มีคำถามว่า นโยบายแบบนี้ ยั่งยืนแค่ไหน?
และ จะส่งผลที่น่ากลัว เหมือนที่บางคนเริ่มเตือนหรือไม่?
การแจกเงินให้ประชาชนโดยรัฐ คือนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยม (Populism)อย่างหนึ่ง
เมื่อเอ่ยคำว่าประชานิยมขึ้นมาหลายๆ คนรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ชวนแสลง ในประเทศไทย คำๆ นี้ ถูกใช้โจมตีรัฐบาลทักษิณ มาระยะหนึ่ง แต่ต่อมามันเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง เพราะรัฐบาลยุคหลังๆ ใช้นโยบายแนวเดียวกันหมด รวมถึงรัฐบาลของกลุ่มบุคคล ที่ต่อต้าน และโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ มาก่อนด้วย
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ศึกษานโยบาย VoxEU มีบทความเรื่อง "ต้นทุนของประชานิยม: หลักฐานทางประวัติศาสตร์" ผู้เขียนบทความ (ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์) บอกว่าประชานิยมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาเป็นร้อยปีแล้ว
พวกเขาสรุปสั้นๆ ว่า "หากประเทศต่างๆ ถูกครอบงำโดยประชานิยมไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ประเทศเหล่านั้น ก็มีแนวโน้ม ที่จะเห็นนโยบายประชานิยม เข้ามาครอบงำอีกในอนาคต"
หากไม่เชื่อก็ลองสำรวจประวัติศาสตร์การเมืองระยะใกล้ๆ ของประเทศไทย ดูก็แล้วกันว่า มีรัฐบาลไหน หลังยุคทักษิณบ้าง ที่ไม่ได้ใช้ประชานิยม?
อนึ่ง มีข้อสังเกตุ ที่น่าสนใจ ก็คือ งานวิจัยนี้ ให้รัฐบาลทักษิณ เป็น "ประชานิยมฝ่ายขวา" พรรคเพื่อไทยถูกนิยมใน Wikipedia ว่าเป็น "ประชานิยม มีอุดมการณ์ทางการเมืองสายกลาง" พรรคภูมิใจไทย ก็ถูกนิยามในลักษณะเดียวกัน แต่กับพรรคพลังประชารัฐ กลับไม่ได้ถูกนิยมว่าเป็นประชานิยม ทั้งๆ ที่รัฐบาล นี้ใช้ประชานิยม หนักพอสมควร
ผู้เขียนบทความ ยังสรุปว่า "ผู้นำในระบอบประชานิยม มีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยมีการบริโภค และผลผลิต ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะยาว" หมายความว่า ผู้นำรัฐบาลไหน ที่ใช้นโยบายนี้ เตรียมใจไว้ได้เลยว่า จะต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อนำมาแจกประชาชน (ซึ่งเงินบางส่วน ก็มาจากภาษีประชาชนนั่นเอง) แต่ผลของการแจกเงินนั้นต่ำ จนเรียกว่าไม่คุ้มเอาเลย เหมือนกับการลงทุนสูง แต่ผลที่ได้มาขาดทุน
นักวิจัยยกตัวอย่างเปรียบเทียบ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับระยะเวลาการใช้นโยบายประชานิยม ได้ข้อสรุปว่า ประเทศที่ใช้ประชานิยม จะมีตัวเลข GDP ต่ำลงประมาณ 1% ต่อปีหลังจากที่ประชานิยม เข้ามามีอำนาจ เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตก่อนหน้านั้น โดยไม่ว่ารัฐบาลประชานิยม จะคงอยู่ในอำนาจระยะสั้น (5 ปี) หรือระยะยาว (15 ปี) ผลก็ออกมาเหมือนกัน
ในแง่การเมือง ประชานิยม ยังทำให้ระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอน และสถาบันหลักด้านการเมืองเสื่อมถอยลง การใช้นโยบายประชานิยม จะสั่นคลอนตัวผู้นำหรือรัฐบาล หรือฝ่ายตุลาการ ฯลฯ จนจะหารัฐบาลประชานิยม ที่จบแบบสวยๆ ได้ยาก
จากการเปรียบเทียบสถิติ รัฐบาลประชานิยม 41 รัฐบาล พบว่า มีแค่ 7 รัฐบาล เท่านั้น ที่ครบเทอม แบบที่ไม่มีเรื่องอื้อฉาว หรือถูกขับไล่ ยังไม่นับการที่นโยบายประเภทนี้สะเทือนไปยังการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะนำไปสู่การกีดกันทางการค้ากับประเทศอื่น
พกวเขาทิ้งท้าย ว่าประชานิยม ยังส่งผลให้หนี้สาธารณะและอัตราเงินเฟ้อพุ่งพรวด เรื่องนี้สอดคล้องกับหนี้สาธารณะของไทย ที่พุ่งถึงกว่า 10% เมื่อเทียบปี 2563 กับปี 2562 (คิดเป็น 52.13% ของ GDP) แม้ว่าจะยังไม่มีการเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่า หนี้ที่พอกพูน เกี่ยวข้องกับนโยบาย ลด แลก แจก แถม ของรัฐบาลหรือไม่
แต่ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หนี้สาธารณะของไทยยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ สถานะหนี้ของไทย ตอนนี้ อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับทั้งโลก ยิ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ที่สัดส่วนหนี้สูง ถึง 223.8% ซึ่งญี่ปุ่น ก็สูงแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
The cost of populism: Evidence from history.
https://cepr.org/voxeu/columns/cost-populism-evidence-history
การแจกเงินให้ประชาชนโดยรัฐคือนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยม (Populism)
และ จะส่งผลที่น่ากลัว เหมือนที่บางคนเริ่มเตือนหรือไม่?
