10
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนั้นบทสรุปสุดท้ายพิมพ์มาดาก็เออออตามสองหนุ่มมาจนได้ ทั้งสามได้เดินเท้าลัดเลาะป่ามายังค่ายทหารที่ขุนรามเดะ
ชะเป็นหัวหน้าในการฝึก ตัวเขาเองเป็นทหารกรมอาสาในวังหน้า เขาริเริ่มฝึกทหารกลุ่มนี้เมื่อย้ายพระนครมาจากฝั่งธนบุรี คืนนี้เหล่าทหารมา
รวมตัวกันแน่นขนัดเกือบร้อยกว่านาย ชายชาตรีเหล่านั้นรู้ตัวดีว่าสงครามที่พวกเขาเตรียมพร้อมมาตลอดนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ตามข่าวจากใบบอกหัวเมือง พม่ามันหวังจักตีต่อยกทัพเข้ายึดพระนคร ทัพที่ยกมาคราวนี้พระเจ้าปดุงยกพลมาเป็นเรือนแสน มีเก้าทัพแบ่งมา
ห้าสาย หมายใจจักโจมตีให้พร้อมกันหมดทุกด้าน มิให้เรามีทางสู้ได้เลย หากเราไม่สู้เราก็จักมิมีแผ่นดินให้อยู่ แต่หากเราร่วมมือกันต่อสู้อย่าให้
ถอย เราก็ยังมีโอกาสรักษาแผ่นดินไว้มิให้ใครมารุกราน พวกเจ้าเป็นทหารวังหน้า เป็นทหารของพระยาเสือผู้ที่พม่าเกรงกลัว ข้าขอให้ความกล้า
และชัยชำนะอยู่กับพวกเจ้าทุกคราเมื่อประจันหน้าข้าศึก”
ขณะที่ขุนรามเดชะพูดปลุกใจทหารเหล่านั้นอยู่ พิมพ์มาดาก็เหลือไปเห็นหญิงสาวชราที่มาพร้อมหญิงผู้ติดตามสองคน ในมือของสาวผู้ติดตาม
มีถุงใหญ่ๆอยู่ในมือซึ่งเธอมาทราบภายหลังว่าเป็นยาสมุนไพรที่ทำมาเพื่อให้ทหารไว้ออกรบโดยเฉพาะ เมื่อขุนรามเดชะพูดเสร็จก็เดินเข้ามายก
มือไหว้หญิงชราผู้น่าเกรงขามคนนี้ นาทีนั้นเองทอมาก็กระซิบให้พิมพ์มาดาทำตาม ทอมาเรียกผู้นั้นว่า มะม๊วดมอญ ซึ่งพิมพ์มาดาคิดเองเออ
เองว่าคงจะเป็นแม่มดหมอผีแน่ๆ ยิ่งดูจากสร้อยลูกประคำอันโตที่หญิงชราใส่อยู่ มะม๊วดเฒ่าพูดคุยกับขุนรามเดชะสักครู่ก็หันมาถามทอมาว่า
“ทอมา ไอ้เด็กนี่มันชื่ออะไร”
“เจ้าใบ้ขอรับ” ทอมาพูดอย่างตะกุกตะกัก
“เจ้าใบ้ฤา ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าใบ้ครู่หนึ่งจักได้ไหม” พูดจบมะม๊วดมอญก็หลิ่วตาให้พิมพ์มาดาในคราบเจ้าใบ้เดินตามออกไป ทิ้งไว้แต่ขุนราม
เดชะกับทอมาที่มีสีหน้างงงวยไม่แพ้กัน
แสงจันทร์ที่เลือนรางภายใต้คืนเดือนแรมทำให้ใบหน้าของหญิงชราดูมีความน่าเกรงขามเข้าไปอีก
“พูดสิ” ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว
หญิงสาวที่แกล้งเป็นใบ้ถึงกับยืนใบ้กินเมื่อได้ยินแบบนี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี่ เจ้ามาจากที่ไกลแสนไกล” หญิงชราพูดต่อ
