JJNY : จาตุรนต์อัดตู่| ‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัล| อสังหาโวยมาตรการรัฐ| อนามัยโลกกังวล-จับตาใกล้ชิดโควิดจีน

จาตุรนต์ อัดบิ๊กตู่ เป็นรมว.กลาโหม อย่าวางตัว กรณีเรือล่ม เหมือนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3737755

จาตุรนต์ อัดบิ๊กตู่ เป็นรมว.กลาโหม อย่าวางตัว กรณีเรือล่ม เหมือนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
 
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กต่อเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง โดยมีเนื้อหาดังนี้
 
กรณีเรือหลวงสุโขทัยล่มนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างจริงจังด้วยความรับผิดชอบ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวทหารเรือที่เสียชีวิตและสูญหาย ขอเป็นกำลังใจและหวังว่าจะสามารถค้นหาผู้ที่สูญหายไปกลับมาได้
 
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการยืนยันด้วยระบบที่เป็นมาตรฐานว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เรือล่มเกิดจากอะไรแน่ นอกจากนั้นยังมีการชี้แจงในบางเรื่องที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้อยู่ในเหตุการณ์กับผู้รับผิดชอบระดับสูงเช่นเรื่องเสื้อชูชีพไม่พอซึ่งน่าจะไม่พอจริงๆและเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งปัญหาความล่าช้าในการเข้าช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติภัยขึ้น
  
รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วยควรดำเนินการ
 
1.ลงมารับฟังเสียง ให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและสูญหาย กำกับดูแลให้มีการเยียวยาผู้เสียชีวต ผู้สูญหายและครอบครัวอย่างเหมาะสม

2.สั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ด้วยความโปร่งใส เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เรือล่มในครั้งนี้ เพื่อจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต
 
3.สั่งให้ตรวจสอบการดำเนินมาตรการต่างๆที่ใช้สำหรับป้องกันเหตุความเสียหาย การแก้ไขและกอบกู้สถานการณ์ว่าส่วนใดทำได้ดี ควรได้รับการชมเชย ส่วนใดมีปัญหาบกพร่องที่จะต้องแก้ไขไม่เกิดปัญหาขึ้นอีก โดยยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำความน่าเชื่อถือต่อผู้รับผิดชอบและกองทัพเรือกลับคืนมาและสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารเรือทั้งหลาย รวมทั้งเสริมสร้างสมรรถนะและความพร้อมในการรับผิดชอบ (accountability) ของกองทัพเรือให้สูงขึ้นด้วย
เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรง จึงไม่ควรวางตัวเหมือนไม่ค่อยมีหน้าที่เกี่ยวข้องอะไรอย่างที่เป็นอยู่

https://www.facebook.com/Chaturon.FanPage/posts/pfbid02oPgJjC9Npu4bivDPY4R7xXUAiNC7YgWsZTcmLraVDLiYf57QMyUxvVjva8NBwzpfl
 


‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัล ‘ก้าวไกล’ ตั้งเป้าไประดับโลก ต้องเริ่มจากท้องถิ่น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7425625

‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้จีดีพีไทยโตขึ้น แต่ยังรั้งกลางตารางอาเซียน ชูหลักคิด ‘ก้าวไกล’ ตั้งเป้าหมายไประดับโลก ต้องเริ่มต้นจากท้องถิ่น
 
22 ธ.ค. 65 – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลในหัวข้อ ‘เทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลและยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน’
 
ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ 5 พรรค ในงานเสวนา “Next Step Thailand 2023 ทิศทางแห่งอนาคต” ความตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15% ต่อปี โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ดีเมื่อเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จีดีพีคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3%
 
แต่กระนั้นหากเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนด้วยกัน จะพบว่าประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของอาเซียน ทั้งในด้านคาดการณ์การเติบโตและปริมาณการลงทุน และเมื่อหันมาดูด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล จะพบว่ารัฐบาลได้ให้งบประมาณด้านแผนงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลเพียง 980 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.03% ของงบประมาณทั้งหมด
 
ส่วนงบประมาณด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 7.36 พันล้านบาท ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กรมโยธาธิการและผังเมืองของกระทรวงมหาดไทย ถึง 7.16 พันล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์ในการสร้างยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง
 
นายพิธากล่าวว่า การก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย จะต้องเกิดขึ้นจากการอาศัยบทบาทของภาครัฐ ที่ต้องเข้าไปปรับยุทธศาสตร์ กฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ยังล้าหลัง ขัดขวางการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเข้าไปมีบทบาทผลักดันทั้งในด้านอุปทาน ได้แก่ การเพิ่มงบประมาณให้ได้สัดส่วนกับความสำคัญ การลดขั้นตอนในระบบราชการ การสนับสนุนด้านงบประมาณ และการสนับสนุนบ่มเพาะเอกชนที่มีศักยภาพ
 
ส่วนในด้านอุปสงค์ คือการที่รัฐเข้าไปเล่นบทบาทลูกค้ารายแรกๆ ให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และที่สำคัญคือการเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นการสร้างเศรษฐกิจของประเทศและอุตสาหกรรมใหม่ๆ
 
ซึ่งเป็นเหตุผลให้หลักคิดด้านนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคก้าวไกล มองว่าการกำหนดเป้าหมายแม้จะต้องไปให้ถึงระดับโลกหรือระดับภูมิภาคอาเซียน แต่การปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้นต้องมาจากรากฐานที่สำคัญที่สุด นั่นคือในระดับท้องถิ่นของประเทศ ที่ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยวิกฤติคุณภาพชีวิตและปัญหาของประชาชน
 
