ขวัญมาเริ่มงานที่หน่วยงานราชการแห่งนี้ได้สามเดือนแล้วค่ะ แม้จะยังเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราว แต่หัวหน้าก็ให้ขวัญได้ร่วมกิจกรรมทุกอย่างกับข้าราชการประจำ อย่างเช่น การสัมมนาระดับประเทศที่มีทั้งข้าราชการพลเรือน ทหารและตำรวจ รวมแล้วเกือบสองร้อยคน เป็นการสัมมนาที่โรงแรมใหญ่ริมหาดชะอำ
งานนี้ขวัญทั้งตื่นเต้นและดีใจที่จะได้พบเพื่อนที่ทำงานอยู่หน่วยงานเดียวกัน แต่อยู่ต่างสาขา เราพบกันแค่เดือนละครั้งเวลามีประชุมที่ส่วนกลาง
วันแรกของการสัมมนา คนมากมายแน่นห้องประชุมขนาดใหญ่ ขวัญเดินไปนั่งกับเพื่อนคนนึงที่คุ้นหน้าว่าเคยเจอตอนประชุม เธอชื่อ สิริวรรณ เป็นคนยิ้มง่าย ช่างพูดคุย ทำให้ขวัญรู้สึกไม่เก้อเขิน
พวกเราเด็กๆ ชั้นผู้น้อยมักจะเกาะกลุ่มนั่งหลังห้อง แล้วแอบคุยกันบ้างในช่วงการบรรยายที่น่าเบื่อ การจัดที่นั่งไม่ได้เป็นโต๊ะยาว แต่เป็นโต๊ะแยกนั่งโต๊ะละ 2-3 คน โต๊ะข้างๆ สิริวรรณเป็นหนุ่มในเครื่องแบบตำรวจสองนาย เธอหันไปคุยกับเขาบ่อยๆ ขวัญก็ได้แต่ยิ้มพยักพเยิดไปกับเพื่อนเวลาที่
สิริวรรณหันมาขอแรงสนับสนุน
จนถึงเวลาเบรกกาแฟ เพื่อนอีกสามคนคือ จิตตรี ณัฐฐาและอนุวัชร์ ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหลังขวัญก็มาชวนไปดื่มกาแฟ เราคุยกันสนุกเพราะเป็นคนรุ่นเดียวกัน ทำงานสายงานเดียวกัน ประสบการณ์ในการทำงานต่างออฟฟิศก็ทำให้มีเรื่องมาแลกเปลี่ยนกัน
ก่อนกลับเข้าห้องสัมมนา ณัฐฐาบอกว่า
“ขวัญมานั่งกับพวกเรานะ อย่าไปนั่งกับสิริวรรณ”
“ทำไมหรือ”
“ขวัญนภา” เพื่อนเรียกชื่อเต็มยศ “เธอเนี่ยอินโนเซนต์มากเลยนะ ไม่เห็นหรือว่ายัยสิริวรรณเขาอ่อยตำรวจคนนั้นอยู่ ขืนเธอไปนั่งด้วยก็จะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกัน และคงอยากจะอ่อยตำรวจที่นั่งข้างๆ อีกคน”
ขวัญรับฟังงงๆ แล้วมองเพื่อนอีกสองคนที่พยักหน้าชวน นี่เขาทั้งสามคนพยายามปกป้องขวัญหรือ ถ้าเขาหวังดีเช่นนี้ขวัญคงไม่ปฏิเสธ
ตอนกลับเข้าห้องสัมมนา สิริวรรณมองว่าทำไมขวัญไปนั่งโต๊ะข้างหลังไม่มานั่งด้วย ก็เลยแก้ตัวว่ามีเรื่องจะคุยกับจิตตรีและณัฐฐา สิริวรรณพยักหน้าเข้าใจแล้วไม่ว่าอะไร เธอยังคงหันไปคุยกับนายตำรวจหนุ่มคนนั้นไม่สนใจขวัญอีกต่อไป สองสาวที่นั่งขนาบข้างขวัญหันมาสบตาเป็นทำนองว่าเห็นไหม
พอช่วงพักเที่ยง ผู้เข้าสัมมนาจำนวนมากจะไปรับประทานอาหารของโรงแรมที่จัดแบบบุปเฟ่ต์ เห็นปริมาณคนเข้าคิวตักอาหารแล้วชวนให้เพลียใจ
ณัฐฐาหันมาบอกว่า
“เราออกไปกินส้มตำข้างนอกดีกว่า อาหารโรงแรมก็งั้นๆ ไม่อร่อย”
ทุกคนเห็นด้วยแล้วพากันไปนั่งกินส้มตำที่เพิงข้างรั้วโรงแรม คุยหัวเราะกันและเอร็ดอร่อยกับส้มตำรสแซ่บดีกว่าอาหารเลี่ยนๆ ในโรงแรม