ประโยคนี้เองทำเอาคนใบ้กินถึงกับยืนตื่นตะลึงเข้าไปอีก เมื่อวันแรกที่เธอเหยียบเท้าเข้ามาในโลกอดีต เธอพยายามบอกใครต่อใคร ก็ไม่มีใครสักคนที่เชื่อเธอ แต่ในวันนี้หญิงแปลกหน้ากลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน
“ถ้าเช่นนี้แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“เจ้ามาที่นี่เพราะ คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับคนผู้หนึ่ง”
“ข้าน่ะหรือ ข้าไปสัญญาอะไรไว้เจ้าคะ” พิมพ์มาดาสงสัย
“คำสัญญาที่เจ้าได้ให้ไว้แสนเนิ่นนาน คำสัญญาที่บอกว่าจักคอยปกป้องชีวิตของกันและกันตลอดไป”
“คำสัญญาแบบนั้นน่ะหรือ ข้าไม่เห็นจำได้เลยเจ้าค่ะ”
“มันนานเกินกว่าความทรงจำเจ้าจักจำได้ แม่สาวน้อย บุญวาสนาของเจ้าทั้งสองมีต่อกันทุกภพทุกชาติ เส้นสายชีวิตของคนสองคนที่ถักทอกัน
มาอย่างเหนียวแน่น เพียงข้าเห็น ข้าก็สัมผัสได้ เจ้าล่ะไม่รู้สึกอะไรเลยฤา”
“ท่านจะให้ข้าเชื่อในเรื่องที่ท่านพูดได้อย่างไร มันไม่มีทางเป็นจริงหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด ข้าแค่พูดในสิ่งที่ควรพูด ข้าพูดได้แค่นี้”หญิงชราพูดเบาๆและหลับตาลงเหมือนกำลังทำสมาธิ
“ถ้าท่านเป็นผู้วิเศษจริง ข้าจะกลับไปอนาคตได้อย่างไร ท่านช่วยชี้นำข้าทีสิเจ้าคะ” พิมพ์มาดาหยั่งเชิง
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า เจ้าจักได้รู้เองเมื่อถึงเวลา”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ขอตัว” พิมพ์มาดาเดินหันหลังกลับไปด้วยอารมณ์หลายอย่างที่ตีกันจนสับสน
“เจ้าต้องไปออกศึกครานี้”
คำพูดเบาๆแต่ทำเอาพิมพ์มาดาถึงกับเดินสะดุดหน้าเกือบทิ่ม สิ่งที่หญิงชราเล่ามันแสนจะเหลือเชื่อ แต่ประโยคนี้ของหญิงชราที่จะให้เธอไปรบ
มันบ้าเสียยิ่งกว่าบ้า
“บ้าหรือเปล่าเจ้าคะ ข้าจะไปออกศึกได้อย่างไร ท่านจะให้ข้าไปตายหรือ” พิมพ์มาดาพูดอย่างมีอารมณ์
“ถ้าเจ้าไม่ไป เขาก็ตาย”
“ใครตายเจ้าคะ”
“คนที่เจ้าได้เคยให้สัญญาไว้ ผู้ชายคนนั้นที่เคยได้ช่วยเจ้ามา”
“ท่านหมายถึง ขุนรามเดชะหรือ เขาเก่งขนาดนั้น เขาไม่ตายง่ายๆหรอกเจ้าค่ะ ข้าสิเจ้าคะที่จะตาย พอกันที ข้าไม่อยากฟังท่านเล่าเรื่องไร้สาระแล้ว”
“หากเจ้าไม่ไปศึกครานี้ ที่เจ้ากลับมาก็สูญเปล่า เจ้าทั้งคู่มีกรรมวาสนาต่อกันมายาวนาน เจ้าหนีลิขิตนี้ไม่พ้นหรอก ตรองให้ดีแล้วกัน” หญิงชรา
พูดเสียงเรียบ
