นของมัน
เริ่มจากความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างเป็นรอยบางๆ ที่แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันก็กว้างขึ้นจนไม่ใช่แม้แต่ตาเปล่าจะมองเห็นแต่มันกว้างจนเอาอะไรมาบังไว้ไม่มิด ใครๆ ที่ผ่านเข้ามาก็จะสังเกตุเห็นได้ว่ามันมีช่องว่างหนึ่งที่ใหญ่มากอยู่ระหว่างความสัมพันธ์ ผมเลือกที่จะใช้เวลาปรับตัวอย่างสุดแรงเกิดให้อยู่กับช่องว่างนี้ให้ได้เพราะช่องว่างนี้ทำให้ผมพบความสงบในพื้นที่ของผมเอง และในที่สุดช่องว่างมันกำลังถูกเติมให้กลับมาเต็มด้วยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผม แต่ไม่เป็นไรผมยอมที่จะรักษาพื้นที่อันสงบสุขของผมไว้ดีกว่า
เรื่องราวก็ดำเนินไปเหมือนครอบครัวที่มีปัญหาความสัมพันธ์กันจนมาถึงวันนี้ในวันที่ผมเดินทางมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 40 (อายุ 40 ปี) สถานการณ์เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ ในครอบครัวเรามีสมาชิกตัวน้อยๆ เพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว และมีสมาชิกในบ้านอีกคนหนึ่งที่กำลังพยายามเข้ามาเติมช่องว่างที่เกิดขึ้นให้เต็ม โดยเริ่มเติมจากฝั่งตรงกันข้ามกับฝั่งที่ผมยืนอยู่ ผมคิดว่าผมเข้มแข็งพอจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้และผมก็ผ่านมันมาได้นะครับแม้จะเครียดจนนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง เพื่อจะพยายามรักษาใจตัวเองจากความรู้สึกโดดเดี่ยว พอใจมันหายดีมันก็อยากจะเริ่มต้นใหม่….อีกละ
"ความสามารถของหัวใจเราที่จะทนทานต่อความผิดหวังไปเรื่อยๆ นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ"
ความสัมพันธ์ใหม่ผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแต่รอบนี้เป็นความสัมพันธ์ใหม่หมดทุกอย่างทั้งรสนิยมและตัวบุคคล มันดีมากครับเพราะว่าในความสัมพันธ์นี้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่จากการต้องเป็นผู้ให้มาเป็นผู้รับแบบเต็มคาราเบล คือ มันดีมากอ่ะ ไม่รู้จะบรรยายยังงัย แต่สรุปได้ว่า
…ผมไม่ได้แบกรับความคาดหวังอะไร…
…ผมไม่ต้องรับแรงกระแทกอะไร…
…ผมสามารถที่จะรักในแบบที่ผมอยากจะรักและ…
…พร้อมจะให้เมื่อผมอยากจะให้โดยไม่เคยถูกร้องขอ…
ทุกคนคงยังไม่ลืมว่าผมยังมีพันธะทางความสัมพันธ์ที่ยังดำเนินอยู่ไปพร้อมๆ กัน แต่ที่ผ่านมามันก็เหมือนจะมีเพียงแค่ความรับผิดชอบโดยที่มันไม่มีความรักเหลืออยู่แล้วอย่างสิ้นเชิง ก็อย่างที่ทุกคนอาจจะคาดเดาไว้ได้บ้างว่า ผมก็ตัดสินใจยุติมันลงด้วยการหย่า
ตอนนี้ผมมีความสุขมากแล้วครับและก็ผ่านความเครียดมากที่สุดมาได้แล้วกับกระบวนการหย่าแบบที่ยอมรับเลยว่าเครียดจนนอนไม่หลับเพราะว่าต้องตัดสินใจหลายอย่างอย่างสมเหตุสมผลและต้องระมัดระวังความเจ็บปวดที่จากเดิมช่องว่างในครอบครัวมันส่งผลอยู่แล้วการหย่าจะส่งผลหนักขึ้นไปอีก แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้แล้วต่างคนจะได้โผล่หัวขึ้นมาหายในและความสุขในรูปแบบใหม่อีกครั้งในที่สุด