ดูแล้วเพื่อนทั้งสามเป็นคนง่ายๆ ติดดิน ไม่สนใจว่าจะต้องทานอาหารระดับโรงแรม ซึ่งทำให้ขวัญรู้สึกดี เรามีอะไรคล้ายๆ กัน
หลังจากงานนั้น เราสี่คนกลายเป็นบัดดี้ หญิงสาม ชายหนึ่ง เราเจอกันเดือนละครั้ง หลังประชุมประจำเดือนเลิกตอนเย็น เราจะไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกัน ถ้าเดือนไหนตรงกับวันเกิดใคร จะเตรียมของขวัญมาให้กัน
แล้วขวัญก็พบว่า ณัฐฐากับอนุวัชร์ เกิดเดือนเดียวกับขวัญ เขาสองคนเกิดวันเดียวกันคือวันที่ 7 ส่วนขวัญเกิดวันที่ 10
มิน่า เราถึงมีอะไรคล้ายกัน เข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ
ณัฐฐาแม้จะอายุน้อยกว่าทุกคนหนึ่งปี แต่ด้วยบุคลิกที่สนุกสนาน ช่างพูด หัวเราะเก่งจึงกลายเป็นหัวโจกของกลุ่ม แล้วมักจะชวนกันทำอะไรแผลงๆ เสมอ อย่างเวลาที่เราจะเดินทางไปร้านอาหาร เราไม่มีรถขับและไม่นั่งแท็กซี่เพื่อความประหยัด แต่จะโหนรถเมล์กันไป เราหัวเราะคิกคักกันตลอดทางและแม้คนในรถมล์จะแน่นแต่เราก็ยังโพสต์ท่าถ่ายรูปเซลฟี่กัน แล้วหัวเราะชอบใจ
บางครั้งเราก็นัดกันในช่วงวันหยุด ไปเดินเล่นเยาวราช ไปหาของอร่อยกินอีกนั่นแหละ เดินไล่กินไปทีละร้าน โดยสั่งจานเดียวแล้วแบ่งสี่
เป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ดี ที่มีแต่ความสุขสนุกสนาน เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เข้าใจกัน ชอบและสนใจอะไรเหมือนกัน อ้อ ลืมบอกไปว่า เพื่อนทั้งสามเรียนจบคณะเดียวกันและจากสถาบันเดียวกัน ยกเว้นขวัญ
แม้จะมีสมาชิกชายในกลุ่ม แต่เราก็เป็นเพื่อนสนิทเท่าๆ กัน ไม่มีชู้สาวหรือ มีแนวโน้มว่าจะชอบกันเกินเพื่อน
อนุวัชร์อายุรุ่นเดียวกับขวัญ เป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม จึงมีหน้าที่คอยดูแลสาวๆ เวลาไปไหนค่ำมืดก็อุ่นใจที่มีเพื่อนผู้ชายคอยดูแล
ส่วนจิตตรีเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ยิ้มหัวเราะเก่ง ถึงเธอจะเรียบร้อยดูเป็นคุณหนูแต่ถ้าเพื่อนชวนทำอะไรขำๆ ก็ร่วมวงด้วยดี ไม่แปลกแยก
เราสี่คน มีณัฐฐากับจิตตรีเท่านั้นที่เป็นข้าราชการประจำ ขวัญกับอนุวัชร์ เป็นลูกจ้างชั่วคราว ดังนั้น สถานะของเราสองคนไม่มั่นคงนัก มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้างเมื่อเงินสนับสนุนจากโครงการพิเศษหมดลง
แล้วมันก็เกิดขึ้น ผู้อำนวยการจึงช่วยเหลือขวัญกับอนุวัชร์ด้วยการโอนย้ายเราให้เข้าไปประจำส่วนกลาง ซึ่งยังมีงบประมาณพอจะจ้างเราสองคนต่ออีก 6 เดือน ให้เรามีเวลาหางานใหม่
