กรุงเทพนิรมิตร ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
2

สิ่งแรกที่พิมพ์มาดาลืมตาขึ้นมาเห็นคือหญิงสาวสวยในชุดสไบร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวของเธออยู่  โอ้ย ขนลุก ผีผู้หญิง
ในชุดไทย พิมพ์มาดารีบหลับตาปี๋ทันที ความคิดต่างๆนานาทำเอาประสาทหลอนไปหมด จากแวบเดียวที่เห็นเธอก็จดจำดวงหน้างามแต่ขาว
ซีดของผีสาวคนนั้นได้อย่างแจ่มชัด  

    นี่ฉันเจอผีหลอกหรือนี่ แล้วเอ ไหนจะเทวดาที่เห็นตอนที่ตกม้าอีก หรือฉันจะตายไปแล้วจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนี้ความกลัวตายที่มากกว่า
ความกลัวผีจึงทำให้พิมพ์มาดาผลุดลุกขึ้นนั่งทันที

“เธอเป็นใคร เธอเป็นผีใช่ไหม”  

หญิงสาวที่กำลังเช็ดตัวถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ก็พูดตอบด้วยเสียงอันเย็น “ข้ามิใช่ ผีบ้านผีเรือน ฤาผีป่าผีโป่ง เหตุใจ
เจ้าถึงคิดเยี่ยงนั้น”

“ไม่ใช่ผีแล้วทำไมแต่งตัวแปลกๆ” พิมพ์มาดายังตื่นกลัว หญิงสาววิ่งหนีไปที่มุมห้องเพื่อเว้นระยะห่างจากผู้หญิงที่ยืนกรานว่าไม่ใช่ผีให้มากที่
สุด แหงล่ะเป็นผีแล้วใครจะกล้ายอมรับ  

“แปลกฤา นี่ข้าห่มสไบแบบแม่หญิงสยามแล้ว ดูตัวเจ้าก่อนสิ ท่อนล่างนุ่งเหมือนคนมอญ ท่อนบนก็ห่มเหมือนคนจีน ส่วนผมก็ปล่อยรุงรังแลยัง
มีสีอ่อนเหมือนชาวฝรั่ง”

พิมพ์มาดาหน้าแหยเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น  คำพูดของหญิงสาวตรงหน้าเป็นภาษาโบราณที่เธอเคยยินแต่ตอนเล่นละครย้อนยุค เธอมองไป
รอบๆบ้าน  มันก็บ้านทรงไทยโบราณนี่นา นี่เธอกำลังโดนรายการทีวีอำอยู่หรือเปล่านะ หรือเธอจะหลงยุคเข้ามาจริงๆ ไม่นะ โชคชะตาคงไม่
เล่นตลกกับเธอแบบนั้นหรอก

“ที่นี่ที่ไหน”  

“ที่นี่คือบางกอก”

    “แล้วตอนนี้ปีอะไร” พิมพ์มาดาถามต่อด้วยความกลัว

“ปีมะโรง ฉศก จุลศักราช 1146”

“หา จุลศักราช เอ่อ ฉันไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าตอนนี้อยู่ในรัชกาลไหนจ๊ะ” พิมพ์มาดาถามทั้งที่กลัวคำตอบเหลือเกิน  

“แผ่นดินต้นของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี”

“รัชกาลที่ 1 หรอกหรือ” พอได้ยินชัดแบบนี้ก็ทำเอาพิมพ์มาดาถึงกับเข่าอ่อน

“มิผิดดอก เมื่อสองปีก่อนได้ย้ายราชนีจากกรุงธนบุรีศรีมหาสมุร ข้ามมาเป็นฝั่งบางกอกแลสมโภชน์เมืองใหม่ ทรงประทานนามว่ากรุงรัตน
โกสินทร์ เจ้าไปอยู่ที่ใดมาจึงมิรู้ความ”

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่อยากฟัง พอได้แล้ว หยุดพูดเถอะ” คนเข่าอ่อนพูดกับตัวเองคนเดียวเหมือนคนบ้า

“เจ้าพูดจาเหมือนคนสติไม่สมประดี แถมคำพูดก็แผกไปจากที่ข้าเคยได้ยิน เจ้าเป็นคนที่ใดกันเล่า”  

“ฉันก็เป็นคนที่เดียวกับเธอ แต่แค่ โอ้ย พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก” สิ้นเสียงพิมพ์มาดาก็ซุกหน้าลงบนฝ่ามือแล้วร้องไห้อย่างไม่อายใคร

“เจ้าคงมีเรื่องทุกข์ใจจนมิอาจเล่าให้ใครฟังได้ เอาเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวเอาเสื้อผ้ามาให้เจ้า จงผลัดเสียแลข้าจะนำตัวเจ้าไปไหว้พ่อแม่
ข้า” หญิงงามในชุดสไบเฉียงค่อยๆลุกออกไปเหลือเพียงแต่เสียงร้องไห้เบาๆที่สะท้อนก้องไปทั่วห้อง

