อุ๊งอิ๊ง เชื่อ พท.คัดคนดีที่สุดเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่โกรธหากไม่ได้รับเลือก ยังทำงานเต็มที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3719719
อุ๊งอิ๊ง เชื่อ พท.คัดคนดีที่สุดเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่โกรธหากไม่ได้รับเลือก ยังทำงานเต็มที่
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ จ.นครศรีธรรมราช นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้สัมภาษณ์กรณีปราศรัยว่า น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร จะเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย (พท.) แน่นอนว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองมีได้ 3 คน ซึ่งหัวหน้าพรรค พท.พูดมาตลอดว่าจะส่งครบทั้ง 3 คน 1 ในนั้นน่าจะเป็น น.ส.
แพทองธาร ตนใช้สิทธิส่วนบุคคลในฐานะกองเชียร์ก็เชียร์ แต่เมื่อประกาศทั้ง 3 คน ตนก็ต้องเชียร์ทั้ง 3 คน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ขานรับขนาดนี้ หัวหน้าพรรค พท.ก็น่าจะรับไว้พิจารณา แต่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งจะประกาศในภายหลัง
ด้านน.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า ขณะนี้พรรคยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจน เชื่อว่าพรรคพท.จะหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้เหมาะสมมากที่สุด ถ้ามีคนที่เหมาะสมกว่าตนก็น้อมรับ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมทำงานกับพรรคพท.ซึ่งก็ต้องรอดูว่าประชาชนจะเมตตากับเรามากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็พร้อมทำงานกับพรรคพท. และพร้อมทำงานให้กับประชาชนสุดความสามารถ
เมื่อถามว่า เมื่อประกาศตัวอย่างชัดเจนคะแนนในภาคใต้จะตีตื้น พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า พรรคพท.ขายนโยบาย เราพูดและทำได้จริง
เมื่อถามว่า เวลาที่เหมาะสมในการประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ในช่วงเวลาใด น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า “
เราพยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน อิ๊งเองไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น ก็ยังทำเต็มที่เหมือนเดิม ถ้าไม่เป็นก็ไม่โกรธเคือง ถ้าจะเป็นก็เป็นด้วยความเต็มใจ ก็มุ่งมั่นทำนโยบายเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเรา”
เมื่อถามว่า พื้นที่ภาคใต้พรรค พท.จะได้ส.ส.หรือไม่ น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า แล้วแต่ประชาชนชาวภาคใต้จะกรุณา ตนยืนยันว่าพรรคพท.ตั้งใจอย่างมาก ที่มา ไม่รู้ว่าจะเลือกหรือไม่แต่ตนก็ดีใจ
ถามต่อว่า กระแสพล.อ.
ประยุทธ์ในพื้นที่ภาคใต้ยังแรงอยู่นโยบายของพรรคพท.จะสู้ได้หรือไม่นั้น น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า ถ้าคนใต้เห็นว่านโยบายที่พรรคพท.เสนอโดนใจคนใต้ พี่น้องลำบากมานานแล้ว เรานำเสนอความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพราะประชาชนทุกข์มานานแล้ว
ขณะที่ นพ.
ชลน่าน กล่าวถึงกระแสข่าวส.ส.ลาออกช่วงสัปดาห์หน้าจะกระทบกับสภาฯ หรือไม่ว่า กระแสส.ส.ลาออกมีเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงใกล้ครบวาระสภา แต่ละพรรคที่เขาพยายามดูด ส.ส. มีเงื่อนไขว่าต้องออกก่อนครบวาระสภา ซี่งเป็นสัญญาณและข้อผูกมัดของเขา เชื่อว่าจะมีส.ส.ออกเยอะ ส่วนจะมีผลต่อการทำงานในสภาฯ หรือไม่นั้น กฎหมายเขียนว่าให้นับจำนวน ส.ส.ที่เหลืออยู่ ฉะนั้นเหลืออยู่เท่าไหร่ก็เป็นองค์ประชุมเท่านั้น ซึ่งสามารถทำงานได้ การลาออกนั้นไม่มีผลต่อองค์ประชุมสภา แต่มีผลทำให้เรื่องของกฎหมายบางฉบับจะไม่ได้รับการพิจารณา
พิธา พบเครือข่ายแรงงาน ย้ำก้าวไกลให้ความสำคัญ ดันขึ้นค่าแรงทันที ปี’66
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720046
พิธา พบเครือข่ายแรงงาน ย้ำก้าวไกลให้ความสำคัญ ดันขึ้นค่าแรงทันที ปี’66
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2565 ที่ศูนย์การเรียนรู้สหภาพโตโยต้าประเทศไทย พรรคก้าวไกล จัดการประชุมใหญ่เครือข่ายผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ โดยมี นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นาย
สุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ น.ส.
วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายแรงงาน นำโดย นาย
สุนทร บุญยอด อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่
เซีย จำปาทอง และ น.ส.ธนพร วิจันทร์ ขึ้นเวทีประกาศนโยบายก้าวไกล เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน
นาย
พิธากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเจอความท้าทายใน 2 อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ คืออุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำแรงงานต้องมาพูดคุยกันว่าจะรับมือความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ในส่วนพรรคก้าวไกล เราให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานอย่างมาก และได้ออกแบบนโยบาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานทุกคนอย่างยั่งยืน เช่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นทันที 450 บาท โดยคำนวณให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งต้นจากปี 2554 ที่ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน
“
พรรคก้าวไกลเสนอว่า ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นทันที 450 บาท ในปี 2566 ส่วนพรรคการเมืองอื่นก็ได้เสนอตัวเลขและระยะเวลาเป้าหมายที่ต่างออกไป ผมคิดว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่พรรคการเมืองเห็นตรงกันว่า ต้องเพิ่มรายได้ของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้น ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน” นายพิธากล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาของผู้ใช้แรงงานนั้น ทำแค่เรื่องค่าแรงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแรงงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิทธิวันหยุด สิทธิลาคลอดที่เพิ่มขึ้น สิทธิการรวมตัวกันของแรงงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นความสำคัญของการที่แรงงานทุกคนต้องมีสิทธิประกันสังคม นอกจากนี้ รัฐต้องสนับสนุนการพัฒนาทักษะของแรงงาน เพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงานในโลกปัจจุบัน เช่น นโยบายคูปองคนวัยทำงานเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ รัฐร่วมจ่าย 80% จากราคาหลักสูตร แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อปี
นาย
พิธากล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาของคนทำงานในวงการอื่นๆ เช่น คนทำงานในกองถ่าย ที่ต้องทำงานหนักมากกว่าวันละ 16 ชั่วโมงต่อวัน แพทย์ และพยาบาลที่ส่วนใหญ่ทำงานไม่ต่ำกว่า 90 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่มาตรฐานแรงงานอยู่ที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือแรงงานเย็บผ้าที่รับงานไปทำที่บ้าน มีรายได้ต่ำเพราะถูกกดค่าแรง ไม่มีสวัสดิการและหลักประกันใดๆ พรรคก้าวไกลยืนยันจะต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงาน ดูแลคนทำงานทุกคนในประเทศนี้ เพราะเชื่อว่าพวกเราทุกคนคือคน 99% ที่เป็นผู้ใช้แรงงานที่สร้างสรรค์สังคม
ด้าน นาย
สุนทรกล่าวว่า ผู้ใช้แรงงาน และคนทำงานจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองของตัวเอง ต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ยืนหยัดอยู่กับคนยากจนและคนที่ยากลำบากในสังคม สำหรับพรรคก้าวไกลเป็นพรรคมวลชน สร้างความเข้มแข็งจากการสนับสนุนของประชาชน มีตัวแทนที่เป็นแรงงานมาจากโรงงานถึง 4 คน เป็นทั้ง ส.ส. บัญชีรายชื่อ และเป็น ส.ส.เขตที่เคยชนะการเลือกตั้งในจังหวัดชลบุรี จนเกิดคำกล่าวว่า “
