ตอนที่ 2
เมื่อรู้ข่าวกำลังจะมีทัพใหญ่มารุกรานเมือง แม้เป็นหญิงก็ไม่ควรประมาท ยิ่งทัพสิงหนผู้กักขฬะมักแสดงออกว่าต้องการตัวหญิงงามประจำเมืองมาเป็นชายา ราชธิดาของเจ้าฟ้าสุริยันจึงต้องคิดอ่านทำประการหนึ่งประการใด เพื่อให้เวียงพรหมรอดพ้นจากพิษภัยของทัพสิงหนนคร
ในเช้าวันหนึ่ง บนภูผาสูงด้านหลังหอหลวง ที่หากขึ้นไปอยู่บนนั้นมองลงมา ก็จะเห็นหลังคาหอหลวงลิบ ๆ อยู่เบื้องหน้า รวมทั้งชัยภูมิโดยรอบไปไกล บนลานภูผาแห่งนั้นเอง อาชาสีนิลตัวหนึ่งเหยาะย่างด้วยท่วงท่าสง่างามมาที่ลาน สตรีบนหลังมันแต่งกายรัดกุมทะมัดทะแมงด้วยชุดบุรุษ เมื่อม้าลักษณะดีพาคนบนหลังมาถึงยังกลางลาน ชายชราผู้มีหนวดเครายาวขาวโพลน แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายาวรุ่มร่ามคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวออกจากดงไม้ที่แหวกเป็นช่อง เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าช่องนั้นดูดำมืด ร่างกายแกคล้ายผุดออกมาจากห้วงกาลเวลาอีกห้วงหนึ่งต่างหาก พอออกมาพ้นแล้วช่องนั้นก็ปิดลง
“ขอโทษที่ทำให้ท่านอาจารย์มังคลารอนาน” แต่เจ้านางปทุมวดีบนหลังอาชากลับค้อมตัวลงให้ชายชราด้วยท่าทีเป็นปกติ คล้ายประสบมาก่อนแล้ว
“มิเป็นไรดอก ระหว่างที่รอ ข้าก็ทำลูกธนูให้ท่านไปพลาง ๆ ก่อน ได้ลูกธนูหลายดอก มีทั้งลูกดอกหน้าไม้และลูกธนูเจาะเกราะ” ผู้เฒ่าชูซองใส่ลูกธนูหนังวัวสีน้ำตาลแดงที่ใส่ลูกธนูไว้เต็มซองให้ดู
“สวยงามแท้ท่านอาจารย์” หน่วยตางามเป็นประกายแวววาว ราวได้เห็นของเล่นที่ถูกใจ และเมื่อผู้เฒ่าส่งซองลูกธนูมาให้ เธอก็นำมันไปสะพายไว้ที่หลัง
“ลูกธนูเหล่านี้ หัวธนูข้าตีเหล็กร้อนแล้วเอาไปแช่ในน้ำเกลือ มันจึงมีความแข็งเป็นพิเศษ คันธนูนี้ทำมาจากเขาสัตว์ผสมกับไม้ มันจึงมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ คันศรตึงด้วยเส้นเอ็นของม้า ทำให้เมื่อยิงธนูแต่ละครั้งจะไปได้ไกลและเร็วมาก รูปร่างธนูข้าทำให้ มันคันเล็กแต่ทนแรงง้างได้มาก จึงเหมาะกับท่าน”
บอกแล้วก็ยื่นคันธนูชนิดพิเศษนั้นให้อีก ซึ่งคนบนหลังม้าก็รับมันมาทดลองง้างดูอย่างพึงใจ
“ข้าฝึกยืนยิงและนั่งยิงธนูบนหลังม้าจนชำนาญแล้ว วันนี้จะขอฝึกยิงจากหลังม้าที่วิ่งควบเร็วอีกด้วยนะท่านอาจารย์”
น้ำเสียงแจ่มใสกับสีหน้าที่สดชื่น ทำให้ผู้เฒ่าตอบตกลงอย่างเอ็นดู แต่ก็สำทับว่า
“ยิงธนูจากหลังม้าต้องใช้ความชำนาญ ไม่อาจใช้คาถาอาคม เวลาห้อม้าวิ่ง ตัวท่านกับม้าต้องสื่อสารกันให้เข้าใจ เมื่อได้จังหวะก็บอกมันด้วยส้นเท้า ม้ามันจะชะลอความเร็วให้ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นยิงธนู เจ้านางต้องฝึกบังคับม้าให้มันวิ่งนิ่ง ๆ เวลายิงจะได้ไม่พลาดเป้า”
ที่แท้ชายชราเป็นอาจารย์สอนวิชายิงธนูและไสยเวทให้แก่พระธิดาปทุมวดีมาตั้งแต่ยังเล็ก เธอพยักหน้าตกลงแล้วลองขึ้นสายธนูดู ซึ่งก็พบว่าธนูนี้ง้างง่ายไม่กินแรง อยากจะทดลองยิงดู จึงเอื้อมไปหยิบลูกธนูจากซองหนังมาพาดสาย นึกถึงวิธียิงธนูซึ่งผู้เฒ่าและแม่ทัพภูมินตราได้ฝึกให้กับตนจนชำนาญ น้าวคันธนู จ้องไปที่ปลายศรก่อนยิงมันออกไป ลูกธนูหลุดจากแหล่งพุ่งหวือไปในอากาศ ปักตัวนกตัวหนึ่งที่บินผ่านมาจนร่วงหล่นลง ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มอย่างสะใจ...ใครว่ามีแต่ผู้ชายที่ยิงธนูแม่น!