จบแล้วครับผมตัดสินใจอย่างดีและทบทวนอย่างดีที่สุดแล้ว จากนี้ไปก็เป็นปริศนาที่ยังมาไม่ถึงและผมก็จะรักตัวเองไปทีละวันโดยไม่สนใจที่จะนับแล้วว่ามันผ่านมาเท่าไหร่เพราะผมไม่ต้องการคิดถึงจุดสิ้นสุดมากเท่ากับว่ามันเป็นรักที่ดีในทุกวัน
"ถ้าเราทำให้ดีไปทีละวันเดี๋ยววันนึงมันจะกลายเป็นทุกวันเองนั่นแหละ"
ถ้าคุณอยู่ที่หลัก กม. เดียวกัน ณ ทางแยกเดียวกันกับผมตอนนี้ ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด อย่ารีบ แต่ต้องรักตัวเองเพราะว่ามันไม่ได้ผิดอะไรและผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะมีบทเรียนที่ซ่อนอยู่ที่สามารถสอนคุณได้หรือแนะนำคุณได้ว่าคุณควรเลือกอะไรสำหรับตัวคุณเอง
หลังจากผ่านหลักกิโลเมตรนี้ไปได้แล้วผมก็ยังเดินทางอยู่นะ มุ่งหน้าสู่หลักกิโลเมตรอันถัดไปนั่นแหละแล้วคุณก็จะผ่านมันไปไดในที่สุด
จบบริบูรณ์
หลักกิโลเมตรที่ 40
คุณเคยตกหลุมรักใครซักคนแล้วพบว่าเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของช่วงจุดชีวิตสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่มั้ยครับ เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณ 15-16 ปี ผมตกหลุมรักเป็นครั้งแรก แต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ในความรักมันทำให้ผมคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้คือการตัดสินใจครั้งสุดท้ายทั้งๆ ที่มันคือครั้งแรกของผม จะด้วยเหตุเพราะความเป็นวัยรุ่นที่ได้รับอิทธิพลของโฮโมนที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ทำให้ผมรู้สึกอยากทุ่มชีวิตทั้งหมดที่มีให้กับความรักนี้และต้องการให้มันเป็นความรักครั้งสุดท้ายไปโดยปริยาย แต่นั่นเป็นเพียงการด้อยความฉลาดของผมเองและการเดินทางของผมก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้แหละครับ
ผมสนุกและเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์ครั้งแรกนี้จนไม่อยากจะให้มันจบลง ในขณะที่คนรอบข้างที่ผ่านประสบการณ์มาก่อนก็มักจะบอกไปในทำนองเดียวกันว่า
"ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูกันไปก่อน เผื่อไปกันไม่ได้จะได้มีทางออก"
ก็แล้วยังงัยล่ะ…อนาคตไม่มีใครรู้แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราในวันนี้นี่นา ผมคิดในใจ ทั้งๆ ที่ก็กลัวว่ามันจะเกิดขึ้น อาจจะเพราะเหตุนี้ผมก็เริ่มต้นคิดว่าผมต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อที่เมื่อใดที่เรามีปัญหาเราจะแยกจากกันไม่ได้ หลังจากคิดไปคิดมาก็ลงมือทำและพยายามอยู่ระยะเวลาหนึ่งจนผลที่ออกมาคือครอบครัวของเราทั้งสองคนก็สนิทกัน เอาล่ะ! สำเร็จไปอีกขั้นต่อไปก็ต้องหมั้นและแต่งงานแต่เดี๋ยวก่อน…