กรุงเทพนิรมิตร ตอนที่ 10
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนั้นบทสรุปสุดท้ายพิมพ์มาดาก็เออออตามสองหนุ่มมาจนได้ ทั้งสามได้เดินเท้าลัดเลาะป่ามายังค่ายทหารที่ขุนรามเดะ
ชะเป็นหัวหน้าในการฝึก ตัวเขาเองเป็นทหารกรมอาสาในวังหน้า เขาริเริ่มฝึกทหารกลุ่มนี้เมื่อย้ายพระนครมาจากฝั่งธนบุรี คืนนี้เหล่าทหารมา
รวมตัวกันแน่นขนัดเกือบร้อยกว่านาย ชายชาตรีเหล่านั้นรู้ตัวดีว่าสงครามที่พวกเขาเตรียมพร้อมมาตลอดนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ตามข่าวจากใบบอกหัวเมือง พม่ามันหวังจักตีต่อยกทัพเข้ายึดพระนคร ทัพที่ยกมาคราวนี้พระเจ้าปดุงยกพลมาเป็นเรือนแสน มีเก้าทัพแบ่งมา
ห้าสาย หมายใจจักโจมตีให้พร้อมกันหมดทุกด้าน มิให้เรามีทางสู้ได้เลย หากเราไม่สู้เราก็จักมิมีแผ่นดินให้อยู่ แต่หากเราร่วมมือกันต่อสู้อย่าให้
ถอย เราก็ยังมีโอกาสรักษาแผ่นดินไว้มิให้ใครมารุกราน พวกเจ้าเป็นทหารวังหน้า เป็นทหารของพระยาเสือผู้ที่พม่าเกรงกลัว ข้าขอให้ความกล้า
และชัยชำนะอยู่กับพวกเจ้าทุกคราเมื่อประจันหน้าข้าศึก”
ขณะที่ขุนรามเดชะพูดปลุกใจทหารเหล่านั้นอยู่ พิมพ์มาดาก็เหลือไปเห็นหญิงสาวชราที่มาพร้อมหญิงผู้ติดตามสองคน ในมือของสาวผู้ติดตาม
มีถุงใหญ่ๆอยู่ในมือซึ่งเธอมาทราบภายหลังว่าเป็นยาสมุนไพรที่ทำมาเพื่อให้ทหารไว้ออกรบโดยเฉพาะ เมื่อขุนรามเดชะพูดเสร็จก็เดินเข้ามายก
มือไหว้หญิงชราผู้น่าเกรงขามคนนี้ นาทีนั้นเองทอมาก็กระซิบให้พิมพ์มาดาทำตาม ทอมาเรียกผู้นั้นว่า มะม๊วดมอญ ซึ่งพิมพ์มาดาคิดเองเออ
เองว่าคงจะเป็นแม่มดหมอผีแน่ๆ ยิ่งดูจากสร้อยลูกประคำอันโตที่หญิงชราใส่อยู่ มะม๊วดเฒ่าพูดคุยกับขุนรามเดชะสักครู่ก็หันมาถามทอมาว่า
“ทอมา ไอ้เด็กนี่มันชื่ออะไร”
“เจ้าใบ้ขอรับ” ทอมาพูดอย่างตะกุกตะกัก
“เจ้าใบ้ฤา ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าใบ้ครู่หนึ่งจักได้ไหม” พูดจบมะม๊วดมอญก็หลิ่วตาให้พิมพ์มาดาในคราบเจ้าใบ้เดินตามออกไป ทิ้งไว้แต่ขุนราม
เดชะกับทอมาที่มีสีหน้างงงวยไม่แพ้กัน
แสงจันทร์ที่เลือนรางภายใต้คืนเดือนแรมทำให้ใบหน้าของหญิงชราดูมีความน่าเกรงขามเข้าไปอีก
“พูดสิ” ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว
หญิงสาวที่แกล้งเป็นใบ้ถึงกับยืนใบ้กินเมื่อได้ยินแบบนี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี่ เจ้ามาจากที่ไกลแสนไกล” หญิงชราพูดต่อ