ชายชราจับจ้องมองท่วงท่าควบม้าห้อตะบึงแล้วชักลูกธนูออกพาดสาย พร้อมกับยิงออกไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวของศิษย์สาว แววตาที่มองดูเปล่งประกายสุกใสแวววาว ราวกับมิใช่สายตาของผู้เฒ่า มันโชนแสงอย่างยินดีปรีดาและอิ่มใจยิ่ง
“จะกี่ภพกี่ชาติ ธนูและม้าดั่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายท่านเอง ถึงเวลาที่ข้าต้องวางใจในตัวท่านเสียที”
ผู้เฒ่ารำพึงกับตัวเองเบา ๆ และเมื่อเจ้านางสาวลงจากหลังม้ามาแล้ว แกจึงผายมือไปที่ดงไม้
“สิ่งที่ท่านอยากรู้อยู่ด้านในนี้แล้ว เชิญเข้าไปดูเถิด” มือผู้เฒ่าวาดเป็นวง พลันก็เกิดเป็นช่องให้เห็นอีก พ่อเฒ่าแตะแขนเธอชวนเดินเข้าไป
ภายในช่อง ที่เมื่อเข้ามาแล้วเหมือนเป็นห้อง ๆ หนึ่ง มีแสงสว่างเรืองรองโดยไม่ต้องตามโคมไฟ ตั้งโต๊ะทำพิธีพร้อมกระถางธูปเทียน อ่างน้ำขนาดย่อมวางอยู่เบื้องหน้าของเทวรูปหินแกะสลัก คล้ายรูปเทวีของเทวาลัยทางชมพูทวีป ที่แกะสลักงูตัวหนึ่งพันรอบแขนข้างหนึ่งของเทวรูป เจ้านางสาวเพ่งมองอย่างสนใจ
“เทวรูปเจ้าแม่กาลมาตา มารดาแห่งชีวิตอมตะ” ชายชราผายมือให้เจ้านางสาวนั่งลงบนเบาะผ้าสีแดง
“ข้างในนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก” เจ้านางปทุมวดีมองไปโดยรอบ รำพึงออกมาด้วยความรู้สึกตื่นใจ พ่อหมอยิ้มน้อย ๆ
“ข้าจะเริ่มต้นเสี่ยงทายละ” แกเลื่อนอ่างน้ำมาเบื้องหน้า เริ่มจุดเทียนไขแล้วเอียงน้ำตาเทียนให้หยดลงบนน้ำในอ่าง พลางท่องบทสวดงึมงำเป็นภาษาบาลี ทันทีที่น้ำถูกเทียนไขหยดต้อง ก็เกิดเป็นริ้วสีแดงกระจายออกไปจนทั่วอ่าง กระทั่งน้ำในอ่างเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานประดุจสีเลือด เช่นนี้แล้วปทุมวดีย่อมรู้ว่าเป็นลางไม่ดี นัยน์เธอเบิกกว้างจ้องมอง
“ไม่ดี...ไม่ดี” เสียงผู้เฒ่าพึมพำ “เลือดจะนองแผ่นดิน”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ผู้คนจักล้มตายกันมาก ไม่ใช่เฉพาะแต่ทหารเท่านั้น เกรงว่าเวียงพรหมจะถึงกาลล่มสลาย รักษาเมืองเอาไว้ไม่ได้”
เจ้านางหน้าซีดเผือด “มีวิธีแก้ไขหรือไม่ เราจะทำอย่างไรดี”
“ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจะอยู่ช่วยท่านได้ เพราะขณะนี้ชีวิตของข้าได้ดำเนินมาถึงห้วงเวลาที่ต้องสูญสลายไปแล้ว ในเวลาที่ข้ามี” ผู้เฒ่ามีแววตาครุ่นคิด
(มีต่อ)
ภูตพระนาง ตอนที่ 2
เมื่อรู้ข่าวกำลังจะมีทัพใหญ่มารุกรานเมือง แม้เป็นหญิงก็ไม่ควรประมาท ยิ่งทัพสิงหนผู้กักขฬะมักแสดงออกว่าต้องการตัวหญิงงามประจำเมืองมาเป็นชายา ราชธิดาของเจ้าฟ้าสุริยันจึงต้องคิดอ่านทำประการหนึ่งประการใด เพื่อให้เวียงพรหมรอดพ้นจากพิษภัยของทัพสิงหนนคร