แรงงานล้มบ้านใหญ่” ถึงแม้เครือข่ายแรงงานของอดีตพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบลง แต่เครือข่ายแรงงานก้าวไกลยังอยู่และขับเคลื่อนต่อ เราจึงขอส่งไม้ต่อให้พิธา สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่อนาคตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนให้ก้าวหน้าก้าวไกล
“จาตุรนต์” ชี้เลือกตั้งครั้งนี้ อยากเห็นพรรคการเมืองแข่งขันนโยบายจริงจัง แนะปชช.ใครทำไม่ได้อย่าเลือก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720331
“จาตุรนต์” ชี้เลือกตั้งครั้งนี้ อยากเห็นพรรคการเมืองแข่งขันนโยบายจริงจัง แนะปชช.ใครทำไม่ได้อย่าเลือก
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นาย
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
ตลอดสัปดาห์มีการถกเถียงกันเรื่องนโยบายในการเลือกตั้งครั้งหน้ามากขึ้น ตัวผมเองได้ไปร่วมเวทีเสวนาของสยามรัฐเมื่อ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพูดในหัวข้อ “โอกาส ความหวัง การเมืองวิถีใหม่” โดยมีนโยบายเป็นกุญแจสำคัญครับ
พรรคเพื่อไทยมีแนวทางการทำนโยบายและการนำไปปฏิบัติจริงจากที่เคยทำกันมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ซึ่งเราถือว่านโยบายเป็นเรื่องสำคัญและทำอย่างจริงจัง เราพยายามศึกษาว่าปัญหาของคนทั้งประเทศอยู่ตรงไหน ประชาชนเดือดร้อนอย่างไร ทั้งปัญหาของประชาชนทั้งประเทศ และประชาชนในแต่ละกลุ่มเฉพาะ ว่า พวกเขาต้องการแก้ปัญหาอะไร นี่คือการสร้างความหวังให้ประชาชนและประเทศนี้โดยนโยบาย
สิ่งสำคัญอย่างแรกนโยบายต้องทำให้ประเทศพ้นวิกฤต เราเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหนักหนามาก เศรษฐกิจเติบโตช้าจนเป็นอันดับรั้งท้ายในอาเซียนมาหลายปี และเมื่อทั่วโลกกำลังฟื้นตัว ไทยก็ฟื้นช้ากว่าคนอื่น อีกทั้งเรากำลังเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่การผลิตก็ต้องทันสมัย มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ส่งเสริมพัฒนาบุคลากรเพิ่มทักษะ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันกับเขาได้ เราจะต้องฟื้นตัวให้เร็ว มีเค้กมาแบ่งกันมากขึ้น แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากของประเทศไทยให้ได้
นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งไปเพื่อแก้ปัญหาของทั้งประเทศเหล่านี้ และเมื่อเสนอในการเลือกตั้งแล้ว ถ้าได้รับการเลือกตั้งก็จะนำไปทำเป็นนโยบายรัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา แล้วก็ใช้บริหารประเทศจนเกิดขึ้นจริงเหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งการทำนโยบายขณะนี้เราก็ตั้งใจอย่างนั้น ในโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งนโยบายที่ออกมาจะมีความชัดเจนและเป็นความหวังของประชาชน
แต่ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าการแข่งขันทางนโยบายจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่มันไม่มีหรือมีน้อยมากในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อยากเห็นการนำเสนอนโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาประเทศกันจริงๆ มีการแข่งขันทางนโยบายกันอย่างเข้มข้นโดยประชาชนมีความหวังว่าถ้าเลือกพรรคนี้ด้วยนโยบายแบบนี้แล้วจะได้รัฐบาลเพื่อมาแก้ปัญหาและประชาชน ทั้งพรรคและประชาชนให้ความสนใจกับนโยบายเป็นอันดับแรก ๆ (นอกเหนือจากตัวผู้สมัครและแคนดิเดต) ไม่ใช่แข่งขันกันด้วยเรื่องอำนาจรัฐอำนาจเงิน หรือเน้นแต่เรื่องบุคคลอย่างเดียว