อาจสามารถ คือรูปธรรมของการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาของประเทศและของประชาชน จากการแก้ปัญหาของอาจสามารถ ไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนในภาคอีสาน นำไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนภาคอื่นๆ และของประชาชนทั้งประเทศ และของอาเซียนต่อไป
 
นี่คือโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพรรคก้าวไกล คือตั้งเป้าหมายให้ไปไกลถึงระดับโลก แต่เริ่มต้นการปฏิบัติจากระดับท้องถิ่น เปลี่ยนวิกฤติของเราให้เป็นโอกาสใหม่ๆ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการกระจายอำนาจ การมีงบประมาณที่เพียงพอในระดับท้องถิ่น และกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาไปพร้อมๆ กันด้วย” นายพิธากล่าว


 
อสังหาโวยมาตรการรัฐ ซื้อบ้านค่าโอนเพิ่ม 100 เท่า เป็นล้านละหมื่น ฉุดตลาดซบยาว
https://www.matichon.co.th/economy/news_3737825

ข่าวหน้า 1 : อสังหาโวยมาตรการรบ. ผู้ซื้อบ้านรับภาระค่าโอนเพิ่ม 100 เท่า เดิมล้านละ 100 บาท เป็นล้านละหมื่น ฉุดตลาดปีหน้าซบยาว
 
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)กล่าวถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้า ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมมีต้นทุนสูงขึ้นว่า กกร.ได้ยื่นหนังสือขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้รัฐบาลทบทวนการคิดคำนวณอัตราค่าไฟของภาคธุรกิจ หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 โดยให้ตรึงอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัย 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนประเภทอื่นๆ อาทิ ธุรกิจ โรงงาน โรงแรม ปรับขึ้นเป็น 5.69 บาทต่อหน่วย 

นายสนั่นกล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้ กกร.ก็จะหารือเกี่ยวกับการที่จะมีมาตรการในการดูแลและช่วยเหลือให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไป รวมถึงภาคธุรกิจ ให้ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะให้โอกาส และรับฟังข้อมูลและข้อเสนอที่ กกร.ได้สำรวจ ทั้งจากประชาชนและภาคธุรกิจ และรัฐบาลนำข้อมูลและข้อเสนอไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ
 
กกร.ห่วงใยเรื่องของการลงทุน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวที่สำคัญตัวหนึ่ง ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นี้ การขอทบทวนขึ้นค่าไฟฟ้า เพื่อให้ไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย และผลักดันในเรื่องการส่งออก เพราะค่าไฟฟ้ามีผลต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ” นายสนั่นกล่าว

นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ผิดหวังกับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา เพราะต่างจากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ที่ลดค่าจดเบียนการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% แต่มาตรการใหม่ลดค่าโอนจาก 2% เหลือ 1% ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิม ส่วนค่าจดจำนองคงเดิมลดจาก 1% เหลือ 0.01%
 
ตกใจเหมือนกันกับมาตรการที่ออกมา เพราะคิดว่าจะขยายของเดิมอีก 1 ปี และไม่เป็นไปตามที่สมาคมทำหนังสือยื่นขอไป คือ ลดค่าโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% อีก 1 ปีและขยายเพดานราคาที่อยู่อาศัยจาก 3 ล้านบาท เป็น 3-5 ล้านบาท หรือลดใน 3 ล้านบาทแรก เพราะมองว่ากลุ่ม 3 ล้านบาทเป็นกลุ่มเดิมและน่าจะซื้อขายกันไปมากแล้ว หากขยายราคาเพิ่มจะทำให้เกิดกำลังซื้อกลุ่มใหม่และกระตุ้นตลาดได้ แต่เมื่อรัฐออกมาตรการแบบนี้ ถือว่าจะยิ่งทำให้ตลาดอสังหาฯปีหน้าแย่กว่าเดิม จากปีนี้ที่พอประคองตัวไปได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี” นายวสันต์กล่าว
 
นายวสันต์กล่าวว่า แม้จะเป็นการลดค่าโอนเหลือ 1% แต่ก็เป็นภาระต่อผู้ซื้อบ้านมากขึ้น เนื่องจากในปีหน้าราคาประเมินที่ดินใหม่จะปรับขึ้นอีกประมาณ 8-10% ซึ่งจะส่งผลต่อค่าโอน รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะจัดเก็บในอัตรา 15% ก็จะส่งผลให้ผู้ซื้อบ้านมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก

นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรการอสังหาฯที่ออกมา ถือว่ายังไม่กระตุ้นตลาดเพียงพอ ทำให้ผู้ซื้อบ้านมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากมาตรการเดิม ดังนั้นปีหน้าไม่มีปัจจัยบวกต่อธุรกิจอสังหาฯ มีแต่ปัจจัยลบ ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน ผู้ประกอบการคงต้องจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อกันเอง
 
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า มาตรการลดค่าโอนเหลือ 1% ค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาด เพราะผู้ซื้อบ้านมีภาระค่าโอนเพิ่มขึ้น 100 เท่า จากเดิมล้านละ 100 บาท เป็นล้านละ 10,000 บาท ขณะที่การลดภาษีที่ดินฯเหลือจัดเก็บในอัตรา 15% ยังเป็นภาระของผู้ประกอบการ เพราะปีหน้าราคาประเมินที่ดินจะปรับขึ้น 8-10%
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่