อายุ 37 แต่หน้า 23 ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เปลี่ยนความคิดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในวัยที่กำลังเข้าเลข 4


กราบสวัสดีพี่น้องชาวพันทิป และมิตรรักทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของผมนะครับ กระทู้นี้อาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมก็อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านดูนะ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นแนวทาง เคล็ดลับ แรงบันดาลใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่เป็นประโยชน์ และสามารถทำให้เพื่อนๆ กำลังอ่านอยู่มีแรงฮึ้บลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง อย่างน้อยๆ ขอแค่สักหนึ่งคนที่ได้อ่านกระทู้นี้จบแล้วออกไปวิ่งราว เอ้ย! วิ่งรอบสนามฟุตบอลสัก 1-2 รอบได้ เราคงดีใจจนน้ำตาแตกแล้ว 5555555 มา!! เข้าเรื่องเลยดีกว่า เอาจริงๆ ตอนนี้เราก็อายุ 37 ย่าง 38 แล้วนะ เพื่อนๆ บางคนคงตกใจว่า เห้ยมั่วแล้วววว หน้าเด็กขนาดนี้อายุ 37-38 ได้ไง ถ้าบอกปากเปล่าเดี๋ยวจะว่าโม้ อะนี่ผมให้ดูวัน เดือน ปีเกิด ตามบัตรประชาชนเลย
                                                                 
เป็นแบบนี้เกือบทุกคน บางคนอายุน้อยกว่าเราเรียกน้องก็มีนะ พอบอกอายุไปก็ทำหน้าไม่เชื่อกันหาว่าอำกันเล่นก็มี จนต้องหยิบบัตรประชาชนมาให้ดูถึงจะเชื่อ 

แต่กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่ใครๆ ก็ทักว่าหน้าเด็กมาก จุดที่ใครๆ ก็ต่างพากันถามว่าทำยังไง มีเคล็ดลับอะไรถึงหน้าเด็ก บ้างก็ว่าฉีดโบหรอ ฉีดไขมันหน้าเด็กหรอ นั่นอาจจะเป็นวิธีสำหรับบางคน แต่สำหรับเรา เราไม่เคยไปฉีดอะไรพวกนั้นเลย ถ้าถามว่าไม่ได้ฉีด ไม่ได้เข้าคลินิก แล้วทำยังไงหน้าถึงดูอ่อนกว่าวัยขนาดนี้ อาจเพราะความเจ็บปวด มันเป็นตัวผลักดันให้เรามีวันนี้ครับ 5555555 (พูดสะเวอร์) 

งั้นเราขอเล่าจุดเริ่มต้นเลยละกันครับ คือช่วงมหาลัยคบกับแฟนอยู่ (แฟนเป็นผู้ชาย) คบแบบคลั่งรักมาก ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าๆ ทุกอย่างไปได้สวยเหมือนเส้นทางโรยด้วยกีบกุหลาบ แล้วมาหมดสภาพตอนนั่งกินข้าวอยู่ แล้วจู่ๆ นางก็ทำท่าทางอ้ำอึ้งแล้วบอกว่า เลิกกันเถอะ เอ้า!!! ง่ายขนาดนั้นเลยหรอวะ เหตุผลที่เลิกเพราะ เราดูแลเธอไม่ได้ (ตามสูตร dialogue เท่ๆ ของคนหมดรัก ที่ไหนได้เปล่าจ้าาาานางมีคนอื่นจบ!!!!) พอพูดเสร็จนางก็เดินออกไปเท่ๆ อย่างกับ MV เพลงเศร้าของ Three man down ปล่อยให้ตัวดิฉันนั่งร้องไห้น้ำตาแตก กลางร้านอาหารท่ามกลางสายตาที่ทุกคนจับจ้อง และมองมาที่ฉัน ประหนึ่งว่า ฉันเป็นไบโพลล่าหรือเปล่าอยู่ๆ ก็ร้องไห้  อายก็อาย เสียใจก็เสียใจ จะเรียกคิดเงินก็ไม่กล้า ก็นั่งร้องไห้ต่อละกัน  (เป็นโมเม้นต์ที่อัปยศมาก 55555)  แล้วตั้งแต่นั้นมาเราก็กินเหล้าย้อมใจยันเช้าเกือบทุกวัน ทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ สารพัดทุกอย่าง คือตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าเราเมา เราจะลืมทุกอย่าง (ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนกันวะ) บางวันก็นอนกอดหมอนร้องไห้เปิดเพลงเศร้าวนไปก็มี สภาพตอนนั้นดูไม่ได้จริงๆ คนรอบข้างหลายคนก็ทักว่าหน้าดูโทรมมาก หนักสุดแม่หาว่าโดนของจะพาไปหาพระ ( ผีที่ไหนจะกล้ามาเข้าสิงก่อนคุณแม๊!! ) เมื่อหลายคนทักเยอะเข้า จนได้กลับมาย้อนดูตัวเองที่กระจก เออหน้าเราแย่จริงวะ นี่เราปล่อยตัวเองจมกับความทุกข์มานานขนาดนี้เลยหรอ เราปล่อยให้ตัวเองแย่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ถ้ายังจมแบบนี้ต่อไปอีกสัก 10 ปี สภาพตัวเองจะเป็นยังไง อยู่ๆ ความคิดเหล่านั้นก็วิ่งเข้ามาในหัวเราเฉย ถ้าหลายคนไม่ทักเรื่องสภาพอันเสื่อมโทรมของเราคงไม่กลับมามองตัวเองแบบนี้ พอได้สติปุ้บ ตอนนั้น คือ เรารีเซ็ตความคิดของเราทั้งหมด เปลี่ยนให้หมด ลืมอดีตที่ผ่านมากับคนรักเก่าให้หมด แล้วมองไปที่อนาคตว่า เราต้องเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดีกว่านี้ให้ได้ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปหน้าได้แก่ก่อนวัยอันควรแน่นอน คงได้เป็นโรคตาย ก่อนแก่ตายแน่ๆ มะเร็งนี้เตรียมจองปอดซ้ายไว้แล้วนะ ตับแข็งไม่ต้องพูดถึงต้องเข้าแน่นอน ตอนนั้นเราตัดสินใจหักดิบเลิกทุกอย่าง เหล้าเอย บุหรี่เอย บอกเลยว่าบุหรี่เลิกยากมาก ใครเคยคิดจะเลิกน่าจะเข้าใจว่าทรมานขนาดไหน แต่เราก็ผ่านไปได้ อันนี้เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเลิกบุหรี่ด้วยนะ ถ้าเหล้าก็ยังมีกินบ้างนะ ตามโอกาสพิเศษต่างๆ นานๆ กินที กินพอเป็นพิธีเบาๆ 555555 