ที่ผมพูดแบบนี้เพราะการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นการถอยหลัง ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศสะดุดอย่างรุนแรง การแข่งขันทางนโยบายมีน้อยและประชาชนให้ความสนใจน้อย เพราะการเลือกตั้งใน 30-40 ปีเป็นอย่างน้อย ไม่เคยมีการเลือกตั้งครั้งไหนที่รัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ไม่เป็นรัฐบาลรักษาการ แต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นรัฐบาล คสช. ที่ไม่ถูกห้ามเรื่องการใช้งบประมาณ จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็ทำได้ สามารถใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาทในการหาเสียงตามใจชอบ แล้วประกาศโครงการให้สอดคล้องกับชื่อพรรคการเมือง โดยที่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถทำได้และถูกข้อห้ามในการเลือกตั้ง
ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า คุณมาเสนอนโยบายการอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เห็นชัดเท่ากับรัฐบาลที่บอกว่าเดือนธันวาคมจะจ่ายเงินเพิ่มให้คนสูงอายุและคนจน พอเดือนมีนาคมที่มีการเลือกตั้งก็ประกาศว่าหลังเมษายนจะจ่ายเพิ่มอีก ความได้เปรียบมันจึงเกิดขึ้น
อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งที่แล้วต้องยอมรับว่าเรื่องใครสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่ ได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งมันทำให้ความสนใจต่อนโยบายมันน้อยลง
ผมจึงอยากเห็นการแข่งขันทางนโยบายที่แข่งขันกันจริงๆ และที่สำคัญพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายแล้วไม่ทำ ประชาชนจะต้องไม่ให้โอกาสอีก
https://www.facebook.com/Chaturon.FanPage/posts/pfbid02wcV3Pz16B8Hzd1hnAREWsyf9yrXsPWVvrWAwFMhkssYcDtVNRVTW4YMeAsF2EL2zl
JJNY : อุ๊งอิ๊งเชื่อ พท.คัดคนดีที่สุด| พิธาพบเครือข่ายแรงงาน|“จาตุรนต์”ชี้อยากเห็นพรรคจริงจัง|เชื่อสัปดาห์หน้าสภาล่มอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3719719
อุ๊งอิ๊ง เชื่อ พท.คัดคนดีที่สุดเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่โกรธหากไม่ได้รับเลือก ยังทำงานเต็มที่
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้สัมภาษณ์กรณีปราศรัยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย (พท.) แน่นอนว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองมีได้ 3 คน ซึ่งหัวหน้าพรรค พท.พูดมาตลอดว่าจะส่งครบทั้ง 3 คน 1 ในนั้นน่าจะเป็น น.ส.แพทองธาร ตนใช้สิทธิส่วนบุคคลในฐานะกองเชียร์ก็เชียร์ แต่เมื่อประกาศทั้ง 3 คน ตนก็ต้องเชียร์ทั้ง 3 คน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ขานรับขนาดนี้ หัวหน้าพรรค พท.ก็น่าจะรับไว้พิจารณา แต่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งจะประกาศในภายหลัง
ด้านน.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขณะนี้พรรคยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจน เชื่อว่าพรรคพท.จะหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้เหมาะสมมากที่สุด ถ้ามีคนที่เหมาะสมกว่าตนก็น้อมรับ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมทำงานกับพรรคพท.ซึ่งก็ต้องรอดูว่าประชาชนจะเมตตากับเรามากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็พร้อมทำงานกับพรรคพท. และพร้อมทำงานให้กับประชาชนสุดความสามารถ
เมื่อถามว่า เมื่อประกาศตัวอย่างชัดเจนคะแนนในภาคใต้จะตีตื้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า พรรคพท.ขายนโยบาย เราพูดและทำได้จริง