การแจกเงินให้ประชาชนโดยรัฐ คือนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยม (Populism)อย่างหนึ่ง
เมื่อเอ่ยคำว่าประชานิยมขึ้นมาหลายๆ คนรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ชวนแสลง ในประเทศไทย คำๆ นี้ ถูกใช้โจมตีรัฐบาลทักษิณ มาระยะหนึ่ง แต่ต่อมามันเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง เพราะรัฐบาลยุคหลังๆ ใช้นโยบายแนวเดียวกันหมด รวมถึงรัฐบาลของกลุ่มบุคคล ที่ต่อต้าน และโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ มาก่อนด้วย
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ศึกษานโยบาย VoxEU มีบทความเรื่อง "ต้นทุนของประชานิยม: หลักฐานทางประวัติศาสตร์" ผู้เขียนบทความ (ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์) บอกว่าประชานิยมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาเป็นร้อยปีแล้ว
พวกเขาสรุปสั้นๆ ว่า "หากประเทศต่างๆ ถูกครอบงำโดยประชานิยมไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ประเทศเหล่านั้น ก็มีแนวโน้ม ที่จะเห็นนโยบายประชานิยม เข้ามาครอบงำอีกในอนาคต" หากไม่เชื่อก็ลองสำรวจประวัติศาสตร์การเมืองระยะใกล้ๆ ของประเทศไทย ดูก็แล้วกันว่า มีรัฐบาลไหน หลังยุคทักษิณบ้าง ที่ไม่ได้ใช้ประชานิยม?
อนึ่ง มีข้อสังเกตุ ที่น่าสนใจ ก็คือ งานวิจัยนี้ ให้รัฐบาลทักษิณ เป็น "ประชานิยมฝ่ายขวา" พรรคเพื่อไทยถูกนิยมใน Wikipedia ว่าเป็น "ประชานิยม มีอุดมการณ์ทางการเมืองสายกลาง" พรรคภูมิใจไทย ก็ถูกนิยามในลักษณะเดียวกัน แต่กับพรรคพลังประชารัฐ กลับไม่ได้ถูกนิยมว่าเป็นประชานิยม ทั้งๆ ที่รัฐบาล นี้ใช้ประชานิยม หนักพอสมควร
ผู้เขียนบทความ ยังสรุปว่า "ผู้นำในระบอบประชานิยม มีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยมีการบริโภค และผลผลิต ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะยาว" หมายความว่า ผู้นำรัฐบาลไหน ที่ใช้นโยบายนี้ เตรียมใจไว้ได้เลยว่า จะต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อนำมาแจกประชาชน (ซึ่งเงินบางส่วน ก็มาจากภาษีประชาชนนั่นเอง) แต่ผลของการแจกเงินนั้นต่ำ จนเรียกว่าไม่คุ้มเอาเลย เหมือนกับการลงทุนสูง แต่ผลที่ได้มาขาดทุน
นักวิจัยยกตัวอย่างเปรียบเทียบ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับระยะเวลาการใช้นโยบายประชานิยม ได้ข้อสรุปว่า ประเทศที่ใช้ประชานิยม จะมีตัวเลข GDP ต่ำลงประมาณ 1% ต่อปีหลังจากที่ประชานิยม เข้ามามีอำนาจ เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตก่อนหน้านั้น โดยไม่ว่ารัฐบาลประชานิยม จะคงอยู่ในอำนาจระยะสั้น (5 ปี) หรือระยะยาว (15 ปี) ผลก็ออกมาเหมือนกัน
ในแง่การเมือง ประชานิยม ยังทำให้ระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอน และสถาบันหลักด้านการเมืองเสื่อมถอยลง การใช้นโยบายประชานิยม จะสั่นคลอนตัวผู้นำหรือรัฐบาล หรือฝ่ายตุลาการ ฯลฯ จนจะหารัฐบาลประชานิยม ที่จบแบบสวยๆ ได้ยาก
จากการเปรียบเทียบสถิติ รัฐบาลประชานิยม 41 รัฐบาล พบว่า มีแค่ 7 รัฐบาล เท่านั้น ที่ครบเทอม แบบที่ไม่มีเรื่องอื้อฉาว หรือถูกขับไล่ ยังไม่นับการที่นโยบายประเภทนี้สะเทือนไปยังการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะนำไปสู่การกีดกันทางการค้ากับประเทศอื่น
พกวเขาทิ้งท้าย ว่าประชานิยม ยังส่งผลให้หนี้สาธารณะและอัตราเงินเฟ้อพุ่งพรวด เรื่องนี้สอดคล้องกับหนี้สาธารณะของไทย ที่พุ่งถึงกว่า 10% เมื่อเทียบปี 2563 กับปี 2562 (คิดเป็น 52.13% ของ GDP) แม้ว่าจะยังไม่มีการเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่า หนี้ที่พอกพูน เกี่ยวข้องกับนโยบาย ลด แลก แจก แถม ของรัฐบาลหรือไม่
แต่ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หนี้สาธารณะของไทยยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ สถานะหนี้ของไทย ตอนนี้ อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับทั้งโลก ยิ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ที่สัดส่วนหนี้สูง ถึง 223.8% ซึ่งญี่ปุ่น ก็สูงแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
The cost of populism: Evidence from history. https://cepr.org/voxeu/columns/cost-populism-evidence-history