ขวัญกับอนุวัชร์จึงได้เจอกันทุกวัน แทนที่จะเจอกันเดือนละครั้ง ส่วนสองสาวก็ยังเจอกันเดือนละครั้งเหมือนเดิม ขวัญดีใจมากที่ได้ทำงานกับเพื่อนสนิท กลางวันเราทานข้าวด้วยกัน ช่วยกันทำงาน บางครั้งไม่มีงานเราก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับอนาคต ขวัญเตรียมตัวหางานใหม่ ส่วนอนุวัชร์มีแพลนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตั้งแต่ขวัญมีเพื่อนผู้ชายมา อนุวัชร์คือเพื่อนที่คุยรู้เรื่องและเข้าใจขวัญมากที่สุด แต่อีกหน่อยเขาก็จะไม่อยู่แล้ว ณัฐฐาเองก็เตรียมสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน
เวลาเกือบสองปีที่เราเคยไปกินเที่ยวสนุกสนานด้วยกันกำลังจะเปลี่ยนไป
กระทรวงการต่างประเทศเปิดสอบบรรจุข้าราชการ เพื่อนที่ออฟฟิศเก่าแนะนำรุ่นพี่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่งให้ขวัญรู้จัก
เขาชื่อ วศิษฐ์
พี่วศิษฐ์เอาตำรามาให้ขวัญอ่านเพื่อเตรียมสอบ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
ขวัญไปสมัครสอบตามคำแนะนำ แต่พอประกาศผลออกมาขวัญสอบไม่ผ่านสองวิชาจากทั้งหมด 6 วิชา พยายามทำใจให้ยอมรับว่านี่คือการสอบแข่งขัน เราสอบได้แค่ดีมากแต่ยังไม่ดีเลิศ
แม้ขวัญจะอดได้งาน แต่พี่วศิษฐ์ก็ปลอบใจให้ลองไปสอบคราวหน้า และยังคงโทรศัพท์มาคุยเรื่อยๆ จนขวัญเริ่มรู้สึกว่าเขามาจีบเรา
จนวันหนึ่งพี่เขานัดมารับขวัญหลังเลิกงานจะพาไปทานข้าว
“วัชร์ เย็นนี้พี่วศิษฐ์จะมารับขวัญตอนเลิกงาน วัชร์ยังไม่เคยเจอพี่เขา เดี๋ยวขวัญจะแนะนำให้รู้จักกันนะ” ขวัญบอกเพื่อนและเขาก็พยักหน้ารับ
เขารู้และเพื่อนร่วมงานในแผนกนั้นก็รู้ว่ามีหนุ่มมาจีบขวัญเพราะพี่เขาจะโทรศัพท์มาหาขวัญทุกวันเวลาบ่ายสองโมง
ถึงเวลาเลิกงาน ขวัญกับอนุวัชร์เดินลงบันไดตึกมาด้วยกัน ขวัญเห็นพี่เขาแล้ว เขายืนคอยอยู่แต่ยังไม่ทันหันมาอนุวัชร์ก็เดินชิ่งหนีไปอีกทาง
ขวัญงงมาก ก็บอกแล้วว่าจะแนะนำให้รู้จักกันแล้วทำไมเดินหนีไปเฉยๆ ตอนนั้นขวัญได้แต่แปลกใจแต่ไม่คิดอะไรมาก
พอวันจันทร์มาทำงาน ขวัญไม่ได้ถามอนุวัขร์ที่เขาเดินหนีไปอย่างนั้น ช่างเถอะ เขาอาจจะมีธุระเร่งด่วนก็ได้
หลายวันต่อมา ขวัญได้คุยโทรศัพท์กับณัฐฐา เลยเล่านี้ให้เพื่อนฟัง
“วัชร์เขาเดินหนีไปเลยหรือ” ณัฐฐาถามย้ำ
“ใช่ ขวัญบอกเขาแล้วนะว่าจะแนะนำให้รู้จักพี่วศิษฐ์ เขาก็โอเครับรู้แต่พอจะเจอเข้าจริง เดินหนีเฉยเลย ประหลาดคน”
“เขาทนเห็นเธอมีแฟนไม่ได้น่ะซิ” เพื่อนพูดโพล่งออกมาตามนิสัยของเธออยู่แล้ว
“อะไรนะ ! ” ขวัญวาบในใจกับสิ่งที่รับรู้ เป็นไปได้อย่างไร หมายความว่า..วัชร์ เขามีความรู้สึกให้ขวัญอย่างนั้นหรือ
“วัชร์เขาเป็นเพื่อนเรานะ เขาเคยบอกเธอหรือว่าเขาไม่อยากให้ฉันมีแฟน” ขวัญพยายามซักไซ้ณัฐฐาต่อ