…ยังเรียนอยู่เลย…
…ความสามารถในการรับผิดชอบอนาคตยังไม่มีเลย…
…จะรีบไปไหน…
ก็เพราะใจมันหวงและไม่อยากให้มันจบลงง่ายๆ นั่นแหละ พอถึงเวลาไปสู่วัยรุ่นและต่างคนต้องไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมันก็มาถึง ความสัมพันธ์ก็ยุติลงด้วยหลายปัจจัยแวดล้อมในเวลานั้น เราตกลงกันว่าจะจบกันเท่านี้จากนี้ไปก็ไปเริ่มต้นใหม่ และช่วงเวลาหลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายนักหรอกสำหรับทั้งสองฝ่าย มันก็จะอึนๆ ไปพักนึงและอยู่กับความไม่คุ้นเคยกับการไม่มีความสัมพันธ์จนวันหนึ่งมันหายดีไปเองเร็วช้าต่างกันไป
บางครั้งเราก็คิดว่าเรารอบคอบแล้ว เราป้องกันทุกอย่างเอาไว้แล้วแต่เราก็เหมือนคนที่มองโลกทั้งใบผ่านรูกุญแจที่เล็กนิดเดียว เรายังไม่เห็นอีกหลายสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น และเรายังไม่มีประสบการณ์เพราะมันยังมาไม่ถึง ทุกๆ การตัดสินใจเราจึงควรให้โอกาสกับตัวเอง คิดถึงตัวเอง และรักตัวเองไปพร้อมๆ กับรักที่สิ่งเรากำลังจะตัดสินใจทิ้งเพื่อจะเดินเข้าไปหาสิ่งใหม่ แม้มันไม่ได้ดั่งใจในที่สุดแต่มันก็จะมีประตูบานน้อยๆ เปิดเอาไว้ให้เราเดินกลับออกมาแล้วกอดตัวเองไว้แน่นๆ อย่างอบอุ่น
อ่านมาถึงตรงนี้มันก็เหมือนเรื่องราวต่างๆ มันจะจบแค่นี้แต่เปล่าเลย เมื่อเวลาผ่านพ้นมาจนผมเข้าสู่วัยทำงานและเริ่มมีงานทำที่มั่นคงเพียงพอในระยะเริ่มต้นของคนที่จบการศึกษาออกมาใหม่ๆ ประมาณ 2-3 ปี ผมก็เริ่มรู้สึกว่าหัวใจอยากที่จะเริ่มต้นใหม่ แต่เพราะประสบการณ์ของความสัมพันธ์ที่ผ่านผมจึงค่อยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบเหมือนก่อนหน้านี้ ผมเฝ้ามองคนที่ผมรู้สึกสนใจในเวลานั้นพยายามสังเกตุพฤติกรรมของทุกคนที่ผ่านเข้ามาในความสนใจว่าเข้าตอบสนองต่ออารมณ์ต่างๆ อย่างไร และเอาพฤติกรรมนั้นคูณ 10 เท่าดูซิว่าผมรับได้มั๊ย ใช่ครับ…
…ทั้งหมดเกิดขึ้นในจินตนาการของผมเอง…
…สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง…
…จากพื้นฐานความเป็นตัวผมทั้งนั้น…
ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่กับใคร แต่ใครจะรู้หรือจะไปคิดว่าผมก็ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่กับความสัมพันธ์เดิมที่ยุติไปแล้วก่อนหน้านี้
"ความเปลี่ยนแปลงของความคิดคนเรามันก็จะปรับเปลี่ยนไปตามวัยและประสบการณ์ของเราเอง"
ในเวลานั้นผมก็มีความคิดที่มีหลักเหตุและผลมากขึ้น ไม่ได้เลือกแต่จะใช้ความรู้สึกและอารมณ์ตัดสินใจแต่เพียงลำพัง ม่ะ…เริ่มกันใหม่อีกรอบครั้งนี้ขอให้ดีขึ้น เราก็คุยกันถึงข้อตกลงต่างๆ ว่า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ผมทราบทั้งหมดที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกไว้ แต่ผมไม่ได้บอกทั้งหมดที่ผมต้องการเพราะรู้สึกว่าผมเห็นแก่ตัวจังถ้าผมขอสิ่งเหล่านั้น เพราะความไม่กล้าแสดงออกตรงนี้ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดที่กำลังจะตามมาแหละ