หลังจากร้องไห้จนน้ำตาแห้งก็มีหญิงสาวตัวใหญ่ผิวคล้ำรูปร่างอวบอ้วนเปิดประตูเข้ามา ผมของบ่าวผู้นี้ตัดสั้นเหมือนผู้ชาย ข้างบนมีปีกเหมือน
ทรงโบราณต่างกับผู้หญิงเมื่อสักครู่ที่มัดมวยไว้กลางศีรษะอย่างงดงาม ร่างอ้วนเดินอย่างหวาดระแวงเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง เมื่อวางของลง
บนเตียงแล้วจึงรีบกระโจนออกไปในทันใด

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”  

คำพูดดั่งประกาศิตทำเอาหญิงอ้วนถึงกับเข่าทรุดลงหมอบอยู่หน้าประตู

“อย่าทำอะไรข้าเลยนะเจ้าคะ” เสียงสั่นพร้อมยกมือไหว้ประหลกๆทำให้พิมพ์มาดาแอบนึกขำ

“เธอชื่ออะไร แล้วทำไมต้องกลัวฉันด้วย”

“ชื่อข้าหรือเจ้าคะ ข้าชื่อยิ้มง ข้าเป็นบ่าวของแม่หญิงนิ่ม”  

“แม่หญิงนิ่ม ใช่ผู้หญิงคนที่ใส่สไบเฉียงคนนั้นใช่ไหม”

ร่างอวบที่หมอบพื้นผงกศีรษะอย่างลนลาน ยิ่งทำให้ร่างอ้อนแอ้นของคนที่อยากแกล้งเดินเข้าไปหาแล้วนั่งใกล้ๆ

ยิ้มง ยังไม่ตอบเลยว่าทำไมต้องกลัวฉัน”  

เมื่อเงยหน้าหันมาตามเสียงหญิงอ้วนถึงกับหน้าซีด ผิวคล้ำกลายเป็นคล้ำเขียว ดวงตาเบิกกว้าง “อย่าทำไรลูกเลยนะเจ้าคะ ลูกกลัวแล้ว”

พิมพ์มาดาได้ทีคว้าข้อมืออวบแล้วถามดุๆ “บอกมาเถิดพี่ยิ้มง ฉันไม่ทำอะไรหรอก”

“บอกแล้วเจ้าค่ะ บอกแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลย ข้าได้ยินพวกบ่าวชายมันโจษกันว่า ขุนรามพาหญิงแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน”  

ขุนรามหรือจะเป็นพ่อเทวดาคนนั้นที่ช่วยชีวิตเธอไว้ ภาพของบุรุษผู้มีผิวพรรณงดงาม ดวงตาหวานซึ้ง แวบเข้ามาในมโนจิต  

“แต่เอ แล้วทำไมแค่พาผู้หญิงเข้าบ้าน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” ความรู้สึกสงสัยยังคงอยู่

“แปลกสิเจ้าคะ ขุนรามไม่เคยพาหญิงใดเข้าบ้าน พวกข้าจึงคิดว่านายหญิงคงมีวิชาอาคมหรือทำคุณไสยใส่ขุนรามเป็นแน่แท้” พอพูดถึงท่อนนี้
สาวใช้ก็พูดเบาเสียจนพิมพ์มาดาต้องก้มหน้าลงไปฟัง

“โอ้ย พี่ยิ้มง มั่วกันไปใหญ่แล้ว ลือแบบนี้เดี๋ยวก็เสียหายกันพอดี” พอได้ฟังที่มาที่ไปอันไม่มีเหตุผลแบบนี้ก็ทำให้พิมพ์มาดาหัวเราะออกมาจน
ได้

“มั่ว คือกระไรเจ้าคะ”  

“อ้อ คือแบบ มันเป็นเรื่องไม่จริงก็แล้วกัน อธิบายไปพี่ก็คงไม่เข้าใจภาษาฉันหรอก ขอบใจนะจ๊ะที่เอาเสื้อมาให้” พิมพ์มาดาหยุดหัวเราะแล้วเดิน
กลับเข้าไปในห้องลงกลอนประตู หญิงสาวเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบขึ้นมาพินิจพิจารณา เสื้อผ้าฝ้ายคอกลมสีขาวแขนยาว
ตัวสั้น ส่วนผ้าถุงนั้นเป็นผ้าถุงทั่วไปสีออกไปทางสีแดงเลือดหมู  แปลกจัง คนไทยโบราณเขาแต่งกันแบบนี้หรือ เท่าที่เธอเคยเล่นละครในยุค
นั้นก็จะนิยมแต่งสไบหรือผ้าแถบและนุ่งโจงกระเบนนี่นา

เฮ้อ พิมพ์มาดาถอนหายใจยาว เธอเคยเห็นแต่ในนิยายนางเอกที่หลงยุคมาก็มักจะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์มาก่อน แต่สำหรับเธอแล้วความรู้
เรื่องนี้มีอยู่น้อยมากในหัว แล้วเธอจะเอาตัวรอดได้ในยุคนี้ได้อย่างไรเนี่ย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่