“ไม่เคยหรอก ฉันพูดเอาเอง” เพื่อนเลี่ยงไป ขวัญเลยไม่อยากเซ้าซี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อนุวัชร์เป็นเพื่อนขวัญจริงๆ ท่าทางขรึมเฉยของเขาไม่เคยมีอาการที่บ่งบอกว่าเขาจะมองขวัญมากกว่าความเป็นเพื่อน แม้เราจะสนิทกัน คุยกันทุกวันแต่เขาไม่เคยจีบขวัญสักนิด
ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้าย ขวัญได้งานใหม่ในบริษัทเอกชน ส่วนอนุวัชร์ไปเรียนต่อที่อเมริกา
วันเดินทาง เราสามคนไปส่งเพื่อนรักที่สนามบิน ตอนร่ำลาก่อนจะเข้าไปในเทอมินัล สองสาวเริ่มมีน้ำหูน้ำตา คิดดูซิ เราเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันมาหลายปี ตอนนี้ต้องมาจากกันไกลจะไม่ให้เสียใจได้อย่างไร
พอสองคนนั้นเริ่มร้องไห้ ขวัญก็ชักจะน้ำตาคลอแต่อายไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“จะร้องไห้ทำไมนะ วัชร์ไปเรียนไม่นานก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องไปร้องให้ให้เขาหรอก” ขวัญทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเราสี่คนก็กอดกันกลม
“ไปล่ะ” อนุวัชร์บอกลา ตบไหล่พวกเราแล้วจากไป
พออนุวัชร์เดินทางไปถึงอเมริกาได้ไม่นาน เขาเขียนจดหมายมาบอกว่ามาถึงเรียบร้อยแล้ว เขาเล่าเรื่องเรียน เรื่องมหาวิทยาลัยและเมืองที่เขาไปอยู่ ตอนท้ายบอกขอบคุณน้ำใจเพื่อนๆ ที่ไปส่ง แม้วันนั้นขวัญไม่ได้ร้องไห้เหมือนสองสาวนั่น แต่เขาก็เห็นว่าขวัญมีน้ำตาให้เขา
“เห็นนะว่าวันนั้นน้ำตาคลอ”
สถานะ : เพื่อน โดย ดรัสวันต์
งานนี้ขวัญทั้งตื่นเต้นและดีใจที่จะได้พบเพื่อนที่ทำงานอยู่หน่วยงานเดียวกัน แต่อยู่ต่างสาขา เราพบกันแค่เดือนละครั้งเวลามีประชุมที่ส่วนกลาง
วันแรกของการสัมมนา คนมากมายแน่นห้องประชุมขนาดใหญ่ ขวัญเดินไปนั่งกับเพื่อนคนนึงที่คุ้นหน้าว่าเคยเจอตอนประชุม เธอชื่อ สิริวรรณ เป็นคนยิ้มง่าย ช่างพูดคุย ทำให้ขวัญรู้สึกไม่เก้อเขิน
พวกเราเด็กๆ ชั้นผู้น้อยมักจะเกาะกลุ่มนั่งหลังห้อง แล้วแอบคุยกันบ้างในช่วงการบรรยายที่น่าเบื่อ การจัดที่นั่งไม่ได้เป็นโต๊ะยาว แต่เป็นโต๊ะแยกนั่งโต๊ะละ 2-3 คน โต๊ะข้างๆ สิริวรรณเป็นหนุ่มในเครื่องแบบตำรวจสองนาย เธอหันไปคุยกับเขาบ่อยๆ ขวัญก็ได้แต่ยิ้มพยักพเยิดไปกับเพื่อนเวลาที่
สิริวรรณหันมาขอแรงสนับสนุน
จนถึงเวลาเบรกกาแฟ เพื่อนอีกสามคนคือ จิตตรี ณัฐฐาและอนุวัชร์ ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหลังขวัญก็มาชวนไปดื่มกาแฟ เราคุยกันสนุกเพราะเป็นคนรุ่นเดียวกัน ทำงานสายงานเดียวกัน ประสบการณ์ในการทำงานต่างออฟฟิศก็ทำให้มีเรื่องมาแลกเปลี่ยนกัน
ก่อนกลับเข้าห้องสัมมนา ณัฐฐาบอกว่า