ประโยคนี้เองทำเอาคนใบ้กินถึงกับยืนตื่นตะลึงเข้าไปอีก เมื่อวันแรกที่เธอเหยียบเท้าเข้ามาในโลกอดีต เธอพยายามบอกใครต่อใคร ก็ไม่มีใครสักคนที่เชื่อเธอ แต่ในวันนี้หญิงแปลกหน้ากลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน
“ถ้าเช่นนี้แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“เจ้ามาที่นี่เพราะ คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับคนผู้หนึ่ง”
“ข้าน่ะหรือ ข้าไปสัญญาอะไรไว้เจ้าคะ” พิมพ์มาดาสงสัย
“คำสัญญาที่เจ้าได้ให้ไว้แสนเนิ่นนาน คำสัญญาที่บอกว่าจักคอยปกป้องชีวิตของกันและกันตลอดไป”
“คำสัญญาแบบนั้นน่ะหรือ ข้าไม่เห็นจำได้เลยเจ้าค่ะ”
“มันนานเกินกว่าความทรงจำเจ้าจักจำได้ แม่สาวน้อย บุญวาสนาของเจ้าทั้งสองมีต่อกันทุกภพทุกชาติ เส้นสายชีวิตของคนสองคนที่ถักทอกัน
มาอย่างเหนียวแน่น เพียงข้าเห็น ข้าก็สัมผัสได้ เจ้าล่ะไม่รู้สึกอะไรเลยฤา”
“ท่านจะให้ข้าเชื่อในเรื่องที่ท่านพูดได้อย่างไร มันไม่มีทางเป็นจริงหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด ข้าแค่พูดในสิ่งที่ควรพูด ข้าพูดได้แค่นี้”หญิงชราพูดเบาๆและหลับตาลงเหมือนกำลังทำสมาธิ
“ถ้าท่านเป็นผู้วิเศษจริง ข้าจะกลับไปอนาคตได้อย่างไร ท่านช่วยชี้นำข้าทีสิเจ้าคะ” พิมพ์มาดาหยั่งเชิง
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า เจ้าจักได้รู้เองเมื่อถึงเวลา”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ขอตัว” พิมพ์มาดาเดินหันหลังกลับไปด้วยอารมณ์หลายอย่างที่ตีกันจนสับสน
“เจ้าต้องไปออกศึกครานี้”
คำพูดเบาๆแต่ทำเอาพิมพ์มาดาถึงกับเดินสะดุดหน้าเกือบทิ่ม สิ่งที่หญิงชราเล่ามันแสนจะเหลือเชื่อ แต่ประโยคนี้ของหญิงชราที่จะให้เธอไปรบ
มันบ้าเสียยิ่งกว่าบ้า
“บ้าหรือเปล่าเจ้าคะ ข้าจะไปออกศึกได้อย่างไร ท่านจะให้ข้าไปตายหรือ” พิมพ์มาดาพูดอย่างมีอารมณ์
“ถ้าเจ้าไม่ไป เขาก็ตาย”
“ใครตายเจ้าคะ”
“คนที่เจ้าได้เคยให้สัญญาไว้ ผู้ชายคนนั้นที่เคยได้ช่วยเจ้ามา”
“ท่านหมายถึง ขุนรามเดชะหรือ เขาเก่งขนาดนั้น เขาไม่ตายง่ายๆหรอกเจ้าค่ะ ข้าสิเจ้าคะที่จะตาย พอกันที ข้าไม่อยากฟังท่านเล่าเรื่องไร้สาระแล้ว”
“หากเจ้าไม่ไปศึกครานี้ ที่เจ้ากลับมาก็สูญเปล่า เจ้าทั้งคู่มีกรรมวาสนาต่อกันมายาวนาน เจ้าหนีลิขิตนี้ไม่พ้นหรอก ตรองให้ดีแล้วกัน” หญิงชรา
พูดเสียงเรียบ