หลังจากที่เรากลับมาเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางไกลกันไม่นานผมก็ทราบว่าเรากำลังจะมีลูกคนแรก แต่แล้วยังงัยล่ะก็เราตัดสินใจไปแล้วว่าเราจะกลับเข้ามาในความสัมพันธ์นี้ ผมไม่ได้ถูกบังคับและได้รับโอกาสให้เลือกที่จะตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือว่าพอแค่นี้ หลังจากใช้เวลาอยู่พักหนึ่งผมก็ตัดสินใจว่า…ไปต่อ เตรียมใจไว้ว่าเมื่อตัดสินใจไปแล้วผลที่ตามมาก็คือเราตัดสินใจเองไม่มีใครบังคับ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะการตัดสินใจนี้มันคือการเข้าร่วมผูกพันธ์กันมากกว่าแค่ความสัมพันธ์ทางความรู้สึกและเราจะเริ่มต้นครอบครัวพร้อมด้วยสมาชิกใหม่ทันที หลังจากแต่งงานและจดทะเบียนสมรสเราก็เดินทางไปที่ต่างประเทศและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 1 ปี ก่อนจะกลับมาพร้อมสมาชิกใหม่ 1 คน
เมื่อกลับเริ่มต้นชีวิตกันใหม่อีกครั้งที่ประเทศไทย ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยสีสันที่แปลกใหม่ไปหมดทั้งที่รู้สึกชอบและไม่ชอบ รู้สึกพอใจและไม่พอใจ และก็เพราะผมเลือกที่จะเก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้เงียบๆ ก็เลยมีหลายอย่างที่ไม่พูดแต่ก็ไม่ชอบ ถ้ามันเป็นเรื่องนอกบ้านก็คงไม่ได้จะมีปัญหาอะไรมากแต่มันดันเป็นเรื่องในบ้านจนในที่สุดปัญหาที่ไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดมันก็มาถึงจุดเริ่มต้นของมัน
เริ่มจากความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างเป็นรอยบางๆ ที่แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันก็กว้างขึ้นจนไม่ใช่แม้แต่ตาเปล่าจะมองเห็นแต่มันกว้างจนเอาอะไรมาบังไว้ไม่มิด ใครๆ ที่ผ่านเข้ามาก็จะสังเกตุเห็นได้ว่ามันมีช่องว่างหนึ่งที่ใหญ่มากอยู่ระหว่างความสัมพันธ์ ผมเลือกที่จะใช้เวลาปรับตัวอย่างสุดแรงเกิดให้อยู่กับช่องว่างนี้ให้ได้เพราะช่องว่างนี้ทำให้ผมพบความสงบในพื้นที่ของผมเอง และในที่สุดช่องว่างมันกำลังถูกเติมให้กลับมาเต็มด้วยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผม แต่ไม่เป็นไรผมยอมที่จะรักษาพื้นที่อันสงบสุขของผมไว้ดีกว่า