“ขวัญมานั่งกับพวกเรานะ อย่าไปนั่งกับสิริวรรณ”
“ทำไมหรือ”
“ขวัญนภา” เพื่อนเรียกชื่อเต็มยศ “เธอเนี่ยอินโนเซนต์มากเลยนะ ไม่เห็นหรือว่ายัยสิริวรรณเขาอ่อยตำรวจคนนั้นอยู่ ขืนเธอไปนั่งด้วยก็จะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกัน และคงอยากจะอ่อยตำรวจที่นั่งข้างๆ อีกคน”
ขวัญรับฟังงงๆ แล้วมองเพื่อนอีกสองคนที่พยักหน้าชวน นี่เขาทั้งสามคนพยายามปกป้องขวัญหรือ ถ้าเขาหวังดีเช่นนี้ขวัญคงไม่ปฏิเสธ
ตอนกลับเข้าห้องสัมมนา สิริวรรณมองว่าทำไมขวัญไปนั่งโต๊ะข้างหลังไม่มานั่งด้วย ก็เลยแก้ตัวว่ามีเรื่องจะคุยกับจิตตรีและณัฐฐา สิริวรรณพยักหน้าเข้าใจแล้วไม่ว่าอะไร เธอยังคงหันไปคุยกับนายตำรวจหนุ่มคนนั้นไม่สนใจขวัญอีกต่อไป สองสาวที่นั่งขนาบข้างขวัญหันมาสบตาเป็นทำนองว่าเห็นไหม
พอช่วงพักเที่ยง ผู้เข้าสัมมนาจำนวนมากจะไปรับประทานอาหารของโรงแรมที่จัดแบบบุปเฟ่ต์ เห็นปริมาณคนเข้าคิวตักอาหารแล้วชวนให้เพลียใจ
ณัฐฐาหันมาบอกว่า
“เราออกไปกินส้มตำข้างนอกดีกว่า อาหารโรงแรมก็งั้นๆ ไม่อร่อย”
ทุกคนเห็นด้วยแล้วพากันไปนั่งกินส้มตำที่เพิงข้างรั้วโรงแรม คุยหัวเราะกันและเอร็ดอร่อยกับส้มตำรสแซ่บดีกว่าอาหารเลี่ยนๆ ในโรงแรม
ดูแล้วเพื่อนทั้งสามเป็นคนง่ายๆ ติดดิน ไม่สนใจว่าจะต้องทานอาหารระดับโรงแรม ซึ่งทำให้ขวัญรู้สึกดี เรามีอะไรคล้ายๆ กัน
หลังจากงานนั้น เราสี่คนกลายเป็นบัดดี้ หญิงสาม ชายหนึ่ง เราเจอกันเดือนละครั้ง หลังประชุมประจำเดือนเลิกตอนเย็น เราจะไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกัน ถ้าเดือนไหนตรงกับวันเกิดใคร จะเตรียมของขวัญมาให้กัน
แล้วขวัญก็พบว่า ณัฐฐากับอนุวัชร์ เกิดเดือนเดียวกับขวัญ เขาสองคนเกิดวันเดียวกันคือวันที่ 7 ส่วนขวัญเกิดวันที่ 10
มิน่า เราถึงมีอะไรคล้ายกัน เข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ
ณัฐฐาแม้จะอายุน้อยกว่าทุกคนหนึ่งปี แต่ด้วยบุคลิกที่สนุกสนาน ช่างพูด หัวเราะเก่งจึงกลายเป็นหัวโจกของกลุ่ม แล้วมักจะชวนกันทำอะไรแผลงๆ เสมอ อย่างเวลาที่เราจะเดินทางไปร้านอาหาร เราไม่มีรถขับและไม่นั่งแท็กซี่เพื่อความประหยัด แต่จะโหนรถเมล์กันไป เราหัวเราะคิกคักกันตลอดทางและแม้คนในรถมล์จะแน่นแต่เราก็ยังโพสต์ท่าถ่ายรูปเซลฟี่กัน แล้วหัวเราะชอบใจ
บางครั้งเราก็นัดกันในช่วงวันหยุด ไปเดินเล่นเยาวราช ไปหาของอร่อยกินอีกนั่นแหละ เดินไล่กินไปทีละร้าน โดยสั่งจานเดียวแล้วแบ่งสี่
เป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ดี ที่มีแต่ความสุขสนุกสนาน เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เข้าใจกัน ชอบและสนใจอะไรเหมือนกัน อ้อ ลืมบอกไปว่า เพื่อนทั้งสามเรียนจบคณะเดียวกันและจากสถาบันเดียวกัน ยกเว้นขวัญ