เมื่อถามว่า เวลาที่เหมาะสมในการประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ในช่วงเวลาใด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “เราพยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน อิ๊งเองไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น ก็ยังทำเต็มที่เหมือนเดิม ถ้าไม่เป็นก็ไม่โกรธเคือง ถ้าจะเป็นก็เป็นด้วยความเต็มใจ ก็มุ่งมั่นทำนโยบายเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเรา”
เมื่อถามว่า พื้นที่ภาคใต้พรรค พท.จะได้ส.ส.หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า แล้วแต่ประชาชนชาวภาคใต้จะกรุณา ตนยืนยันว่าพรรคพท.ตั้งใจอย่างมาก ที่มา ไม่รู้ว่าจะเลือกหรือไม่แต่ตนก็ดีใจ
ถามต่อว่า กระแสพล.อ.ประยุทธ์ในพื้นที่ภาคใต้ยังแรงอยู่นโยบายของพรรคพท.จะสู้ได้หรือไม่นั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ถ้าคนใต้เห็นว่านโยบายที่พรรคพท.เสนอโดนใจคนใต้ พี่น้องลำบากมานานแล้ว เรานำเสนอความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพราะประชาชนทุกข์มานานแล้ว
ขณะที่ นพ.ชลน่าน กล่าวถึงกระแสข่าวส.ส.ลาออกช่วงสัปดาห์หน้าจะกระทบกับสภาฯ หรือไม่ว่า กระแสส.ส.ลาออกมีเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงใกล้ครบวาระสภา แต่ละพรรคที่เขาพยายามดูด ส.ส. มีเงื่อนไขว่าต้องออกก่อนครบวาระสภา ซี่งเป็นสัญญาณและข้อผูกมัดของเขา เชื่อว่าจะมีส.ส.ออกเยอะ ส่วนจะมีผลต่อการทำงานในสภาฯ หรือไม่นั้น กฎหมายเขียนว่าให้นับจำนวน ส.ส.ที่เหลืออยู่ ฉะนั้นเหลืออยู่เท่าไหร่ก็เป็นองค์ประชุมเท่านั้น ซึ่งสามารถทำงานได้ การลาออกนั้นไม่มีผลต่อองค์ประชุมสภา แต่มีผลทำให้เรื่องของกฎหมายบางฉบับจะไม่ได้รับการพิจารณา
พิธา พบเครือข่ายแรงงาน ย้ำก้าวไกลให้ความสำคัญ ดันขึ้นค่าแรงทันที ปี’66
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720046
พิธา พบเครือข่ายแรงงาน ย้ำก้าวไกลให้ความสำคัญ ดันขึ้นค่าแรงทันที ปี’66
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2565 ที่ศูนย์การเรียนรู้สหภาพโตโยต้าประเทศไทย พรรคก้าวไกล จัดการประชุมใหญ่เครือข่ายผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ โดยมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายแรงงาน นำโดย นายสุนทร บุญยอด อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เซีย จำปาทอง และ น.ส.ธนพร วิจันทร์ ขึ้นเวทีประกาศนโยบายก้าวไกล เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน
นายพิธากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเจอความท้าทายใน 2 อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ คืออุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำแรงงานต้องมาพูดคุยกันว่าจะรับมือความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ในส่วนพรรคก้าวไกล เราให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานอย่างมาก และได้ออกแบบนโยบาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานทุกคนอย่างยั่งยืน เช่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นทันที 450 บาท โดยคำนวณให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งต้นจากปี 2554 ที่ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน
“พรรคก้าวไกลเสนอว่า ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นทันที 450 บาท ในปี 2566 ส่วนพรรคการเมืองอื่นก็ได้เสนอตัวเลขและระยะเวลาเป้าหมายที่ต่างออกไป ผมคิดว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่พรรคการเมืองเห็นตรงกันว่า ต้องเพิ่มรายได้ของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้น ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน” นายพิธากล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาของผู้ใช้แรงงานนั้น ทำแค่เรื่องค่าแรงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแรงงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิทธิวันหยุด สิทธิลาคลอดที่เพิ่มขึ้น สิทธิการรวมตัวกันของแรงงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นความสำคัญของการที่แรงงานทุกคนต้องมีสิทธิประกันสังคม นอกจากนี้ รัฐต้องสนับสนุนการพัฒนาทักษะของแรงงาน เพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงานในโลกปัจจุบัน เช่น นโยบายคูปองคนวัยทำงานเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ รัฐร่วมจ่าย 80% จากราคาหลักสูตร แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อปี
นายพิธากล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาของคนทำงานในวงการอื่นๆ เช่น คนทำงานในกองถ่าย ที่ต้องทำงานหนักมากกว่าวันละ 16 ชั่วโมงต่อวัน แพทย์ และพยาบาลที่ส่วนใหญ่ทำงานไม่ต่ำกว่า 90 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่มาตรฐานแรงงานอยู่ที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือแรงงานเย็บผ้าที่รับงานไปทำที่บ้าน มีรายได้ต่ำเพราะถูกกดค่าแรง ไม่มีสวัสดิการและหลักประกันใดๆ พรรคก้าวไกลยืนยันจะต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงาน ดูแลคนทำงานทุกคนในประเทศนี้ เพราะเชื่อว่าพวกเราทุกคนคือคน 99% ที่เป็นผู้ใช้แรงงานที่สร้างสรรค์สังคม
ด้าน นายสุนทรกล่าวว่า ผู้ใช้แรงงาน และคนทำงานจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองของตัวเอง ต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ยืนหยัดอยู่กับคนยากจนและคนที่ยากลำบากในสังคม สำหรับพรรคก้าวไกลเป็นพรรคมวลชน สร้างความเข้มแข็งจากการสนับสนุนของประชาชน มีตัวแทนที่เป็นแรงงานมาจากโรงงานถึง 4 คน เป็นทั้ง ส.ส. บัญชีรายชื่อ และเป็น ส.ส.เขตที่เคยชนะการเลือกตั้งในจังหวัดชลบุรี จนเกิดคำกล่าวว่า “แรงงานล้มบ้านใหญ่” ถึงแม้เครือข่ายแรงงานของอดีตพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบลง แต่เครือข่ายแรงงานก้าวไกลยังอยู่และขับเคลื่อนต่อ เราจึงขอส่งไม้ต่อให้พิธา สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่อนาคตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนให้ก้าวหน้าก้าวไกล
“จาตุรนต์” ชี้เลือกตั้งครั้งนี้ อยากเห็นพรรคการเมืองแข่งขันนโยบายจริงจัง แนะปชช.ใครทำไม่ได้อย่าเลือก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720331
“จาตุรนต์” ชี้เลือกตั้งครั้งนี้ อยากเห็นพรรคการเมืองแข่งขันนโยบายจริงจัง แนะปชช.ใครทำไม่ได้อย่าเลือก
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
ตลอดสัปดาห์มีการถกเถียงกันเรื่องนโยบายในการเลือกตั้งครั้งหน้ามากขึ้น ตัวผมเองได้ไปร่วมเวทีเสวนาของสยามรัฐเมื่อ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพูดในหัวข้อ “โอกาส ความหวัง การเมืองวิถีใหม่” โดยมีนโยบายเป็นกุญแจสำคัญครับ
พรรคเพื่อไทยมีแนวทางการทำนโยบายและการนำไปปฏิบัติจริงจากที่เคยทำกันมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ซึ่งเราถือว่านโยบายเป็นเรื่องสำคัญและทำอย่างจริงจัง เราพยายามศึกษาว่าปัญหาของคนทั้งประเทศอยู่ตรงไหน ประชาชนเดือดร้อนอย่างไร ทั้งปัญหาของประชาชนทั้งประเทศ และประชาชนในแต่ละกลุ่มเฉพาะ ว่า พวกเขาต้องการแก้ปัญหาอะไร นี่คือการสร้างความหวังให้ประชาชนและประเทศนี้โดยนโยบาย