ในเช้าวันหนึ่ง บนภูผาสูงด้านหลังหอหลวง ที่หากขึ้นไปอยู่บนนั้นมองลงมา ก็จะเห็นหลังคาหอหลวงลิบ ๆ อยู่เบื้องหน้า รวมทั้งชัยภูมิโดยรอบไปไกล บนลานภูผาแห่งนั้นเอง อาชาสีนิลตัวหนึ่งเหยาะย่างด้วยท่วงท่าสง่างามมาที่ลาน สตรีบนหลังมันแต่งกายรัดกุมทะมัดทะแมงด้วยชุดบุรุษ เมื่อม้าลักษณะดีพาคนบนหลังมาถึงยังกลางลาน ชายชราผู้มีหนวดเครายาวขาวโพลน แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายาวรุ่มร่ามคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวออกจากดงไม้ที่แหวกเป็นช่อง เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าช่องนั้นดูดำมืด ร่างกายแกคล้ายผุดออกมาจากห้วงกาลเวลาอีกห้วงหนึ่งต่างหาก พอออกมาพ้นแล้วช่องนั้นก็ปิดลง
“ขอโทษที่ทำให้ท่านอาจารย์มังคลารอนาน” แต่เจ้านางปทุมวดีบนหลังอาชากลับค้อมตัวลงให้ชายชราด้วยท่าทีเป็นปกติ คล้ายประสบมาก่อนแล้ว
“มิเป็นไรดอก ระหว่างที่รอ ข้าก็ทำลูกธนูให้ท่านไปพลาง ๆ ก่อน ได้ลูกธนูหลายดอก มีทั้งลูกดอกหน้าไม้และลูกธนูเจาะเกราะ” ผู้เฒ่าชูซองใส่ลูกธนูหนังวัวสีน้ำตาลแดงที่ใส่ลูกธนูไว้เต็มซองให้ดู
“สวยงามแท้ท่านอาจารย์” หน่วยตางามเป็นประกายแวววาว ราวได้เห็นของเล่นที่ถูกใจ และเมื่อผู้เฒ่าส่งซองลูกธนูมาให้ เธอก็นำมันไปสะพายไว้ที่หลัง
“ลูกธนูเหล่านี้ หัวธนูข้าตีเหล็กร้อนแล้วเอาไปแช่ในน้ำเกลือ มันจึงมีความแข็งเป็นพิเศษ คันธนูนี้ทำมาจากเขาสัตว์ผสมกับไม้ มันจึงมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ คันศรตึงด้วยเส้นเอ็นของม้า ทำให้เมื่อยิงธนูแต่ละครั้งจะไปได้ไกลและเร็วมาก รูปร่างธนูข้าทำให้ มันคันเล็กแต่ทนแรงง้างได้มาก จึงเหมาะกับท่าน”
บอกแล้วก็ยื่นคันธนูชนิดพิเศษนั้นให้อีก ซึ่งคนบนหลังม้าก็รับมันมาทดลองง้างดูอย่างพึงใจ
“ข้าฝึกยืนยิงและนั่งยิงธนูบนหลังม้าจนชำนาญแล้ว วันนี้จะขอฝึกยิงจากหลังม้าที่วิ่งควบเร็วอีกด้วยนะท่านอาจารย์”
น้ำเสียงแจ่มใสกับสีหน้าที่สดชื่น ทำให้ผู้เฒ่าตอบตกลงอย่างเอ็นดู แต่ก็สำทับว่า
“ยิงธนูจากหลังม้าต้องใช้ความชำนาญ ไม่อาจใช้คาถาอาคม เวลาห้อม้าวิ่ง ตัวท่านกับม้าต้องสื่อสารกันให้เข้าใจ เมื่อได้จังหวะก็บอกมันด้วยส้นเท้า ม้ามันจะชะลอความเร็วให้ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นยิงธนู เจ้านางต้องฝึกบังคับม้าให้มันวิ่งนิ่ง ๆ เวลายิงจะได้ไม่พลาดเป้า”
ที่แท้ชายชราเป็นอาจารย์สอนวิชายิงธนูและไสยเวทให้แก่พระธิดาปทุมวดีมาตั้งแต่ยังเล็ก เธอพยักหน้าตกลงแล้วลองขึ้นสายธนูดู ซึ่งก็พบว่าธนูนี้ง้างง่ายไม่กินแรง อยากจะทดลองยิงดู จึงเอื้อมไปหยิบลูกธนูจากซองหนังมาพาดสาย นึกถึงวิธียิงธนูซึ่งผู้เฒ่าและแม่ทัพภูมินตราได้ฝึกให้กับตนจนชำนาญ น้าวคันธนู จ้องไปที่ปลายศรก่อนยิงมันออกไป ลูกธนูหลุดจากแหล่งพุ่งหวือไปในอากาศ ปักตัวนกตัวหนึ่งที่บินผ่านมาจนร่วงหล่นลง ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มอย่างสะใจ...ใครว่ามีแต่ผู้ชายที่ยิงธนูแม่น!