แม้จะมีสมาชิกชายในกลุ่ม แต่เราก็เป็นเพื่อนสนิทเท่าๆ กัน ไม่มีชู้สาวหรือ มีแนวโน้มว่าจะชอบกันเกินเพื่อน
อนุวัชร์อายุรุ่นเดียวกับขวัญ เป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม จึงมีหน้าที่คอยดูแลสาวๆ เวลาไปไหนค่ำมืดก็อุ่นใจที่มีเพื่อนผู้ชายคอยดูแล
ส่วนจิตตรีเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ยิ้มหัวเราะเก่ง ถึงเธอจะเรียบร้อยดูเป็นคุณหนูแต่ถ้าเพื่อนชวนทำอะไรขำๆ ก็ร่วมวงด้วยดี ไม่แปลกแยก
เราสี่คน มีณัฐฐากับจิตตรีเท่านั้นที่เป็นข้าราชการประจำ ขวัญกับอนุวัชร์ เป็นลูกจ้างชั่วคราว ดังนั้น สถานะของเราสองคนไม่มั่นคงนัก มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้างเมื่อเงินสนับสนุนจากโครงการพิเศษหมดลง
แล้วมันก็เกิดขึ้น ผู้อำนวยการจึงช่วยเหลือขวัญกับอนุวัชร์ด้วยการโอนย้ายเราให้เข้าไปประจำส่วนกลาง ซึ่งยังมีงบประมาณพอจะจ้างเราสองคนต่ออีก 6 เดือน ให้เรามีเวลาหางานใหม่
ขวัญกับอนุวัชร์จึงได้เจอกันทุกวัน แทนที่จะเจอกันเดือนละครั้ง ส่วนสองสาวก็ยังเจอกันเดือนละครั้งเหมือนเดิม ขวัญดีใจมากที่ได้ทำงานกับเพื่อนสนิท กลางวันเราทานข้าวด้วยกัน ช่วยกันทำงาน บางครั้งไม่มีงานเราก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับอนาคต ขวัญเตรียมตัวหางานใหม่ ส่วนอนุวัชร์มีแพลนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตั้งแต่ขวัญมีเพื่อนผู้ชายมา อนุวัชร์คือเพื่อนที่คุยรู้เรื่องและเข้าใจขวัญมากที่สุด แต่อีกหน่อยเขาก็จะไม่อยู่แล้ว ณัฐฐาเองก็เตรียมสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน
เวลาเกือบสองปีที่เราเคยไปกินเที่ยวสนุกสนานด้วยกันกำลังจะเปลี่ยนไป
กระทรวงการต่างประเทศเปิดสอบบรรจุข้าราชการ เพื่อนที่ออฟฟิศเก่าแนะนำรุ่นพี่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่งให้ขวัญรู้จัก
เขาชื่อ วศิษฐ์
พี่วศิษฐ์เอาตำรามาให้ขวัญอ่านเพื่อเตรียมสอบ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
ขวัญไปสมัครสอบตามคำแนะนำ แต่พอประกาศผลออกมาขวัญสอบไม่ผ่านสองวิชาจากทั้งหมด 6 วิชา พยายามทำใจให้ยอมรับว่านี่คือการสอบแข่งขัน เราสอบได้แค่ดีมากแต่ยังไม่ดีเลิศ
แม้ขวัญจะอดได้งาน แต่พี่วศิษฐ์ก็ปลอบใจให้ลองไปสอบคราวหน้า และยังคงโทรศัพท์มาคุยเรื่อยๆ จนขวัญเริ่มรู้สึกว่าเขามาจีบเรา
จนวันหนึ่งพี่เขานัดมารับขวัญหลังเลิกงานจะพาไปทานข้าว
“วัชร์ เย็นนี้พี่วศิษฐ์จะมารับขวัญตอนเลิกงาน วัชร์ยังไม่เคยเจอพี่เขา เดี๋ยวขวัญจะแนะนำให้รู้จักกันนะ” ขวัญบอกเพื่อนและเขาก็พยักหน้ารับ