พอผ่านไปได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็ลองออกกำลังกายดูบ้าง ช่วงแรกออกตามยูทูปที่ห้อง หลังๆ เริ่มรู้สึกว่ามันเหนื่อยไม่พอ เลยขยับออกไปวิ่งแรกๆ อาทิตย์ละ 3  วัน ก็เริ่มขยับมา 5 วัน ล่าสุดออกทุกวันเลยจ้าาา เหมือนติดการออกกำลังกายไปแล้ว ถ้าวันไหนเหงื่อไม่ออกนอนไม่หลับ ยิ่งเหงื่อชุ่มๆ ยิ่งฟิน อีกอย่างเพราะมันไม่ทำให้เราฟุ้งซ่านด้วยแหละ มันเหมือนหัวสมองเราโล่งทุกครั้งเวลาที่ออกกำลังกาย เราเลยรู้สึกโอเคกับมันก็ตรงนี้แหละ บางก็มีไปเล่นเวทบ้างแล้วแต่ฟิวจ้าาา

                                                                        
แต่ปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ออกกำลังกายทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ด้วยภาระหน้าที่การงานอันแสนหนักอึ้งเลยทำให้เวลาออกกำลังกายลดลงไปมาก ตอนนี้มีเวลาออกกำลังกายแค่อาทิตย์ 2-3 วัน เลยอาศัยใช้พวกสกินแคร์ดูแลควบคู่ไปด้วย เราชอบทาสกินแคร์พวกเติมความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ลดริ้วรอ ครีมกันแดด อะไรพวกนี้เอาจริงๆ ครีมกันแดดมันสำคัญมากนะ เพราะสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หน้าเราแก่ขึ้น  คือ 1 แก่ตามอายุ 2 แก่เพราะแสงแดด เพราะแสงแดดประกอบด้วยรังสีต่างๆ นาๆ อะไรก็ไม่รู้เยอะหมด ทั้ง อัลตราไวโอเลต รังสียูวี แล้วก็อีกบลาๆ เพราะฉะนั้นการทาครีมกันแดดจึงสำคัญมาก 

และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ เรื่องอาหารการกินของเรา ใช้สกินแคร์ช่วยเพียงอย่างเดียวสำหรับเราว่ายังไม่พอ มันต้องบำรุงจากภายในสู่ไปนอกด้วย มันถึงจะเลิศ!! เลยเริ่มหันมากินอาหารที่มีผักเยอะขึ้น พวกเค้ก ชาไข่มุข น้ำอัดลม หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีปริมาณน้ำตาลสูงๆ คือเรางดหมด ยิ่งกินน้ำตาลเยอะ ยิ่งแก่เร็ว แต่จะแก่เร็วยังไงไปอ่านเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ตได้เลย เพราะมันยาวมาก อธิบายก็คงไม่ไหว  อาหารที่เรากินทุกวันมันก็ประมาณี้ 