ชายชราจับจ้องมองท่วงท่าควบม้าห้อตะบึงแล้วชักลูกธนูออกพาดสาย พร้อมกับยิงออกไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวของศิษย์สาว แววตาที่มองดูเปล่งประกายสุกใสแวววาว ราวกับมิใช่สายตาของผู้เฒ่า มันโชนแสงอย่างยินดีปรีดาและอิ่มใจยิ่ง
“จะกี่ภพกี่ชาติ ธนูและม้าดั่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายท่านเอง ถึงเวลาที่ข้าต้องวางใจในตัวท่านเสียที”
ผู้เฒ่ารำพึงกับตัวเองเบา ๆ และเมื่อเจ้านางสาวลงจากหลังม้ามาแล้ว แกจึงผายมือไปที่ดงไม้
“สิ่งที่ท่านอยากรู้อยู่ด้านในนี้แล้ว เชิญเข้าไปดูเถิด” มือผู้เฒ่าวาดเป็นวง พลันก็เกิดเป็นช่องให้เห็นอีก พ่อเฒ่าแตะแขนเธอชวนเดินเข้าไป
ภายในช่อง ที่เมื่อเข้ามาแล้วเหมือนเป็นห้อง ๆ หนึ่ง มีแสงสว่างเรืองรองโดยไม่ต้องตามโคมไฟ ตั้งโต๊ะทำพิธีพร้อมกระถางธูปเทียน อ่างน้ำขนาดย่อมวางอยู่เบื้องหน้าของเทวรูปหินแกะสลัก คล้ายรูปเทวีของเทวาลัยทางชมพูทวีป ที่แกะสลักงูตัวหนึ่งพันรอบแขนข้างหนึ่งของเทวรูป เจ้านางสาวเพ่งมองอย่างสนใจ
“เทวรูปเจ้าแม่กาลมาตา มารดาแห่งชีวิตอมตะ” ชายชราผายมือให้เจ้านางสาวนั่งลงบนเบาะผ้าสีแดง
“ข้างในนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก” เจ้านางปทุมวดีมองไปโดยรอบ รำพึงออกมาด้วยความรู้สึกตื่นใจ พ่อหมอยิ้มน้อย ๆ
“ข้าจะเริ่มต้นเสี่ยงทายละ” แกเลื่อนอ่างน้ำมาเบื้องหน้า เริ่มจุดเทียนไขแล้วเอียงน้ำตาเทียนให้หยดลงบนน้ำในอ่าง พลางท่องบทสวดงึมงำเป็นภาษาบาลี ทันทีที่น้ำถูกเทียนไขหยดต้อง ก็เกิดเป็นริ้วสีแดงกระจายออกไปจนทั่วอ่าง กระทั่งน้ำในอ่างเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานประดุจสีเลือด เช่นนี้แล้วปทุมวดีย่อมรู้ว่าเป็นลางไม่ดี นัยน์เธอเบิกกว้างจ้องมอง
“ไม่ดี...ไม่ดี” เสียงผู้เฒ่าพึมพำ “เลือดจะนองแผ่นดิน”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ผู้คนจักล้มตายกันมาก ไม่ใช่เฉพาะแต่ทหารเท่านั้น เกรงว่าเวียงพรหมจะถึงกาลล่มสลาย รักษาเมืองเอาไว้ไม่ได้”
เจ้านางหน้าซีดเผือด “มีวิธีแก้ไขหรือไม่ เราจะทำอย่างไรดี”
“ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจะอยู่ช่วยท่านได้ เพราะขณะนี้ชีวิตของข้าได้ดำเนินมาถึงห้วงเวลาที่ต้องสูญสลายไปแล้ว ในเวลาที่ข้ามี” ผู้เฒ่ามีแววตาครุ่นคิด
(มีต่อ)