เขารู้และเพื่อนร่วมงานในแผนกนั้นก็รู้ว่ามีหนุ่มมาจีบขวัญเพราะพี่เขาจะโทรศัพท์มาหาขวัญทุกวันเวลาบ่ายสองโมง
ถึงเวลาเลิกงาน ขวัญกับอนุวัชร์เดินลงบันไดตึกมาด้วยกัน ขวัญเห็นพี่เขาแล้ว เขายืนคอยอยู่แต่ยังไม่ทันหันมาอนุวัชร์ก็เดินชิ่งหนีไปอีกทาง
ขวัญงงมาก ก็บอกแล้วว่าจะแนะนำให้รู้จักกันแล้วทำไมเดินหนีไปเฉยๆ ตอนนั้นขวัญได้แต่แปลกใจแต่ไม่คิดอะไรมาก
พอวันจันทร์มาทำงาน ขวัญไม่ได้ถามอนุวัขร์ที่เขาเดินหนีไปอย่างนั้น ช่างเถอะ เขาอาจจะมีธุระเร่งด่วนก็ได้
หลายวันต่อมา ขวัญได้คุยโทรศัพท์กับณัฐฐา เลยเล่านี้ให้เพื่อนฟัง
“วัชร์เขาเดินหนีไปเลยหรือ” ณัฐฐาถามย้ำ
“ใช่ ขวัญบอกเขาแล้วนะว่าจะแนะนำให้รู้จักพี่วศิษฐ์ เขาก็โอเครับรู้แต่พอจะเจอเข้าจริง เดินหนีเฉยเลย ประหลาดคน”
“เขาทนเห็นเธอมีแฟนไม่ได้น่ะซิ” เพื่อนพูดโพล่งออกมาตามนิสัยของเธออยู่แล้ว
“อะไรนะ ! ” ขวัญวาบในใจกับสิ่งที่รับรู้ เป็นไปได้อย่างไร หมายความว่า..วัชร์ เขามีความรู้สึกให้ขวัญอย่างนั้นหรือ
“วัชร์เขาเป็นเพื่อนเรานะ เขาเคยบอกเธอหรือว่าเขาไม่อยากให้ฉันมีแฟน” ขวัญพยายามซักไซ้ณัฐฐาต่อ
“ไม่เคยหรอก ฉันพูดเอาเอง” เพื่อนเลี่ยงไป ขวัญเลยไม่อยากเซ้าซี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อนุวัชร์เป็นเพื่อนขวัญจริงๆ ท่าทางขรึมเฉยของเขาไม่เคยมีอาการที่บ่งบอกว่าเขาจะมองขวัญมากกว่าความเป็นเพื่อน แม้เราจะสนิทกัน คุยกันทุกวันแต่เขาไม่เคยจีบขวัญสักนิด
ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้าย ขวัญได้งานใหม่ในบริษัทเอกชน ส่วนอนุวัชร์ไปเรียนต่อที่อเมริกา
วันเดินทาง เราสามคนไปส่งเพื่อนรักที่สนามบิน ตอนร่ำลาก่อนจะเข้าไปในเทอมินัล สองสาวเริ่มมีน้ำหูน้ำตา คิดดูซิ เราเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันมาหลายปี ตอนนี้ต้องมาจากกันไกลจะไม่ให้เสียใจได้อย่างไร
พอสองคนนั้นเริ่มร้องไห้ ขวัญก็ชักจะน้ำตาคลอแต่อายไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“จะร้องไห้ทำไมนะ วัชร์ไปเรียนไม่นานก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องไปร้องให้ให้เขาหรอก” ขวัญทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเราสี่คนก็กอดกันกลม
“ไปล่ะ” อนุวัชร์บอกลา ตบไหล่พวกเราแล้วจากไป
พออนุวัชร์เดินทางไปถึงอเมริกาได้ไม่นาน เขาเขียนจดหมายมาบอกว่ามาถึงเรียบร้อยแล้ว เขาเล่าเรื่องเรียน เรื่องมหาวิทยาลัยและเมืองที่เขาไปอยู่ ตอนท้ายบอกขอบคุณน้ำใจเพื่อนๆ ที่ไปส่ง แม้วันนั้นขวัญไม่ได้ร้องไห้เหมือนสองสาวนั่น แต่เขาก็เห็นว่าขวัญมีน้ำตาให้เขา
“เห็นนะว่าวันนั้นน้ำตาคลอ”