สิ่งสำคัญอย่างแรกนโยบายต้องทำให้ประเทศพ้นวิกฤต เราเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหนักหนามาก เศรษฐกิจเติบโตช้าจนเป็นอันดับรั้งท้ายในอาเซียนมาหลายปี และเมื่อทั่วโลกกำลังฟื้นตัว ไทยก็ฟื้นช้ากว่าคนอื่น อีกทั้งเรากำลังเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่การผลิตก็ต้องทันสมัย มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ส่งเสริมพัฒนาบุคลากรเพิ่มทักษะ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันกับเขาได้ เราจะต้องฟื้นตัวให้เร็ว มีเค้กมาแบ่งกันมากขึ้น แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากของประเทศไทยให้ได้
นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งไปเพื่อแก้ปัญหาของทั้งประเทศเหล่านี้ และเมื่อเสนอในการเลือกตั้งแล้ว ถ้าได้รับการเลือกตั้งก็จะนำไปทำเป็นนโยบายรัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา แล้วก็ใช้บริหารประเทศจนเกิดขึ้นจริงเหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งการทำนโยบายขณะนี้เราก็ตั้งใจอย่างนั้น ในโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งนโยบายที่ออกมาจะมีความชัดเจนและเป็นความหวังของประชาชน
แต่ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าการแข่งขันทางนโยบายจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่มันไม่มีหรือมีน้อยมากในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อยากเห็นการนำเสนอนโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาประเทศกันจริงๆ มีการแข่งขันทางนโยบายกันอย่างเข้มข้นโดยประชาชนมีความหวังว่าถ้าเลือกพรรคนี้ด้วยนโยบายแบบนี้แล้วจะได้รัฐบาลเพื่อมาแก้ปัญหาและประชาชน ทั้งพรรคและประชาชนให้ความสนใจกับนโยบายเป็นอันดับแรก ๆ (นอกเหนือจากตัวผู้สมัครและแคนดิเดต) ไม่ใช่แข่งขันกันด้วยเรื่องอำนาจรัฐอำนาจเงิน หรือเน้นแต่เรื่องบุคคลอย่างเดียว
ที่ผมพูดแบบนี้เพราะการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นการถอยหลัง ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศสะดุดอย่างรุนแรง การแข่งขันทางนโยบายมีน้อยและประชาชนให้ความสนใจน้อย เพราะการเลือกตั้งใน 30-40 ปีเป็นอย่างน้อย ไม่เคยมีการเลือกตั้งครั้งไหนที่รัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ไม่เป็นรัฐบาลรักษาการ แต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นรัฐบาล คสช. ที่ไม่ถูกห้ามเรื่องการใช้งบประมาณ จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็ทำได้ สามารถใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาทในการหาเสียงตามใจชอบ แล้วประกาศโครงการให้สอดคล้องกับชื่อพรรคการเมือง โดยที่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถทำได้และถูกข้อห้ามในการเลือกตั้ง
ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า คุณมาเสนอนโยบายการอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เห็นชัดเท่ากับรัฐบาลที่บอกว่าเดือนธันวาคมจะจ่ายเงินเพิ่มให้คนสูงอายุและคนจน พอเดือนมีนาคมที่มีการเลือกตั้งก็ประกาศว่าหลังเมษายนจะจ่ายเพิ่มอีก ความได้เปรียบมันจึงเกิดขึ้น
อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งที่แล้วต้องยอมรับว่าเรื่องใครสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่ ได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งมันทำให้ความสนใจต่อนโยบายมันน้อยลง
ผมจึงอยากเห็นการแข่งขันทางนโยบายที่แข่งขันกันจริงๆ และที่สำคัญพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายแล้วไม่ทำ ประชาชนจะต้องไม่ให้โอกาสอีก
https://www.facebook.com/Chaturon.FanPage/posts/pfbid02wcV3Pz16B8Hzd1hnAREWsyf9yrXsPWVvrWAwFMhkssYcDtVNRVTW4YMeAsF2EL2zl