              
เราจะหนักไปทางผักสะมากกว่า อย่างพวก มะเขือเทศ อะโวคาโด บร็อคโคลี่ และผักใบเขียวชนิดอื่นๆ มันจะอุดมไปพวกวิตามินซี สารต่อต้านอนุมูลเยอะมากๆ ต้านพวกริ้วรอยได้ดีเลย ส่วนอาหารว่างของเราจะกินเป็นผลไม้จะ เป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องได้กินทุกวัน ที่อยากจะแนะนำให้กินเลยคือมะละกอ เท่าที่ไปอ่านมา ในมะละกอมีสารต่อต้านอนุมูลสิระหลายอย่าง ทั้งวิตามิน A,C,E ซึ่งช่วยเรื่องชะลอวัยได้ดี 
                        
เรื่องอาหารหมดแล้ว ต่อไปเรามาต่อที่อาหารเสริมกันบ้างดีกว่า คืออาหารเสริมที่เรากินก็ไม่มีอะไรมากเลย ถ้าตื่นนอนมาจะกินเป็นคลอลาเจนแบบชง 1 แก้ว เพราะช่วงที่ท้องเราว่าง ระบบร่างกายจะดูดซับคลอลาเจนได้ดีที่สุด และมีกินวิตามินซีด้วย ปกติเราจะกินแบบเป็นเม็ด และแบบชง แบบเม็ดเราจะกินหลังอาหารเช้า ส่วนแบบชงเราจะติดเอาไปกินระหว่างทำงาน ส่วนน้ำเปล่าเราจะกินวันละ1.5 ลิตร หรือจะเป็นน้ำเปล่าขวดใหญ่ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ ก่อนนอนเราจะกินเป็นตัวที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก เราเคยไปอ่านเจอมาว่า ถ้ายิ่งอายุมากขึ้น 30+ ขึ้นไป สารต้านอนมูลอิสระก็จะลดน้อยลง ทำให้แก่เร็ว ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น เราเน้นเป็นตัวนี้สะมากกว่า  (ส่วนตัวชอบใช้แก้วไวน์มาก เพราะมัน luxury ฟิวแบบตัวแม่จะแคร์เพื่อ)  

             

แล้วก็เรื่องสภาพจิตใจ เราจะพยายามปล่อยวางทุกอย่างที่เป็น Toxic เราจะนั่งสมาธิก่อนนอนทุกๆ 20 นาทีทุกวัน การนั่งสมาธิเหมือนเป็นยาอายุวัฒนะทั้งทางกาย และทางใจเลย มันช่วยให้เราปล่อยวางอะไรได้เยอะมาก เวลาเจออะไรมาเครียดๆ อย่างเรื่องงาน เรื่องคน แล้วกลับมานั่งสมาธิเรารู้สึกว่ามันช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีเลย พอเราไม่เครียด เราก็มีความสุข แล้วสารแห่งความสุขในสมองจะส่งผลดีต่อร่างกายของเรามากๆ และมันทำให้เรากลายเป็นคนที่ใจเย็นขึ้น 
                                 คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
                                                       แนะนำให้ดูคลิปนี้เลยอธิบายประโยชน์เกี่ยวกับการนั่งสมาธิได้ดีมากๆ

พอพิมพ์มาถึงตรงนี้ กลับมาคิดๆ ดู เรารู้สึกว่าอยากขอบคุณแฟนเก่า และคนรอบข้างของเรามากเลย ถ้า ณ วันนั้นแฟนไม่บอกเลิกเรา เรายังจะลุกมาดูแลตัวเองแบบนี้ไหม ในทุกๆ วันเราจะลุกขึ้นมาวิ่งไหม ถึงตอนเลิกกัน ถ้าไม่ได้คนรอบข้างมาเตือนสติปานี้สภาพของเราจะเป็นยังไงกันนะ เพื่อนๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าสังเกตคือเราไม่ได้เพิ่งเริ่มทำแค่ปี  2 ปีนะ ของแบบนี้มันต้องใช้ระยะเวลาสะสมเป็นปีๆ ต้องอาศัยความมีวินัยต่อตัวเอง ขยันออกกำลังกาย ขยันดูแลตัวเอง ถ้าใครคิดอยากจะเริ่มก็ควรเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เลย ดีว่ามาเริ่มที่หลังแล้วบอกกับตัวเองว่า “รู้งี้น่าจะดูแลตัวเองแต่แรกดีกว่า”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่