เรื่องราวก็ดำเนินไปเหมือนครอบครัวที่มีปัญหาความสัมพันธ์กันจนมาถึงวันนี้ในวันที่ผมเดินทางมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 40 (อายุ 40 ปี) สถานการณ์เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ ในครอบครัวเรามีสมาชิกตัวน้อยๆ เพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว และมีสมาชิกในบ้านอีกคนหนึ่งที่กำลังพยายามเข้ามาเติมช่องว่างที่เกิดขึ้นให้เต็ม โดยเริ่มเติมจากฝั่งตรงกันข้ามกับฝั่งที่ผมยืนอยู่ ผมคิดว่าผมเข้มแข็งพอจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้และผมก็ผ่านมันมาได้นะครับแม้จะเครียดจนนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง เพื่อจะพยายามรักษาใจตัวเองจากความรู้สึกโดดเดี่ยว พอใจมันหายดีมันก็อยากจะเริ่มต้นใหม่….อีกละ
"ความสามารถของหัวใจเราที่จะทนทานต่อความผิดหวังไปเรื่อยๆ นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ"
ความสัมพันธ์ใหม่ผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแต่รอบนี้เป็นความสัมพันธ์ใหม่หมดทุกอย่างทั้งรสนิยมและตัวบุคคล มันดีมากครับเพราะว่าในความสัมพันธ์นี้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่จากการต้องเป็นผู้ให้มาเป็นผู้รับแบบเต็มคาราเบล คือ มันดีมากอ่ะ ไม่รู้จะบรรยายยังงัย แต่สรุปได้ว่า
…ผมไม่ได้แบกรับความคาดหวังอะไร…
…ผมไม่ต้องรับแรงกระแทกอะไร…
…ผมสามารถที่จะรักในแบบที่ผมอยากจะรักและ…
…พร้อมจะให้เมื่อผมอยากจะให้โดยไม่เคยถูกร้องขอ…
ทุกคนคงยังไม่ลืมว่าผมยังมีพันธะทางความสัมพันธ์ที่ยังดำเนินอยู่ไปพร้อมๆ กัน แต่ที่ผ่านมามันก็เหมือนจะมีเพียงแค่ความรับผิดชอบโดยที่มันไม่มีความรักเหลืออยู่แล้วอย่างสิ้นเชิง ก็อย่างที่ทุกคนอาจจะคาดเดาไว้ได้บ้างว่า ผมก็ตัดสินใจยุติมันลงด้วยการหย่า
ตอนนี้ผมมีความสุขมากแล้วครับและก็ผ่านความเครียดมากที่สุดมาได้แล้วกับกระบวนการหย่าแบบที่ยอมรับเลยว่าเครียดจนนอนไม่หลับเพราะว่าต้องตัดสินใจหลายอย่างอย่างสมเหตุสมผลและต้องระมัดระวังความเจ็บปวดที่จากเดิมช่องว่างในครอบครัวมันส่งผลอยู่แล้วการหย่าจะส่งผลหนักขึ้นไปอีก แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้แล้วต่างคนจะได้โผล่หัวขึ้นมาหายในและความสุขในรูปแบบใหม่อีกครั้งในที่สุด
จบแล้วครับผมตัดสินใจอย่างดีและทบทวนอย่างดีที่สุดแล้ว จากนี้ไปก็เป็นปริศนาที่ยังมาไม่ถึงและผมก็จะรักตัวเองไปทีละวันโดยไม่สนใจที่จะนับแล้วว่ามันผ่านมาเท่าไหร่เพราะผมไม่ต้องการคิดถึงจุดสิ้นสุดมากเท่ากับว่ามันเป็นรักที่ดีในทุกวัน
"ถ้าเราทำให้ดีไปทีละวันเดี๋ยววันนึงมันจะกลายเป็นทุกวันเองนั่นแหละ"
ถ้าคุณอยู่ที่หลัก กม. เดียวกัน ณ ทางแยกเดียวกันกับผมตอนนี้ ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด อย่ารีบ แต่ต้องรักตัวเองเพราะว่ามันไม่ได้ผิดอะไรและผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะมีบทเรียนที่ซ่อนอยู่ที่สามารถสอนคุณได้หรือแนะนำคุณได้ว่าคุณควรเลือกอะไรสำหรับตัวคุณเอง
หลังจากผ่านหลักกิโลเมตรนี้ไปได้แล้วผมก็ยังเดินทางอยู่นะ มุ่งหน้าสู่หลักกิโลเมตรอันถัดไปนั่นแหละแล้วคุณก็จะผ่านมันไปไดในที่สุด
จบบริบูรณ์